WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, June 18, 2009

ครม.ทุ่ม 123 ล.ซื้อรถกันกระสุน

ที่มา เดลินิวส์

ครม.กลัวตาย ทุ่มเงินเกือบ 123 ล้านบาทซื้อรถกันกระสุน เผย รมต.ขี้กลัวร้องอยากนั่ง พร้อมเตรียมใช้ต้อนรับผู้นำต่างชาติ ไฟเขียวงบให้กลาโหมจัดตั้งกองร้อยควบคุมฝูงชน “อภิสิทธิ์” เผย ส.ค. เงินเริ่มหมุน หลัง ส.ว.ให้ความเห็นชอบ แจงวิธีหาเงินกู้ ฝ่าย “เพื่อไทย” ตามจิกวิธีหาเงินจ่ายคืนเงินกู้ สับแหลกรัฐบาลกู้กระจาย “วรวัจน์” ทิ่มทีมงานขุนคลังเล่นข้อมูลภายในหาประโยชน์ตลาดหุ้น “กรณ์” สวนทันควันเต้าข่าวมั่ว “สุนัย” แฉจ่ายมัดจำจองแบ่งเค้กโครงการกันแล้ว “ชาญชัย” บ่นน้อยใจงบน้อยแต่ก็ยังรักกันดี “ชุมพล” ปัดนายกฯ โอ๋ ชทพ. ฝ่าย “เทพเทือก” น้อยใจบ้างบ่นจัดงบไม่เลิก ปชป. ยืนยันไม่มีวาระต่างตอบแทน ส่วน “ปานปรีย์” เสนอตั้งกรรมการร่วมตรวจสอบใช้เงิน พท.ซัดเกี๊ยะเซี้ย “มุข” ป้อง “บิ๊กบัง” ยังไม่พร้อมเป็น หน.มาตุภูมิ กกต. ร้อง ผบ.ตร. จัดการ ตร. ละทิ้งคุมเลือกตั้งซ่อมสกลนคร

นายกฯเผย ส.ค. เงินเริ่มหมุน

เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการดำเนินการภายหลังที่สภาผู้แทนราษฎรผ่านความเห็นชอบ พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านบาทว่า ขั้นตอนต่อไปก็ต้องนำ พ.ร.ก.นี้ผ่านการพิจารณาของวุฒิสภา และเมื่อวุฒิสภาให้ความเห็นชอบแล้ว กระทรวงการคลังจะดำเนินการกู้เงินใน 2 ลักษณะผสมผสานระหว่างกัน โดยส่วนแรกคือการออกพันธบัตรที่จะเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามาซื้อได้ รอบแรกจะอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับสภาพคล่องส่วนเกิน 9 แสนล้านบาทแล้วตนคิดว่าไม่มีปัญหา ส่วนที่ 2 จะเป็นการกู้ยืมในระบบธนาคาร ซึ่งการทำเช่นนี้เพราะไม่ต้องการให้กระทบกระเทือนถึงอัตราดอกเบี้ยในตลาดมากเกินไป

นายกฯ กล่าวอีกว่า สำหรับการใช้จ่ายเงินนั้น ขณะนี้จะสามารถดำเนินการโครงการที่มีความพร้อมอยู่ได้ทันที โดยมอบหมายให้คณะกรรมการที่มีนายพนัส สิมะเสถียร เป็นประธาน ทำหน้าที่ติดตามและกำกับการใช้จ่ายเงินดังกล่าวและจะเปิดเผยข้อมูลในโครงการต่าง ๆ ที่ผ่านความเห็นชอบ ทั้งนี้ ตนคิดว่าการดำเนินโครงการต่าง ๆ น่าจะเริ่มได้ไม่น่าจะเกินเดือน ส.ค. นี้ เป็นต้นไป

“ชาญชัย”น้อยใจรักงบถูกหั่น

ส่วน นายชาญชัย ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุม ครม. ถึงกรณีที่ออกมาระบุว่าน้อยใจหลังจากที่ไม่ได้รับงบประมาณตามที่ขอไปแต่ที่ประชุมครม.นัดพิเศษเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ครม. กลับอนุมัติงบเพิ่มให้กับพรรคชาติไทยพัฒนาและพรรคภูมิใจไทยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นกระทรวงหลักในด้านเศรษฐกิจ และเป็นกระทรวงที่สร้างรายได้ หากลงทุนมากก็จะได้ผลประโยชน์กลับสู่ประเทศชาติตามความเป็นจริงของงบประมาณ เมื่อถามว่าหากยังไม่มีเสียงตอบรับจากรัฐบาลจะมีผลต่อการพิจารณา พ.ร.บ.กู้เงินหรือไม่ นายชาญชัย กล่าวว่า ก็เสียความรู้สึกเล็กน้อยแต่คงต้องค่อย ๆ พูดจากัน เพราะเราอยู่ในครอบครัวเดียวกัน

