WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, June 17, 2009

8 แสนล้าน คนไทยได้อะไร?

ที่มา บางกอกทูเดย์

ทำไม?? ความอุดมสมบูรณ์ ของประเทศไทย ทั้งเรื่องอาหารวัฒนธรรม รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยว ไม่ได้ช่วยอะไรอย่างนั้นหรือปัญหาที่เกิดขึ้น...เป็นเพราะการขาดการ “บริหารจัดการ” ที่ดีหรือไม่??เพราะไม่มีประเทศไหนที่เขากู้แบบ “วินาศสันตะโร”แบบนี้...เมื่อเทียบกับการเป็นประเทศ “กำลังพัฒนา”ที่ยังต้องพึ่งพากิจกรรมทางด้าน “การเกษตร”รัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมา...มุ่งแต่จะทำให้ผืนดินแห่งนี้เป็น“ประเทศอุตสาหกรรม” ผลิตรถยนต์...ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมทุกประเภทพยายาม “เอื้อมมือ” ไขว่คว้าในสิ่งที่ตนไม่มี เพื่อให้ตัวเองมี...โดยลืมนึกถึง “สิ่งมีค่า” ซึ่งมีอยู่ทุกหนแห่งบนผืนแผ่นดินไทยแล้วเมื่อไหร่ “ประเทศไทย” จะสามารถยืนบนขาตัวเองได้!ไม่ใช่ “บางกอกทูเดย์” พูดถึงการกู้เงินว่าเป็นเรื่องไม่ดี...ไม่มีเงินก็จะไม่ให้กู้ แต่เมื่อกู้แล้วนำเงินตรงนั้นมาทำอะไร...เป็นสิ่งที่ต้องแจง “คนเป็นหนี้ตัวจริง” ซึ่งก็คือประชาชนให้รับทราบใครเป็นคนใช้เงินกู้...วิธีการใช้คืนเงินกู้ จะเอาตรงไหนไปใช้คืนคืนเมื่อไหร่...คืนอย่างไร ที่สำคัญ สมมติว่าไม่มีเงินใช้หนี้“รัฐบาล” จะใช้วิธีการและมาตรการอย่างไรที่สำคัญ นี่คือการสร้างภาระหนี้ให้ประชาชน สร้างภาระหนี้ให้ประเทศชาติ และสร้างภาระหนี้ให้กับรัฐบาลชุดต่อๆ ไปใช่หรือไม่?หรือว่านายกฯ อภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งพรรคร่วมรัฐบาล จะ ประกาศสัญญาประชาคม เอาไว้ให้ชัดเจนว่าหนี้ 800,000 ล้านบาทในครั้งนี้ จะใช้ให้จบสิ้นให้ได้ภายในรัฐบาลชุดนี้ จะไม่มีการโยนบาป โยนเผือกร้อนไปให้รัฐบาลต่อไปเป็นอันขาดถ้ากล้าประกาศการันตีเยี่ยงนี้ ประชาชนคนไทยปรบมือเฮ

