ที่มา มติชน
คอลัมน์ วิภาคแห่งวิพากษ์
ล้วนสะท้อนให้เห็นความสำเร็จ
1 ความสำเร็จที่นายกรัฐมนตรีไทยผงาดยืนอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้นำระดับนานาชาติ 1 ความสำเร็จอันเป็นรูปธรรมที่การเมืองไทยเริ่มเข้าสู่ระบบ
ไม่ง่อนแง่นโงนเงนเหมือนในยุค นายสมัคร สุนทรเวช
ไม่ง่อนแง่นโงนเงนเหมือนในยุค นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
เป้าประสงค์อย่างแท้จริงของการเดินทางไป ไม่ว่าจะเป็นที่ดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ไม่ว่าจะเป็นที่ โตเกียว ญี่ปุ่น ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คือ การสร้างความเชื่อมั่น
รูปธรรม 1 เห็นได้จากแถลงของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
"ขณะนี้ไม่ค่อยมีการถามถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้ว คิดว่าเราก้าวพ้นเรื่องของบุคคลไปแล้ว และไม่มีความจำเป็นต้องชี้แจงกับนานาชาติในเรื่องนี้แล้ว"
รูปธรรม 1 เห็นได้จากแถลงของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
"รัฐบาลญี่ปุ่นได้ตัดสินใจอนุมัติเงินกู้รถไฟฟ้าสายสีแดงในวงเงิน 63,000 ล้านเยน ซึ่งจะทำให้โครงการเดินหน้าต่อไปได้"
นี่ย่อมเป็น "ข่าวดี" อย่างแน่นอน
เป็นข่าวดี 1 เพราะเป็นรูปธรรมแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลญี่ปุ่นมีความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลไทย เพราะหากไม่มีความเชื่อมั่นก็คงไม่ให้กู้
เป็นข่าวดี 1 เพราะหากไม่ให้กู้ก็ยากที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงจะเดินหน้าต่อไปได้
เป็นข่าวดี 1 เพราะทุกอย่างดำเนินไปตามพิมพ์เขียวที่ ครม.มีมติเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ อนุมัติวงเงินกู้รวม 270,000 ล้านบาท
โดย 70,000 ล้านบาท เป็นการเตรียมไว้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
โดย 200,000 ล้านบาท เป็นเรื่องทางเทคนิคเพื่อช่วยเหลือรัฐวิสาหกิจให้ขับเคลื่อนต่อไปได้เป็นปกติ
เป็นข่าวดี 1 ในท่ามกลางข่าวเงินคงคลังเหลือเพียง 52,000 ล้านบาท
เป็นข่าวดี 1 ในท่ามกลางข่าวการจัดเก็บรายได้ 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2552 (ตุลาคม 2551-มกราคม 2552) ได้ต่ำกว่าประมาณการ 70,472 ล้านบาท หรือคิดเป็น 16.2% และกระทรวงการคลังคาดว่าทั้งปีอาจต่ำกว่าประมาณการถึง 112,910 ล้านบาท หรือ 7.1%
เมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นให้กู้ในวงเงิน 63,000 ล้านเยน จึงย่อมเป็น "ข่าวดี"
อีกด้านของข่าวดีสะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการทางความคิดอันสะท้อนให้เห็นถึงความหวาดวิตกที่ดำรงอยู่
1 ที่สำคัญคือ ความหวาดวิตกในเรื่องรายได้ ในเรื่องการหาเงิน
การจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าประมาณการอาจเป็นอุทาหรณ์ 1 การเหลือเงินคงคลัง 52,000 ล้านบาท อาจเป็นอุทาหรณ์ 1
แต่ที่น่าหวาดเสียวอย่างยิ่ง คือ ข้อเสนอจาก นายสันติ วิลาสศักดานนท์
"หากนำเงินทุนสำรองมาใช้ได้ก็ไม่จำเป็นต้องกู้จากต่างประเทศ เหมือนกับบริษัทเอกชนที่เอาทุนสำรองของบริษัทมาใช้ก่อนได้"
1 ที่สำคัญคือ ความเป็นจริงในเรื่องการส่งออกและการท่องเที่ยว
ที่ตั้งเป้าไว้ว่าการส่งออกปี 2552 จะอยู่ที่ 3% ก็ไม่แน่ว่าจะทำได้หรือไม่ ที่ตั้งเป้าไว้ว่านักท่องเที่ยวจะเข้ามาไม่ต่ำกว่า 14 ล้านคนในปี 2552 ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นไปตามที่ประมาณการหรือไม่
เพราะไม่เพียงแต่จะประสบกับสภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวโดยเฉพาะ สหรัฐ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น จีน เท่านั้น หากแต่ที่สำคัญเป็นอย่างมากคือ ความไม่แน่ใจในสถานการณ์ทางการเมือง
ไม่มีใครมั่นใจได้หรอกหากรัฐมนตรีในรัฐบาลเคยร่วมปิดสนามบินสุวรรณภูมิมาแล้ว
การกู้เงินจากต่างประเทศจึงเป็น "ข่าวดี" บนซากปรักหักพังของ "ข่าวร้าย"
เป็นข่าวร้ายเพราะเงินในท้องพระคลังหดหายไปเป็นสำคัญ เป็นข่าวร้ายเพราะไม่แน่ใจว่าจะหาเงินมากระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดความมั่นใจในการบริโภคได้หรือไม่
เดิมพันจึงอยู่ที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะติดลบหรือว่ารักษาตำแหน่งที่ 0% เอาไว้ได้