ผมนั่งเตรียมต้นฉบับวันนี้ก่อนวันมาฆบูชาเพียงไม่กี่ชั่วโมง บรรยากาศ รอบๆตัวยังอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของพระธรรม
เผอิญได้อ่านบทความที่เขียนโดยพระสงฆ์รูปหนึ่ง ซึ่งนำพระธรรมของพุทธศาสนามาประยุกต์กับเหตุการณ์ปัจจุบันได้อย่างกลมกลืน
สามารถที่จะนำมาตัดแปะไว้เป็นเครื่องเตือนใจในยามที่เศรษฐกิจกำลังตกต่ำอย่างรุนแรงในขณะนี้ได้อย่างดียิ่ง
บทความนี้ชื่อว่า “การดำรงชีวิตในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ” เขียนโดยพระคุณเจ้า พระราชวิจิตรปฏิภาณ (เจ้าคุณพิพิธ) แห่ง วัดสุทัศนเทพวราราม ตีพิมพ์อยู่ในนิตยสาร Vote รายปักษ์ ปักษ์แรกกุมภาพันธ์
ขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อในคอลัมน์ของผมวันนี้ โดยหวังว่าจะมีผู้อ่านรับรู้รับทราบพร้อมทั้งปฏิบัติตามคำชี้แนะของท่านเจ้าคุณพิพิธกว้างขวางยิ่งขึ้น อันจะเป็นประโยชน์ยิ่งในการฟันฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้
ขอเชิญอ่านได้เลยครับ.
“ซูม”
มีคนถามกันมากว่าในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจะดำรงชีวิตอย่างไร? ก็ขอตอบว่า ในภาวะเช่นนี้ จะต้อง...เรียนรู้ รับรู้ ยิ้มสู้ อยู่อย่างมีความหวัง...
- เรียนรู้ คือ ต้องเรียนรู้สภาวการณ์ สถานการณ์ของบ้านเมืองให้รู้อย่างถ่องแท้ว่าอะไร เป็นอะไร เสียก่อน คือ
ไม่มีอะไรเป็นไปตามที่คาดฝัน เกิดปัญหาต่อสินค้าประเภทผลิตภัณฑ์ บ้านจัดสรรขายไม่ออก ดอกเบี้ยไม่บาน โรงงานปิด ชาวบ้านไม่ได้ราคาสินค้าผลผลิต พระไม่มีกิจนิมนต์ คนจบการศึกษาใหม่ไม่มีงาน รัฐบาลไม่มีภาษีพัฒนาประเทศชาติ
ทั้ง 9 ข้อนี้ตกอยู่ในสถานการณ์ “ก้าวหลัง” ไม่ใช่ “ก้าวหน้า” ซึ่งทุกคนควรใคร่ครวญพิจารณาในแต่ละประเด็น ก็จะเห็นชัดเจน เรียกว่า “เดือดร้อนกันทั่วหน้า” จากการเดือดร้อนทั่วหน้า ก็เข้าสู่ “เดือดร้อนกันทั่วหล้า” นี่คือ...ความจริงวันนี้...