ผู้สื่อข่าวถามว่าพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรควิจารณ์ว่าพรรคประชาธิปัตย์เล่นบทพระเอกคนเดียวทางพรรคเพื่อแผ่นดินมองอย่างนั้นหรือไม่ นายชาญชัย กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มองอย่างนั้น แต่วันข้างหน้าไม่รู้จะมองอย่างไร เมื่อถามว่าในเมื่อพรรคเพื่อแผ่นดินบ่นน้อยใจแล้วจะทำอย่างไรต่อไป นายชาญชัย กล่าวว่า “มีเพลงอยู่เพลงหนึ่งชื่อว่าน้อยใจรัก ซึ่งหมายความว่าแม้น้อยใจแต่ก็ยังรักอยู่”

“ชุมพล”ปัดนายกฯโอ๋ ชทพ.

นายชุมพล ศิลปอาชา รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ให้สัมภาษณ์ว่า การจัดสรรงบประมาณครั้งนี้ไม่ได้เป็นการเกลี่ยงบประมาณให้พรรคร่วมเพิ่มแต่อย่างใด แต่เป็นเพียงการตกหล่นเท่านั้นและทางกระทรวงอุตสาหกรรมก็ได้รับงบประมาณไปมากเนื่องจากต้องไปโรดโชว์มาก อย่างไรก็ตามการที่กระทรวงท่องเที่ยวได้รับงบฯ เป็นที่น่าพอใจนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสนับสนุน พ.ร.บ.กู้เงิน 4 แสนล้านบาท เพราะเห็นด้วยกับการให้ผ่าน พ.ร.ก. และ พ.ร.บ.ดังกล่าวอยู่แล้ว

นายชุมพล กล่าวต่ออีกว่า ส่วนกระทรวง เกษตรฯ ที่ได้รับงบประมาณ 5 หมื่นกว่าล้านบาทนั้นก็เป็นที่น่าพอใจ ซึ่งไม่ได้หมายความว่านายกรัฐมนตรีมาเอาใจพรรคชาติไทยพัฒนาอย่างที่ถูกวิจารณ์ แต่เป็นงบค้างเก่าของปีงบประมาณ 53 ทั้งนี้ตนเชื่อว่าจะไม่กลายเป็นปัญหาบาดหมางกัน เมื่อถามว่าหากพรรคเพื่อแผ่นดินน้อยใจและตัดสินใจถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาลจะทำอย่างไร นายชุมพล กล่าวว่า ไม่มีแน่นอน ตัดประเด็นนี้ไปได้เลย

“เทพเทือก”น้อยใจบ่นกันบ่อย

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีเสียงบ่นน้อยใจจากพรรคร่วมรัฐบาลเรื่องการจัดสรรงบประมาณแล้วจะมีการทำความเข้าใจหรือไม่ว่า ตนก็รู้สึกน้อยใจเหมือนกันว่าบ่นกันบ่อยเหลือเกิน อย่างไรก็ตามเรื่องนี้คงต้องมีการทำความเข้าใจกัน ทุกคน อยู่บนหลักของเหตุผลไม่มีการเอารัดเอาเปรียบ เรื่องงบประมาณแผ่นดินไม่ใช่เรื่องเอามาหารแบ่งกันไปตามใจชอบ เราทำงบประมาณเพื่อสนองตอบความต้องการของประชาชน การแก้ไขปัญหา ของประชาชน ไม่ใช่อยู่ที่ว่างานของใครมีความจำเป็นมากน้อยกว่ากัน

