ที่มา มติชนออนไลน์เมื่อวันที่ 14 มิถุนายนว่า นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกะรทรวงต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ถึงกรณีการแก้ปัญหาพรมแดนบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า เมื่อตอนที่นายอภิสิทธิ์ เป็นผู้นำฝ่ายค้านฯ นายอภิสิทธิ์ และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์หลายคน เช่น นายอลงกรณ์ พลบุตร ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจตน ในฐานะรมว.ต่างประเทศ เกี่ยวกับกรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก และมีหลายประเด็นที่เป็นความเท็จ และเป็นความเห็นที่บิดเบือน แต่หลังจากที่นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ได้เข้ามาบริหารประเทศ และหลังจากการเดินทางไปเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ไม่ได้ดำเนินการใดๆตามสิ่งที่ได้เคยพูดและโจมตีตนไว้ ดังนี้
1.นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ เคยอภิปรายว่า เส้นเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชายังใช้สันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดน ทั้งๆที่กองทัพ กรมแผนที่ทหาร และกระทรวงการต่างประเทศยึดถือเส้นเขตแดนที่ขีดตามแผนที่ชุด แอล7017 ที่ใช้สันปันน้ำเหมือนกัน แต่ยกเว้นปริเวณปราสาทพระวิหารที่ขีดเส้นและยกให้กัมพูชาตามคำตัดสินศาลโลก แต่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ มีความเห็นว่า ที่ดินใต้ปราสาทและ ที่ดินบริเวณปราสาทยังเป็นของไทย ดังนั้น นายอภิสิทธิ์และรัฐบาลต้องไปเจรจากัมกัมพูชาขอ ที่ดินใต้ปราสาทและที่ดินบริเวณปราสาทคืนมาอย่างไรก็ตาม ตั้งแต่มาเป็นรัฐบาลและในการเดินทางไปพบนายกฯฮุนเซ็น ของกัมพูชาที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ไม่ได้ดำเนินการใดๆตามที่นายอภิสิทธิ์เคยโจมตีตนในสภา
2. นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์เคยอภิปรายไม่ไว้วางใจตนว่าเส้นเขตแดนตามแผนที่ชุดแอล 7017ตรงบริเวณปราสาทพระวิหารไม่ใช่เส้นเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชา ทั้งๆที่กระทรวงการต่างประเทศ กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กองทัพไทยและกรมแผนที่ทหาร ระบุว่าเป็นเส้นเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชา ที่ไทยยึดถือ และเป็นท่าทีของประเทศไทยมาโดยตลอด
“ นายอภิสิทธิ์ได้บิดเบือนข้อมูลเพราะนายอภิสิทธิ์ลืมไปว่า ตัวนายอภิสิทธิ์เองที่นั่งอยู่ในคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในปี 2541 ได้เคยอนุมัติพระราชกฤษฎีกาที่ประกาศเขตอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร เมื่อ ปี 2541 และจัดทำแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกา โดยในแผนที่ดังกล่าว รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ได้ใช้และทำตามแผนที่ชุด แอล7017 ทุกประการ นอกจากนั้นยังระบุใต้แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาว่า เส้นเขตแดนบริเวณปราสาทพระวิหาร คือ “เขตเส้นพรมแดนตามกฎหมาย ระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาประชาธิปไตย” ซึ่งตรงข้ามกับสิ่งที่นายอภิสิทธิ์และพรรค ประชาธิปัตย์อภิปรายในสภาอย่างสิ้นเชิงว่าไม่ใช่เส้นเขตแดนระหว่างประเทศ” แถลงการณ์นายนพดลระบุ
แถลงการณ์ ดังกล่าวระบุอีกว่า ในการทำแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาของนายอภิสิทธิ์ดังกล่าวนั้น ถ้าคดีขึ้นศาลโลก ไทยอาจจะถูกกฏหมายปิดปากอีกครั้ง เพราะนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ไปออกกฏหมายภายในเป็นพระราชกฤษฎีกา ซึ่งทำตามแผนที่ ชุด แอล 7017 ไปแล้ว 3. สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์หลายคน โดยเฉพาะนายกษิต ภิรมย์ และนายอลงกรณ์ พลบุตร ได้โจมตีว่า การลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาตามมติคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชนั้นกระทำไปเพื่อแลกกับสัมปทานน้ำมันและแก๊ซธรรมชาติในกัมพูชา หรือเพื่อแลกกับโครงการการลงทุนในเกาะกง กัมพูชา โดยเฉพาะกล่าวหาว่ากระทำไปเพื่อให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ได้รับสัมปทานหรือได้รับประโยชน์ ซึ่งเป็นความเท็จ ดังนั้นในการเดินทางไปกัมพูชาที่ผ่านมา ทำไมนายอภิสิทธิ์ไม่สั่งการให้รัฐบาลไปตรวจสอบในกัมพูชาว่าการการลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา กระทำไปเพราะมีผลประโยชน์ตอบแทน ทำไปเพื่อแลกกับสัมปทานน้ำมันและแก๊ซธรรมชาติในกัมพูชา ห รือเพื่อแลกกับโครงการการลงทุนในเกาะกงจริงหรือไม่ ทำไมนายอภิสิทธิ์และรัฐบาลไม่ทำความจริงให้ปรากฎ 4. นายนายกษิต ภิรมย์ ก่อนมาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศก็ประกาศบนเวทีพันธมิตรว่าจะทวงปราสาทพระวิหารคืนจากกัมพูชา และนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์มีความเห็นว่าไทยยังสงวนสิทธิทวงคืนปราสาทพระวิหาร เพราะอาจค้นพบหลักฐานใหม่ และสามารถทวงคืนได้ตลอดเวลาเพราะไม่มีกำหนดอายุความตามข้อ 60 ของธรรมนูญศาลโลก ซึ่งความเห็นของนายนายกษิต ภิรมย์ และของนายอภิสิทธิ์ขัดแย้งกับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศโดยสิ้นเชิง โดยกระทรวงการต่างประเทศยืนยันว่า คำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีปราสาทพระวิหารถึงที่สุด และอุทธรณ์และรื้อฟื้นคดีไม่ได้แล้ว ตามข้อ 60 และ 61 ธรรมนูญศาลโลก ดังนั้นในการเดินทางไปพบนายกฯฮุนเซ็น นายอภิสิทธิ์ทำไมไม่ได้แจ้งต่อนายกฯกัมพูชาว่าไทยยังสงวนสิทธิทวงปราสาทพระวิหารคืน และขอถามว่านายอภิสิทธิ์จะดำเนินกระบวนการยื่นเรื่องทวงคืนประสาทพระวิหารต่อศาลโลกเมื่อใด เพื่อพิสูจน์ว่าความเห็นของนายอภิสิทธิ์ถูกต้อง