เวลานี้ “กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์” นำทีมโดยบริษัทรถยนต์ ต่างชาติยักษ์ใหญ่ กำลังเดินสายล็อบบี้รัฐบาลอย่างหนัก โดยเฉพาะ นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีอุตสาหกรรม ที่ไม่ค่อยรู้เรื่องอุตสาหกรรม เท่าไร เพื่อเป็นช่องทางผลักดันให้รัฐบาล “อุ้มบริษัทรถยนต์” เหมือนในสหรัฐฯ
จะว่าไปแล้ว กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทย ไม่ถือว่าเดือดร้อน วันก่อนก็เพิ่งแถลงตัวเลขไปหมาดๆ ปี 2551 ยังโกยกำไรกันอื้อซ่า กำลัง ผลิตเพิ่มขึ้น ยอดส่งออกก็เพิ่มขึ้นกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ สวนทางเศรษฐกิจโลกที่ กำลังแย่
แต่วันวาน กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ กลับออกมาเรียกร้องให้ รัฐบาล “ลดภาษี” เพื่อกระตุ้น ยอดขายรถยนต์ในประเทศ ให้มากขึ้น โดยขอให้รัฐบาลแก้กฎหมายให้ผู้ซื้อรถยนต์ นำค่าซื้อรถมาหักลดหย่อน ภาษีได้คนละ 100,000 บาท เหมือนการลดหย่อนให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และประกันชีวิต
โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ บอกด้วยว่า เดิมตั้งใจจะขอให้รัฐบาล ลดภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับซื้อรถยนต์ จากร้อยละ 7 เหลือร้อยละ 4 ด้วยซ้ำ ซึ่งจะทำให้รถยนต์มีราคาลดลงคันละ 2-3 หมื่นบาท แต่ดูแนวโน้มแล้วคงจะยาก เลยขอลดหย่อนภาษีคันละ 1 แสนบาทแทน
เหตุผลที่ต้องขอให้รัฐบาลลดภาษี เพราะบริษัทรถยนต์คาดการณ์ว่า ปี 2552 นี้ ยอดขายรถยนต์ในเมืองไทยจะลดลง 20 เปอร์เซ็นต์ ถ้ารัฐบาล ลดหย่อนภาษีให้ จะมียอดขายเพิ่มขึ้นอีก 5 หมื่นคัน
ที่ฟังแล้วอดสงสารบ้านเมืองไม่ได้ก็คือ นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีอุตสาหกรรม เมื่อรับข้อเสนอจากบริษัทรถยนต์แล้ว แทนที่จะใช้ สมองคิดเสียหน่อยว่า ควรหรือไม่ควร กลับบอกว่า จะรีบเสนอให้ ครม.เศรษฐกิจ พิจารณา แต่มีข้อแม้ว่า ต้องลดราคารถยนต์ลงมาคันละ 5 หมื่นบาท เป็นการแลกเปลี่ยน
ท่านรัฐมนตรีฉลาดแค่ไหน ท่านผู้อ่านไปวิเคราะห์เอาเอง
อุตสาหกรรมรถยนต์ในไทย ไม่เหมือนอุตสาหกรรมรถยนต์ในสหรัฐฯ การที่บริษัทรถยนต์ต่างชาติเข้ามาตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ในไทยมากมาย ก็เพราะต้องการใช้ประโยชน์จากไทยในการ “ลดภาษีรถยนต์” เพื่อส่งไปขายในกลุ่มประเทศอาเซียน ที่มีข้อตกลงลดหย่อนภาษีกับไทย ทำให้รถยนต์ที่ส่งไปขายมีราคาถูกลง
สิ่งที่ไทยได้ จากบริษัทรถยนต์ข้ามชาติเหล่านี้ มีอย่างเดียว คือ “ค่าแรงคนงาน” เพราะบริษัทรถยนต์เหล่านี้ยังเป็นของต่างชาติ 100 เปอร์เซ็นต์
ผลประโยชน์อื่นๆ เช่น เทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ ก็ไม่เคยถ่ายทอดให้คนไทย กำไรที่ได้ก็ส่งกลับประเทศแม่หมด บางแห่งก็มีตัวเลขขาดทุน (ทั้งๆที่กำไร) เพราะมีการตั้งราคาขายจากโรงงานให้มีกำไรน้อย รถยนต์ที่ส่งออกก็ได้ยกเว้นภาษี ที่น่าเจ็บปวดก็คือ โรงงานรถยนต์ร้อยละ 100 ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ และได้บีโอไอต่อเนื่องกันเป็นสิบๆปี ฯลฯ
แล้วรัฐบาลจะเอา “เงินภาษีของคนไทยตาดำๆ” ไป “อุ้มบริษัทรถยนต์ต่างชาติ” ที่ยังมีกำไร เพื่อเพิ่มยอดขาย สมควรหรือไม่ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องไปทำการบ้านคิดให้หนักๆ
การจ้างงานของกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ ให้รัฐมนตรีแรงงานไปสำรวจดูได้ ใช้แรงงานน้อยมากแค่ไหน เมื่อเทียบกับรายได้มหาศาลแต่ละบริษัท การประกอบรถยนต์ส่วนใหญ่ ใช้เครื่องจักรอัตโนมัติหมด
ถ้า รัฐบาลจะโง่พอ เอาเงินภาษีคนไทยก้อนโตไป อุ้มบริษัทรถยนต์ต่างชาติ เพื่อให้ขายรถยนต์ได้มากขึ้น ทำให้รถติดมากขึ้น เผาผลาญน้ำมันมากขึ้น เสียเงินตราต่างประเทศซื้อน้ำมันมากขึ้น ผมขอเสนอว่า เอาเงินก้อนนี้ใส่กระสอบขึ้นเฮลิคอปเตอร์ แล้วบินไป โปรยให้คนยากจนในสลัมและชาวไร่ชาวนาที่กำลังเดือดร้อนจากราคาพืชผลตกต่ำ จะดีกว่ามากๆ.
“ลม เปลี่ยนทิศ”