เมื่อถามว่า แล้วที่มีการเพิ่มงบให้กับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงมหาดไทย จำนวน 4,000 กว่าล้านบาท มีที่มาที่ไปอย่างไร นายสุเทพ กล่าวว่า ตนจำไม่ได้ ต้องไปถามเจ้ากระทรวงทั้งสองดีกว่า เพราะตนก็ไม่ได้ ทราบทุกเรื่องในรายละเอียด เมื่อถามว่านายชาญชัยบ่นว่าถูกมองข้ามไม่เห็นหัวกันอาจจะต้องหันหลังให้รัฐบาล นายสุเทพ กล่าวว่า คงไม่เป็นอย่างนั้น เพราะนายชาญชัยไม่เคยพูดกับตนอย่างนั้น ถ้าเขาหันหลังให้ตนก็จะกลับเขาหันหน้ากลับมา

ยืนยันไม่มีต่างตอบแทน

นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวว่า มีความเห็นของฝ่ายค้านบางส่วนที่อาจจะมีความข้องใจในเรื่องของแผนงานโครงการที่ได้มีการจัดสรรงบประมาณไปแล้วตามสัดส่วน ซึ่งรัฐบาลก็ยืนยันแล้วว่าเราจะดำเนินการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งและมีความเป็นธรรมในการจัดสรรงบประมาณ เพื่อให้เป็นไปตามความมุ่งหมายในการฟื้นฟูประเทศ ซึ่งในส่วนนี้มั่นใจว่า ครม. สามารถชี้แจงได้ และเมื่อฝ่ายค้านมีความเข้าใจก็จะมีส่วนร่วมในการเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบได้

ต่อข้อถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญจะสามารถปรับลดวงเงินกู้ได้ นายชินวรณ์ กล่าวว่า คงไม่มี เมื่อถามว่า จริงหรือไม่ที่มีข่าวว่ามีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน โครงการกับพรรคภูมิใจไทยและพรรคชาติไทยพัฒนา นายชินวรณ์ กล่าวว่า การจัดทำ พ.ร.บ. ดังกล่าวเป็นเรื่องที่ได้ดำเนินการต่อเนื่องจากการ ฟื้นฟูเศรษฐกิจตาม พ.ร.ก.ที่กำหนดมาแล้ว โดยรัฐบาลต้องการที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องต่อไป หากงบประมาณไปอยู่ในความรับผิดชอบของ แต่ละกระทรวงก็เป็นเรื่องปกติ ยืนยันไม่ใช่เรื่องการแบ่งสันปันส่วน หรือแบ่งเค้กไปให้พรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองต่าง ๆ แน่นอน

จี้ตั้งกรรมการร่วมส่องใช้งบ

นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หัวหน้าทีมจัดเตรียมข้อมูลด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลปรับเพิ่มวงเงินด้านการลงทุนจนทำให้วงเงินในส่วนที่จะไปปิดหีบชดเชยรายได้ของรัฐบาลขาดหายไปจากเดิม 2 แสนล้านบาทเป็น 1.5 แสนล้านบาทว่า ถือว่าเป็นเรื่องที่รัฐบาลสามารถทำได้ ไม่ผิดกฎหมายแต่เรื่องของความโปร่งใสในการใช้งบประมาณไม่มีความชัดเจน อย่างไรก็ตามพรรคเพื่อไทยในฐานะพรรคฝ่ายค้านได้เรียกร้องรัฐบาลมาโดยตลอดให้เปิดเผยรายละเอียดของโครงการที่รัฐบาลจะนำไปลงทุน 2 แสนล้านบาท แต่รายละเอียดที่ได้รับกลับไม่ชัดเจนเป็นเพียงตัวเลขกลม ๆ เท่านั้น

นายปานปรีย์ กล่าวว่า พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 วงเงิน 4 แสนล้านบาท ที่สภาผู้แทนราษฎรอนุมัติเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ที่ผ่านมานั้น ถือเป็นเงินที่อยู่นอกงบประมาณทำให้ไม่สามารถตรวจสอบการใช้จ่ายได้ และรัฐบาลสามารถโยกดังกล่าวเงินไปไหนก็ได้ ดังนั้นพรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่งโดยให้มีตัวแทนจากทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านเข้ามาทำหน้าที่ในการตรวจสอบ ติดตามการใช้เงินที่มาจาก พ.ร.ก. ฉบับนี้

