ที่มา ไทยรัฐ
มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์
ชี้ตั้งงบปี 53 ลดลงทั้งที่ขุนคลังระบุเงินคงคลังและเงินสำรองระหว่างประเทศเหลืออยู่จำนวนมาก ขณะที่เมื่อไม่กี่วันเพิ่งจะออกพ.ร.ก.และพ.ร.บ.ให้อำนาจคลังกู้เงิน แล้วเหตุใดต้องมาตัดงบปี 53
ผู้สื่อข่าวรายงานการอภิปรายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 53เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.ได้ดำเนินมาจนกระทั่งเวลา 22.00 น.นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายว่า เป็นการตั้งบพิเรนทร์ อุดตริ ตั้งงบประมาณปี 53 ลดลงทั้งที่รมว.คลังประกาศว่าเงินคงคลังและเงินสำรองระหว่างประเทศเหลืออยู่จำนวนมาก ขณะที่เมื่อไม่กี่วันเพิ่งจะออกพ.ร.ก.และพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินมาแล้ว แล้วเหตุใดต้องมาตัดงบประมาณปี 53 ซึ่งตามปกติเขาจะไม่ทำกันยกเว้นเศรษฐกิจย่อยยับจริงๆ ทำไมจึงไม่ตั้งงบประมาณส่วนหนึ่งกลับมาไว้ในพ.ร.บ.งบประมาณ เพราะการโยกงบประมาณออกไปนำมาซึ่งการยากต่อการตรวจสอบ ทำให้ธรรมาภิบาลทางเงินการคลังลดมาตรฐานลง ซึ่งผู้ใหญ่และนักวิชาการด้านการเงินการคลังล้วนบอกว่าเป็นการตั้งงบที่ผิดปกติ จะทำให้ภาพพจน์ของประเทศเสียหาย เพราะไทยเคยจัดงบแบบนี้ตอนปี 40 ในสมัยพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ประเทศมีปัญหาวิกฤตต้มยำกุ้ง จึงเป็นเรื่องน่ากลัว และหากเป็นตนจะไม่ทำเช่นนี้เด็ดขาด แยกงบลงทุนออกไปจากงบประมาณประจำปีทำไมในเมื่อได้ขอให้สภาฯมีการประชุมติด กันแล้วถึง 4 วันในการอนุมัติเงินกู้
นายมิ่งขวัญ กล่าวอีกว่า งบกลางปี 52 จัดสรรให้ 3 กระทรวงหลักทางเศรษฐกิจ คือ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงท่องเที่ยวฯ เพียงแค่ 2%เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก ขณะที่งบประมาณปี 53 กระทรวงท่องเที่ยวฯ ได้ 0.2 % กระทรวงพาณิชย์ได้รับจัดสรร 0.4% และกระทรวงอุตสาหกรรมได้รับจัดสรรเพียง 0.3 % สามกระทรวงหลักรวมกันได้เพียง 0.9% นี่หรือคือการกระตุ้นเศรษฐกิจ แล้วเงินจำนวนมากนั้นเอาไปอยู่ตรงส่วนไหน ขณะที่กระทรวงเกษตรฯได้งบประมาณปี 53 เพียง 3.3% เท่ากับเกษตรกรทั้งประเทศได้งบประมาณเพียงแค่ 3.3%ของงบประมาณ เป็นการจัดสรรงบประมาณที่ไม่เข้าท่า ไม่สมเหตุสมผล
ขณะที่ นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ชี้แจงว่า ต้องนำเม็ดเงินลงทุนมาไว้ในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจตามโครงการไทยเข้มแข็ง ที่ระบุว่าเหตุใดกระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้งบประมาณน้อยมาก ทั้งที่สมัยรัฐบาลก่อนก็จัดสรรงบประมาณให้กระทรวงอุตสาหกรรม 0.3%เท่ากัน ขณะที่ให้กระทรวงท่องเที่ยวฯ 0.3%เช่นกัน และให้กระทรวงเกษตรฯเพียงแค่ 0.4% และยืนยันว่าเอสเอ็มอีไทยจะได้รับเงินช่วยเหลือเป็นอันดับแรกแน่นอน ส่วนที่ต้องทำพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจำนวน 4 แสนล้านบาทก็เพราะใส่ไว้ในงบประมาณปกติไม่ได้เนื่องจากต้องแก้ไขกฎหมาย ในช่วง 3 ปีรัฐบาลมีแผนการลงทุน 1.5 ล้านล้านบาทจึงต้องมีความชัดเจนและต้องพิจารณาเงินกู้ทั้ง8 แสนล้านบาทไปพร้อมกัน สำหรับคำถามถึงหนี้ครัวเรือนของประชาชนว่าอยู่ในอัตราเท่าใด ต้องไปดูรัฐบาลชุดก่อนๆที่ทำให้ประชาชนมีหนี้ครัวเรือนจากหลักหมื่นกลายเป็น หลักแสนบาท ผิดกับการกู้เงินครั้งนี้เป็นหนี้สาธารณะซึ่งหมายถึงหนี้ของรัฐบาลที่รัฐ ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่หนี้ของประชาชน
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในช่วงท้ายของการประชุมได้มีการตอบโต้กันไปมาใน โครงการจัดซื้อเครื่องบินกริฟเฟนของกองทัพอากาศ โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีชี้แจงว่าเป็นการอนุมัติสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ชณะที่นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ตอบโต้ว่าเป็นการเสนอมาจากรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งต่อมานายสุเทพ ก็ให้สัมภาษณ์สนับสนุน หากมีการจัดซื้อต่อไปก็ไม่ควรวางกรอบเป็นเงื่อนไขผูกพันให้รัฐบาลต่อไปต้อง ปฏิบัติตาม ซึ่งนายสุเทพ ยืนยันว่า กองทัพอากาศมีความจำเป็นต้องซื้อเครื่องบินชนิดนี้ และต้องการจะจัดซื้อให้ครบฝูงบิน 12 ลำแต่รัฐบาลได้ขอร้องไว้ว่าขณะนี้เศรษฐกิจของประเทศไม่ดี ขอให้ชะลอโครงการจัดซื้อไว้ก่อน.