ให้แน่ ขอให้ทำได้จริงแต่ในเมื่อวันนี้ทุกอย่างยังเป็นวิมานสวยหรูในอากาศวาดความหวังให้กับคนทั้งประเทศว่า เมื่อกู้เงินมาแล้วจะมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นจึงไม่แปลกที่จะมีคำถามว่า จริงหรือ???ดังนั้น ทุกคำถามจึงเป็นเรื่องที่ “รัฐบาล” ต้องตอบให้กระจ่างชัด...ไม่มีออกอาการอ้ำๆ อึ้งๆไม่ใช่ถามไถ่ไปจนปากจะฉีกถึงรูหู...ก็เงียบหาย “ไม่มีสัญญาณตอบรับจากรัฐมนตรีที่ท่านเรียก”การกู้เงินไม่ใช่เรื่อง “เลวร้าย” ถ้ามีเหตุผลในการกู้...แต่หากคิดอยู่เพียงว่าจะต้องกู้ “เพื่อสร้างงาน” สิ่งนี้มันจะ“ยั่งยืน” ถึงขนาดทำให้ประเทศชาติ “ฟื้นคืนชีพ” จากหลุม...เป็นเรื่องที่ “เป็นไปได้” เพียงใดเพราะเงินที่กู้ยืมมา...เวลาจ่ายคืน คือ เงินจากกระเป๋าของประชาชนอาแป๊ะขายเต้าฮวยก็ต้องจ่าย...เจ๊หมวยร้านตัดเสื้อก็ต้องจ่าย...แม้แต่ตัว นายกรัฐมนตรี หรือ รัฐมนตรี ทุกคนที่เป็นคนไทยก็ต้องควักกระเป๋าจ่ายเพียงแต่ “โอกาส” ในการหารายได้ของบุคคลเหล่านี้มีไม่เท่าเทียมกัน...ซึ่งคนระดับท่านนายกฯ รวมถึงรัฐมนตรีที่มีรายได้เป็นหลักแสนหลักล้าน จ่ายได้ไม่สะเทือนน่ะมีน้อยในสังคมแต่คนอย่าง “อาแป๊ะ” กับ “เจ๊หมวย” ที่มีรายได้พอเลี้ยงชีพ เลี้ยงครอบครัว กลับมีอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองแต่สุดท้าย...ต้องควักเงิน “จ่ายเท่ากัน” เพราะว่าเป็นหนี้ต่อหัวเท่ากัน!ไม่ได้สบายเฉกเช่นตามที่ “สุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล”ส.ส.เพื่อไทย พูดถึงเรื่อง “ผลพลอยได้” หรือ By Productที่ว่า...การกู้เงิน ก็มี “เงินปากถุง” เนียนๆ แล้ววันนี้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรีคิดออกหรือยังว่าต้องทำอย่างไร...แสดงความ “จริงใจ” พูดออกมาให้ประชาชน

ได้รับรู้ชนิดไม่ติดภาพสวยหรู ชูหลักการเช่นที่ผ่านมาเอาแบบเนื้อๆ ไม่เอาน้ำๆถ้าหากบอกว่า “กู้เงิน” มาแล้วก็ใช้...แต่ไม่ได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับการกู้ “เงินมโหฬาร” ก้อนนี้มาใช้เลยหากนี่เรียกว่า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ...แบบนี้ใครๆ คงเป็น“นายกรัฐมนตรี” ขึ้นมาบริหารประเทศแทนท่านได้สิ่งที่ประชาชนอยากเห็นหลังการ “กู้เงิน” มาแล้ว...คือนโยบายการบริหารจัดการ คัดกลั่นนโยบายเด็ดๆ ที่สามารถดึงนักลงทุนได้อย่าง “เป็นกอบเป็นกำ”เอาให้ชัดๆ ซัดกันไปเลยว่า...รัฐบาลมีความสามารถที่จะ “ฟื้นคืน” เศรษฐกิจให้แก่ประเทศชาติได้ปลุกมันขึ้นมา...ทั้งกระแสเกี่ยวกับการท่องเที่ยว การลดต้นทุนในการบริหารจัดการส่วนต่างๆ การสร้างประสิทธิภาพในระบบราชการและรัฐวิสาหกิจและสุดท้าย คือ “การกล้าตัดสินใจ” ในฐานะผู้นำประชาชนคนหนึ่งได้ “ตั้งคำถาม” ขึ้นมาว่า...หากท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ มีโอกาสได้เข้าไปบริหารงานในองค์กรใหญ่ๆจะเป็น องค์กรเอกชน หรือ องค์กรรัฐวิสาหกิจ ขนาดใหญ่ที่ไหนก็ตามแต่...ถามว่า...บริษัทที่ประสบกับปัญหาภาวะการเงินเหล่านั้นจะกล้าจ้าง “คุณอภิสิทธิ์” ไปบริหารงานหรือไม่สิ่งที่บริษัทเหล่านั้นพึงมอง คือ เรื่องประสบการณ์ เรื่องแนวคิดที่ท้าทาย รวมถึงผลงานที่เคยทำมา...ประชาชนท่านนี้จึงตั้งคำถามต่อไปว่า...แล้วนี่กับ “ประเทศไทย”ซึ่งบริหารยากกว่าองค์กรทั่วไปมากมาย ในช่วงที่ต้องแข่งขันกับประเทศคู่แข่ง จากทั่วโลกถ้ายังมัวแต่ “ห่วงหน้าพะวงหลัง” โทษแต่ปัญหาว่าเกิดจากภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องจ้าง ผู้บริหารแพงๆ...ใครๆ ก็สามารถบริหารงานได้แบบนี้แล้วคนไทยจะได้อะไร? ■