ซัดรัฐบาลเกี๊ยะเซียะแบ่งงบ

เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตกันว่าเหตุที่รัฐบาลอนุมัติโครงการลงทุนแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง เพิ่มเติม 2 โครงการที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของพรรคชาติไทยพัฒนาและพรรคภูมิใจไทย ก่อนการพิจารณาผ่านร่าง พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านบาท เป็นการแลกกับการให้ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลยกมือสนับสนุนร่าง พ.ร.ก.ดังกล่าว นายปานปรีย์ กล่าวว่า รัฐบาลมีเจตนาอย่างนั้นหรือไม่ตนไม่ทราบ แต่เรื่องดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งเรื่องนี้เป็นปัญหาของรัฐบาลเองที่ไม่ทำรายละเอียดโครงการให้ชัดเจนตั้งแต่แรก

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส. เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การที่รัฐบาลทำอย่างนี้ ทำให้คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเป็นการเกี๊ยะเซียะและการเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันเพื่อให้ พ.ร.ก.ฉบับนี้ผ่านการพิจารณาของสภา ซึ่งการใช้งบประมาณก้อนนี้ของรัฐบาลนั้นไม่สามารถที่จะตรวจสอบและรับทราบได้ว่ารัฐบาลนำเงินไปใช้ในเรื่องใดบ้างจนกว่ารัฐบาลจะนำมาชี้แจงต่อสภาภายหลังจากปิดงบประมาณในแต่ละปี

ครม.อนุมัติซื้อรถกันกระสุน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงผลการประชุม ครม. ว่า ที่ประชุม ครม. อนุมัติงบประมาณในการจัดหายุทโธปกรณ์ควบคุมฝูงชนให้แก่กองร้อยรักษาความสงบของกองทัพไทยจำนวน 7 กองร้อย เป็นเงิน 66,236,800 บาท ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ พร้อมกันนี้ทางกองทัพไทยจึงได้ จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการในการแก้ไขสถานการณ์ ฉุกเฉินเฉพาะกรณีการใช้กำลังในการควบคุมฝูงชน ในขั้นต้นการจัดหายุทโธปกรณ์ กำหนดความเร่งด่วนไว้เป็น 3 ระดับ คือ ความเร่งด่วนแรกจำนวน 7 กองร้อย ความเร่งด่วนที่สอง จำนวน 10 กองร้อย และความเร่งด่วนที่สาม จำนวน 43 กองร้อย รวมทั้งสิ้น 60 กองร้อย

นายศุภชัย ยังกล่าวว่า ที่ประชุมครม.อนุมัติการจัดหารถยนต์ปฏิบัติการหุ้มเกราะ จำนวน 20 คัน วงเงินรวม 122,800,000 บาท และอนุมัติหลักการให้กองบัญชาการกองทัพไทย โดยศูนย์รักษาความปลอดภัยดำเนินการจัดหาตามระเบียบของทางราชการด้วยวิธีพิเศษ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ เนื่องจากรถยนต์หุ้มเกราะเดิมมี 3 คัน ถูกทุบทำลายเสียหาย 1 คัน เครื่องยนต์ชำรุด 1 คัน คงเหลือปฏิบัติการได้ 1 คัน ทำให้มีความจำเป็นต้องใช้ยานพาหนะที่มีคุณสมบัติพิเศษและเป็นยานพาหนะหุ้มเกราะกันกระสุน เพื่อให้การรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญมีความปลอดภัยสูงสุด

รมต.ขี้กลัวร้องอยากใช้บ้าง


นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิ การนายกฯ ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า สำหรับสเปกของรถหุ้มเกราะกันกระสุน ครม. ได้กำหนดว่าต้องเป็นรถที่มีสมรรถนะกันกระสุนชนิด บี 4-บี 6 โดยโครงสร้างจะต้องเป็นเชทซีมาตรฐานสากลสูงถึงระดับสูงสุด กระจกกันกระสุนมีความหนา ขนาด 35 มม. มาตรฐานโดยรวมต้องได้มาตรฐานสากล โดย เครื่องยนต์ต้องได้ระดับ 4,000 ซีซี ซึ่งถือว่าไม่ใช่ระดับพิเศษสูงสุดของผู้นำทั่วโลกแต่อยู่ในระดับกลาง