- รับรู้ คือ ต้องรับรู้วิธีการดำรงชีวิต “ให้ได้” ไม่ใช่ “ต้องได้” คิดเสียว่า...พอเป็นพอไป...แล้วร่วมกันรับรู้ รับทำ คือ
ยอมรับความเป็นจริง ทิ้งความเคยชิน อยู่กินอย่างประหยัด หัดเลี้ยง หัดปลูก ทำความเข้าใจกับลูกหลาน อย่าเกี่ยงงาน บริหารทรัพย์สินด้วยบัญชีครัวเรือน
เรื่อง “ยอมรับความจริง” นั้น ทุกคนต้องยอมรับ วิธีการยอมรับความจริงก็ขึ้นอยู่กับคาถาที่จะพึงท่องบ่นภาวนา ดังนี้
มันไม่มีใครดีไปกว่าใคร มันก็พอๆกันนั่นแหละ อะไรมันจะเกิดมันก็ต้องเกิด เป็นอะไรก็เป็นกัน...วะ! และ เรื่องเท่านี้ สีทนได้
- ยิ้มสู้ ยามนี้ต้อง...ลบรอยย่นระหว่างคิ้ว ด้วยการสร้างรอยพลิ้วเหนือริมฝีปาก คือต้องยิ้มเพื่อลบรอยย่น “รอยทุกข์กระจุกอยู่ที่หัวคิ้ว รอยสุขพลิ้วที่ริมฝีปาก” ลองยิ้มดูสัก 5 วินาที ก็จะพบว่าสุขเกิดขึ้นทันที ทุกอย่างมันอยู่ที่ว่าจะ “ยิ้มสู้” หรือไม่เท่านั้น
เรื่องยิ้มสู้นี้ไม่ใช่ใครสอนเราหรอก แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สอนเราให้ยิ้มสู้ ซึ่งก็ควรไปซื้อเพลงพระราชนิพนธ์ชุดที่มีสุเทพ วงศ์กำแหง, ธานินทร์ อินทรเทพ ฯลฯ มาฟัง แล้วก็ขอให้ฟังเพลงยิ้มสู้หลายๆเที่ยว จะได้สัมผัสปรัชญาขององค์ราชันย์ว่า ยิ้มสู้นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เป็นปรัชญาธรรมที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้พสกนิกรไทย อย่าคิดว่าเป็นเพลงอย่างเดียว แต่จงคิดว่าเป็น...อภิปรัชญา...ครั้นเมื่อฟังจบแล้วจงหัดยิ้มคือ
ยิ้มให้โลก (คือขอบคุณโลกที่ให้เราอาศัย) ยิ้มให้ลูก ยิ้มให้ตัว (ขอบคุณพ่อแม่ผู้เลี้ยงดูและชีวิตสัตว์) ยิ้มให้เมีย (สามียิ้มให้ภรรยาคือเมียเรา อย่ามัวแต่ยิ้มให้เมียชาวบ้าน แล้วทำหน้าม้านใส่เมียตัว จะกลายเป็นผัวเฮงซวย) ยิ้มให้ผัว (เมียก็จงยิ้มให้กำลังใจสามีของตน อย่าไปยิ้มให้สามีคนอื่น ขอให้รู้ว่าผัวตัวเอง เราต้องทำชื่นบาน ส่วนผัวชาวบ้านช่างหัวมัน)
ถ้าทุกท่าน ยิ้มให้โลก ยิ้มให้ลูก ยิ้มให้ตัว ยิ้มให้เมีย ยิ้มให้ผัว ยิ้มแล้วจะชื่นหัวใจ ต่อจากนั้นก็ต้องยิ้มๆๆให้เป็นอุปนิสัย คือ
ยิ้มแย้มแจ่มใส ยิ้มให้เพื่อนร่วมงาน ยิ้มต้อนรับผู้ใช้บริการ ยิ้มแย้มให้คนในบ้าน ยิ้มหวานๆให้คนในเมืองไทย ยิ้มให้กำลังใจแก่คนทั้งโลก
- อยู่อย่างมีความหวัง นี่เกิดจากปรัชญาธรรมในเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ เพลงชะตาชีวิต เพลงนี้ถ้าผู้ใดได้ฟังแล้วจะรู้ว่า การ...ไม่ท้อต่อชีวิต ไม่คิดฆ่าตัวตาย ไม่หงอยเหงา ไม่เศร้าสร้อย ไม่คอยโชคชะตา ไม่รอเทวดามาช่วย...แล้วพึ่งพาตน ถึงขาดบิดา ขาดญาติทางบิดา แต่ก็มีมารดาเป็นแสงจันทร์ คำพูดที่สำคัญคือ อยากจะขอร้องมายังท่านทั้งหลายว่า...
อย่าจิตใจฝ่อ อย่าท้อต่อชีวิต อย่าคิดฆ่าตัวตาย อย่าขายยาเสพติดอย่าแก้เศรษฐกิจด้วยการพนัน อย่าเย้ยหยันคนอื่น.
พระราชวิจิตรปฏิภาณ
พระราชวิจิตรปฏิภาณ