วันนี้วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 พระจันทร์เต็มดวง เป็น “วันมาฆบูชา” วันสำคัญวันหนึ่งในพุทธศาสนา ไม่แพ้ วันวิสาขบูชา และ วันอาสาฬหบูชา ยามโพล้เพล้วันนี้ พุทธศาสนิกชน ทั้งหลายจะพากันไป เวียนเทียน ที่วัดต่างๆทั่วโลก เพื่อรำลึกถึง พระพุทธองค์ และ พระธรรมคำสั่งสอน ของพระองค์
วันมาฆบูชา มีขึ้นครั้งแรกในไทยสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในวันนี้เมื่อ 45 ปีก่อนพุทธกาล หรือ 2,597 ปีก่อน
เป็นวันที่ พระสงฆ์สาวก 1,250 รูป ที่ พระพุทธเจ้า ทรงบวชให้เอง และสำเร็จเป็นพระอรหันต์ มาชุมนุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายที่ วัดเวฬุวันมหาวิหาร เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ วัดแรกในพุทธศาสนา ในวันนี้ พระพุทธเจ้า ได้ทรงแสดง โอวาทปาฏิโมกข์ หรือ หลักคำสอนสำคัญในพระพุทธศาสนา ที่พระองค์ทรงตรัสรู้มาแก่พระสงฆ์สาวกทั้ง 1,250 รูป
วันนี้ใครไปเวียนเทียนที่วัดจะได้ยินพระสวด คำบูชาวันมาฆบูชา ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครฟังรู้เรื่องพระสวดอะไร ผมเองก็ฟังไม่รู้เรื่อง วันนี้เลยขอเอา “คำแปล” ที่จัดทำโดย วัดสระเกศ ของ “สมเด็จเกี่ยว” สมเด็จพระพุฒาจารย์ มาลงให้อ่านกันครับ ไปเวียนเทียนที่วัดวันนี้จะได้รู้ว่าพระท่านสวดอะไร
“เราทั้งหลายถึงซึ่งพระผู้มีพระภาคพระองค์ใดว่าเป็นที่พึ่ง, พระผู้มีพระภาคพระองค์ใดเป็นศาสดาของเราทั้งหลาย เราทั้งหลายชอบซึ่งธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์ใด, พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแล ได้อุบัติแล้วในหมู่มนุษย์ ทรงเป็นชาวอริยกะในมิชฌิมชนบท
พระองค์เป็นกษัตริย์โดยพระชาติ เป็นโคดมโดยพระโคตร เป็นศากยบุตร เสด็จออกบรรพชาจากศากยสกุล เป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้วซึ่งพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก ทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ ทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ตรัสรู้ชอบเอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นสารถีแห่งบุรุษควรฝึกได้ ไม่มีผู้อื่นยิ่งไปกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้มีโชค โดยไม่ต้องสงสัยแล
อนึ่ง พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นตรัสดีแล้ว อันผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาอันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน
และพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ปฏิบัติดี แล้ว แลเป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติเป็นธรรม เป็นผู้ปฏิบัติสมควร นี้คือคู่แห่งบุรุษสี่ บุรุษบุคคลแปด นี่พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ เป็นผู้ควรของทำบุญ เป็นผู้ควรทำอัญชลี (ประนมมือไหว้) เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
(พระสถูป หรือพระปฏิมา) นี้แล นักปราชญ์ได้สร้างอุทิศเฉพาะต่อพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เพื่อระลึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นด้วยทรรศนะแล้ว ได้ความเลื่อมใสและสังเวช บัดนี้เราทั้งหลายมาถึงกาลมาฆะปุรณมี ซึ่งตรงกับวันที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาท ปาฏิโมกข์ขึ้น ในที่ประชุมสาวกสงฆ์พร้อมด้วยองค์ 4 ประการ
ครั้งนั้นแล ภิกษุ 1,250 รูป ล้วนแต่พระขีณาสพ อุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา ไม่มีผู้ใดเชื้อเชิญ มาประชุมยังสำนักพระผู้มีพระภาค ณ เวฬุวันกลันทกนิวาปคาม เวลาตะวันบ่ายในวันมาฆปุรณมี พระผู้มีพระภาคพระองค์ใดทรงทำวิสุทธิโบสถ ทรงแสดงโอวาทปาฏิ-โมกข์ขึ้น ณ ที่ประชุมนั้น การประชุมพร้อมด้วยองค์ 4 ประการของพระผู้มีพระภาคเจ้าแห่งเราทั้งหลายนี้ได้มีแล้วครั้งเดียวเท่านั้น...”
เหลืออีกไม่ยาวครับ แต่เนื้อที่หมดเสียก่อน แต่ใจความสำคัญในบทสวดก็ได้รู้ไปแล้ว ไปเวียนเทียนที่วัดวันนี้จะได้ฟังพระสวดเข้าใจยิ่งขึ้น ทำให้ได้บุญยิ่งขึ้น สาธุ.
“ลม เปลี่ยนทิศ”