นายปณิธาน กล่าวอีกว่า ซึ่งจะต้องมีการจัดซื้อโดยเร็ว เพื่อให้ทันการประชุมผู้นำสุดยอดอาเซียนและหลังจากที่เกิดเหตุความวุ่นวาย รัฐมนตรีหลายคนได้มีการขอรถเข้ามาจำนวนมาก ดังนั้นรถที่ได้มาจะนำมาสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนให้รัฐมนตรีได้ใช้อย่างทั่วถึง รวมถึงไว้ต้อน รับผู้นำต่างประเทศที่แวะเวียนมาประเทศไทยเกือบทุกเดือน ก่อนหน้านี้มีหลายประเทศใจดีที่ให้ประเทศไทยยืม แต่เราเห็นว่างบประมาณมีพอที่จะสามารถเจียดมาซื้อได้ ก็ต้องจัดซื้อให้เป็นของรัฐบาลเอง จะทำให้การดูแลรักษาและการบริหารง่ายกว่าและสร้างความมั่นใจให้กับผู้นำ ต่างประเทศที่เดินทางมาประเทศไทย

คุมความปลอดภัยแถลงข่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เจ้าหน้าที่ได้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดมีการเพิ่มจำนวนสุนัขดมกลิ่นมากขึ้น กระจายตรวจบริเวณโดยรอบทำเนียบรัฐบาล โดยให้เน้นตรวจเข้มรถทุกคันที่จอดอยู่ภายในทำเนียบรัฐบาล ขณะที่ก่อนประชุม ครม. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เดินเข้าไปภายในตึกนารีสโมสร เพื่อสำรวจการจัดเตรียมสถานที่แถลงข่าวใหม่ ของตนเอง หลังการประชุม ครม. ซึ่งปกติตึกนี้จะถูกใช้เป็นห้องแถลงข่าวของทำเนียบรัฐบาลโดยทีมโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยนายอภิสิทธิ์มีสีหน้าพึงพอใจ

นอกจากนี้ ก่อนเป็นประธานการประชุม ครม. นายอนุชา ธีคานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการการแสดงโขนชุดพรหมาศ และนายสุรัตน์ จงคา อาจารย์จากวิทยาลัยนาฏศิลป์ ได้นำนักแสดงโขนจากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เข้ามอบบัตรเชิญการแสดงโขนชุดพรหมาศและหนังสือวิวัฒนาการเครื่องการแต่งกายโขนละครไทยสมัยรัตนโกสินทร์ ให้กับนายกฯ และ ครม. ทั้งนี้การแสดงดังกล่าวจะ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-21 มิ.ย. ที่ศูนย์วัฒน ธรรม เริ่มตั้งแต่เวลา 19.30 น.

ยัน“บิ๊กบัง”ไม่ใช่หน.มาตุภูมิ


นายมุข สุไลมาน รักษาการโฆษกพรรคมาตุภูมิ และสมาชิกกลุ่มวาดะห์ กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. จะมาเป็นหัวหน้าพรรคมาตุภูมิว่า ยืนยันว่าไม่มี เป็นเพียงข่าวที่พูดกันออกมา ซึ่งทุกคนมีสิทธิที่จะพูด ถ้าเรื่องที่พูดไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ส่วนจะจริงหรือไม่เป็นอีกเรื่อง ทั้งนี้ตนมองว่าคนที่ออกมาพูดเพื่อดักทางให้เห็นว่าตัวเองนั้นคาดการณ์ได้ถูกแต่ถ้าไม่ถูกก็ไม่เป็นไร ตนเชื่อว่าคนที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรคมาตุภูมิไม่ใช่ พล.อ.สนธิแน่นอน ยืนยันว่ากลุ่มวาดะห์ไม่มีการพูด ส่วนคนที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรคมองดูในเวลานี้ก็มีหลายคนที่มีความ เหมาะสม อย่างไรก็ตามเราก็อยากได้คนที่มีประสบการณ์ทางการเมืองมาเป็นหัวหน้าพรรค

รักษาการโฆษกพรรคมาตุภูมิ กล่าวต่อว่า หลังจากที่เราได้ชื่อพรรคมาแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คงจะเป็นเรื่องของการรวบรวมสมาชิกพรรคให้ได้ 5,000 คน จากนั้นก็คงจะเรียกประชุมใหญ่สามัญเพื่อเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ ส่วนจะเป็นใครนั้นขึ้นอยู่กับกรรมการบริหารพรรคและสมาชิกพรรคเป็นผู้เลือก เชื่อว่าเมื่อได้หัวหน้าพรรคคนใหม่แล้วกระแสข่าวที่เกิดขึ้นคงเงียบไปเอง การเลือกหัวหน้าพรรคคงจะเร็ว ๆ นี้ เพราะคาดว่าอีกไม่นานคงจะมีการเลือกตั้งใหม่

กกต.สวดโปลิศฝ่อคุมเลือกตั้ง


นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวถึงการเลือกตั้งซ่อมที่ จ.สกลนครว่า คาดว่าในวันที่ 16 มิ.ย. จะมีเรื่องร้องเรียนเพิ่มเติมเข้ามา ซึ่งเป็นหน้าที่ของกกต.ที่ต้องติดตามว่าความเป็นอย่างไร เพราะต่างฝ่ายต่างร้อง อย่างไรก็ตาม กกต. ก็เฝ้าจับตาดูอยู่ โดยส่งชุดสืบสวนจาก กกต.กลางและพื้นที่ใกล้เคียงไปสมทบกับ กกต.จว.ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังเกรงกลัวแม้แต่ตำรวจยังไม่กล้าปฏิบัติหน้าที่ นายประพันธ์ กล่าวว่าไม่ทราบจะกลัวอะไร เพราะการปฏิบัติหน้าที่เป็นหน้าที่ของพลเมืองดี เป็นศักดิ์ศรีที่ต้องทำ เหมือน กกต. ที่โดนแรงกดดันมากมายก็ยังต้องทำหน้าที่ต่อไป ไม่อย่างนั้นประเทศจะอยู่ได้อย่างไร

นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้พิจารณาการรายงานผลการลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า ส.ส. สกลนคร เขต 3 โดยได้รับรายงานถึงเหตุที่ กรรมการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้ง (กต.เขต) ที่ 3 ต้องใช้รถขังผู้ต้องหาในการเก็บรักษาหีบบัตรเลือกตั้งล่วงหน้า แทนสถานีตำรวจ เนื่องจากมีคำสั่งเวียนไป 5 สภ.ในพื้นที่ เรื่องความไม่สะดวกในการจัดเก็บหีบบัตร นอกจากนี้รับทราบรายงานว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจขอลาออกจากการเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และรับทราบการแก้ปัญหาของ ผอ.กต.เขตเลือกตั้งแล้ว กกต. จึงมติทำหนังสือถึง ผบ.ตร. ให้ดำเนินการกรณี ผบก.ภ.จว.สกลนคร ปฏิเสธการรักษาหีบบัตร และการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจขอลาออก

เสนอแยก“จ.ฝาง”จากเชียงใหม่


ที่รัฐสภา มีประชาชนจาก จ.เชียงใหม่ 10 คน นำโดยนายบดินทร์ กินาวงศ์ ได้เข้ายื่นหนังสือร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดจังหวัดฝาง พ.ศ. 2552 พร้อมด้วยบันทึกหลักการและเหตุผล และบันทึกวิเคราะห์สรุปสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ อีกทั้งเอกสารการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ดังกล่าว 10,500 ชุด ต่อนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ โดยนายสามารถ แก้วมีชัย รองประธานสภาคนที่ 1 เข้ารับหนังสือแทน

โดยนายบดินทร์ กล่าวว่า ประชาชนในพื้นที่ต้องการเรียกร้องให้รัฐสภาทำการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. 3 อำเภอในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ คือ อ.ฝาง อ.แม่อาย และ อ.ชัยปราการ เพื่อแยกการปกครองจาก จ.เชียงใหม่ และรวมเป็น จ.ฝาง โดยการเสนอครั้งนี้เป็นไปตามหลักการรัฐธรรมนูญ มาตรา 163 ขณะที่นายสามารถ ระบุหลังรับเรื่องว่า เบื้องต้นจะต้องตรวจสอบรายชื่อ 10,500 รายชื่อก่อนว่าเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ จากนั้นจะเป็นการนำรายชื่อทั้งหมดติดประกาศเพื่อให้มีการตรวจสอบและป้องกันการแอบอ้าง พร้อมกันนี้ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวมีความเกี่ยวพันกับงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งจะต้องมีการนำเสนอต่อนายกฯ เพื่อรับรองก่อนถึงจะนำเข้าสู่การประชุมรัฐสภา เพื่อพิจารณารับหลักการต่อไป

พท.สับกู้บาน5ล้านล้านบาท

สำหรับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ พ.ศ. ... ที่ค้างการพิจารณาเมื่อกลางดึกวันที่ 15 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายเป็นคนแรกว่า รัฐบาลชุดนี้เข้ามามีแต่การกู้เงิน โดยเมื่อวันที่ 10 มี.ค. 2552 ก็ขอเพื่อฟื้นเศรษฐกิจ 7 หมื่นล้านบาท มาเดือน พ.ค. ก็ทำเรื่องกู้สร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินอีก 5 หมื่นล้านบาท สายหัวลำโพง-ท่าพระ 2 หมื่นล้านบาท

นายวรวัจน์ ระบุอีกว่า ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน ก.พ. ได้ขอกู้สร้างรถไฟฟ้าสายบางซื่อ- รังสิต 2 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันรวมหนี้ประมาณ 3.7 ล้านล้านบาท และเมื่อรวมหนี้ที่จะเกิดจากโครงการไทยเข้มแข็งอีก 1.43 ล้านล้านบาท รวมหนี้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตกว่า 5 ล้านล้านบาท ขณะที่รัฐบาลมีกำลังใช้หนี้เพียงปีละ 1.5 แสนล้านบาท ดังนั้นเราจะต้องใช้หนี้ถึง 100 ปี

ซัดทีมงาน“กรณ์”เล่นอินไซต์

นายวรวัจน์ กล่าวต่อว่า การขอกู้เงินจาก พ.ร.ก. และ พ.ร.บ. 2 ฉบับรวม 8 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่มาดำเนินการโครงสร้างพื้นฐาน แต่ปัญหาเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันเป็นเรื่องของภาคการผลิต การเกษตรและการท่องเที่ยวกลับได้รับเจียดจ่ายน้อยมาก การกู้จากสถาบันการเงินในประเทศ 8 แสนล้านบาท ขณะที่สภาพคล่องมีเพียง 9 แสนล้านบาท จึงไม่เหลือสภาพคล่องให้ภาคเอกชน แต่ต้องรู้ว่ากู้แล้วเอาไปทำอะไร แต่เอกสารที่รัฐบาลส่งมาให้เป็นเพียงแผนการใช้เงิน แต่ไม่มีแผนบริหารจัดการให้สอดคล้องกัน ซึ่งท่านกำลังจะทำผิดวินัยการเงินการคลังอย่างร้ายแรง และอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญเพราะไม่มีการจัดทำแผนการชำระหนี้ว่าจะเอาเงินจากไหนมาใช้หนี้ที่รัฐบาลชุดนี้สร้างขึ้น

นายวรวัจน์ กล่าวอีกว่า ขอตั้งข้อน่าสังเกตกรณีธนาคารเอกชนแห่งหนึ่งที่มีกระทรวงการคลังและธนาคารพาณิชย์อื่นเข้าไปถือหุ้น แล้วมีข่าวว่าธนาคารจากประเทศจีนจะเข้าซื้อกิจการ เมื่อเดือน เม.ย. ราคาหุ้นเพียง 2.06 บาท พอมีข่าวว่าการจะเข้าซื้อกิจการราคาหุ้นกลับเพิ่มขึ้น และมีการพูดถึงเป้าหมายหุ้นละ 8 บาท จึงกลายเป็นที่เคลือบแคลงว่าการนำคนจากโบรกเกอร์เข้ามาทำงานให้กระทรวงการคลัง ในขณะที่ภาพลักษณ์ก็ล้มเหลวจากการเล่นหุ้นที่ทำให้ทรัพย์สินส่วนตัวหายไปจำนวนมาก ตรงนี้จะมีความโปร่งใสมากน้อยแค่ไหน

ขุนคลังตอกเต้าข่าวโคมลอย


นายวรวัจน์ ยังกล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ก็มี ส.ว.หญิงคนหนึ่งพูดถึงเรื่องเงินปากถุง ซึ่งหากเงินกู้ 8 แสนล้านบาทได้เงินปากถุงปีละ 1 เปอร์เซ็นต์ก็จะได้ปีละ 8 พันล้านบาท 10 ปีก็จะได้ 8 หมื่นล้านบาท ตนก็ไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ข่าวออกมาหนาหูเหลือเกิน ถ้าหากรัฐมนตรีชี้แจงไม่ได้ตนจะนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร

นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ชี้แจงว่า รู้สึกผิดหวังที่ผู้อภิปรายไม่หาข้อมูลให้มาก กว่านี้ น่าจะทำการบ้านได้ดีกว่านี้ ไม่ใช่เอาข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ ที่สุดท้าย บก.ของหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวก็ได้โทรศัพท์มาขออภัยตนในความคาดเคลื่อนของข่าวที่ลงไป ซึ่งตนก็ไม่ได้ติดใจและไม่คิดว่าจะมีใครยกข่าวนี้มาพูดในสภา หากยังสงสัยก็สามารถยื่นฟ้องหน่วยงานต่าง ๆ ได้เลย ส่วนกรณีเงินปากถุงขอยืนยันว่ากระบวนการกู้เงินของกระทรวงการคลังเป็นไปอย่างโปร่งใส การออกมากล่าวหาเช่นนี้สร้างความเสียหายและควรมีหลักฐานมากกว่านี้ ส่วนที่มองว่าการกู้เงินจะขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 169 เรื่องนี้มีการศึกษาและหยิบยก พ.ร.บ.วิธีพิจารณางบประมาณมาตรา 23 วรรคหนึ่ง เปิดโอกาสให้ใช้เงินด้วยวิธีการอื่นได้

“สุนัย”แฉมัดจำ 30 ล.จองเค้ก

ต่อมานายสุนัย จุลพงศธร ส.ศ.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า รัฐบาลชุดนี้มีข่าวทุจริตเฉลี่ยเดือนละเรื่อง ทำให้ตนไม่สามารถจะโหวตผ่านร่าง พ.ร.บ.กู้เงินฯ นี้ได้ ขณะนี้มีข้อมูลความไม่ชอบมาพากลที่รัฐมนตรีบางคน และข้าราชการบางกลุ่ม ได้ไปนัดพบเจรจากันเมื่อวันที่ 21-23 พ.ค. 2552 ที่สนามกอล์ฟไพน์เฮิร์สท ได้มีการพูดคุยกันถึงโครงการที่อยู่ในส่วนของงบประมาณ กรมอาชีวศึกษา ซึ่งอยู่ในส่วนของงบกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวน 1 หมื่นล้านบาท โดยมีการเจรจากันแล้ว 6 บริษัท มีการวางมัดจำกันแล้ว 30 ล้านบาท

นายสุนัย กล่าวว่า โดยมีข่าวว่าจะเอาไปให้ฝ่ายการเมือง ต่อมามีหนังสือร้องเรียนไปยังรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรี จน รมช.ศึกษาธิการ ได้ทำหนังสือแจ้งไปยังนายกฯ ว่า ได้ตั้งกรรมการ สอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้แล้ว เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2552 ซึ่งการตั้งกรรมการสอบแสดงว่าต้องมีมูลทุจริตเกิดขึ้นแล้ว ขอตั้งข้อสังเกตว่าโครงการนี้ ทำให้บางคนในกรมอาชีวศึกษาเข้มแข็งขึ้นหรือไม่

“ตู่”ย้ำแผลปชป.อุ้มคนรวย


ส่วนนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายว่า ได้ติดตาม พ.ร.ก. และ พ.ร.บ.กู้เงิน เนื้อหาสาระไม่แตกต่างส่อนัยใช้วิธีพิเศษ พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่มีรายละเอียดอะไรเลย รมว.คลัง เคยเป็นโบรกเกอร์ น่าจะรู้ว่าการจะกู้เงินจะต้องมีรายละเอียดอย่างไร ซึ่งจะต้องมาขอเสียงในสภา แทนคน 63 ล้านคนในการกู้เงินขณะที่การแจกเงินหัวละ 2 พันบาทให้คนที่มีเงินเดือนไม่เกิน 1.5 หมื่นบาทไม่ครอบคลุมคนส่วนใหญ่ ทั้ง ๆ เคยมีข้อมูลสำรวจคนยากจนกลับไม่นำมาใช้ จนมีการอุปมาอุปไมยว่าเป็นการ อุ้มคนรวย ไม่อุ้มคนจน หรือไม่รดที่ราก กลับไปรดที่ยอด

นายจตุพร อภิปรายอีกว่า สมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้ไปใช้หนี้ไอเอ็มเอฟ และได้ปลดแอกประเทศไทยไม่เป็นหนี้ แต่ประเทศวันนี้ไม่มีอนาคต ถึงวันนี้รัฐบาลไม่ได้มาดับไฟไหม้บ้าน แต่กำลังมาสุมไฟ และมาเผาไฟไหม้บ้านซ้ำอีก ตอนนี้คนในประเทศ มีความสงสัยไว้ว่าต่อรองกับพรรคร่วมรัฐบาลเพราะทุกวันนี้กลไกทางการเมืองกลายเป็นเงื่อนไขในการต่อรองไปแล้ว.