WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, December 10, 2009

เอา50กลับไป เอาปี40คืนมา!

ที่มา บางกอกทูเดย์

พรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ น่าที่จะอาศัยวาระวันรัฐธรรมนูญในวันนี้ ประกาศเดินหน้าถามความชัดเจนจากประชาชน ด้วยการทำประชามติ ว่าจะเอารัฐธรรมนูญปี 2540 หรือว่า ปี 2550ตอนนี้ไม่มีเงาของ คมช.แล้ว...และประชาชนก็ตื่นตัวในเรื่องของการเมืองอย่างมากแล้ว เพราะบอบช้ำมา 3 ปีเต็ม

แม้ว่าวันนี้คือวันที่ 10 ธันวาคม ถือเป็นวันสำคัญยิ่งของระบบการเมืองการปกครองของไทย เพราะเป็นวันรัฐธรรมนูญของประเทศไทยแต่ไม่รู้ว่าวันรัฐธรรมนูญในปีนี้ จะช่วยให้บรรยากาศการเป็นประชาธิปไตยของประเทศไทยมีเพิ่มมากขึ้นได้มากน้อยเพียงใดตราบเท่าที่แม้แต่การเลือกใช้รัฐธรรมนูญฉบับใด ก็ยังคงเป็นประเด็นความแตกแยกในสังคมไทยอยู่อย่างไม่มีการลดราวาศอกพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มพันธมิตรฯ พรรคการเมืองใหม่ และกลุ่มนักวิชาการที่ร่วมขบวนการขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ... ยืนยันว่ายังไงก็ต้องใช้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2550 เพราะเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับหน้าแหลมฟันดำ ที่ทำ

คลอดออกมาภายใต้การทำรัฐประหารนั้นดีที่สุดแล้วในขณะที่พรรคฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย กลุ่มคนเสื้อแดง และกลุ่มนักวิชาการที่เห็นว่า รัฐธรรมนูญปี 50 มีปัญหาก็ยืนยันเช่นกันว่า ต้องใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 เพราะทำคลอดออกมาโดยตัวแทนประชาชนในขณะที่การเมืองไทยไม่ได้อยู่ภายใต้ท็อปบูทและปากกระบอกปืนขนาดแค่เรื่องจะใช้รัฐธรรมนูญฉบับใด ก็ยังเป็นความแตกแยกทางความคิดชนิดสุดโต่ง 2 ขั้ว... นี่หากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและพานแว่นฟ้า

สามารถหลั่งน้ำตาด้วยความสะทกสะท้อนกับเส้นทางประชาธิปไตย 77 ปี ของประเทศไทยได้มีหวังน้ำเนตรท่วมพานแว่นฟ้า และอาจท่วมถึงพรหมได้เลยด้วยซ้ำนับจากวันที่ 27มิถุนายน พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ แห่งราชวงศ์จักรี ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทยพระราชดำรัสในวันพระราชทานรัฐธรรมนูญ ก็คือ “ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละ

อำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิม ให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจโดยสิทธิ์ขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร”จึงได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวเรียกว่า “พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว”จากนั้นในวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ ล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 7 ก็ได้ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร เพื่อเป็นหลัก

ในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทยเท่ากับว่ามาถึงขณะนี้ มีวันรัฐธรรมนูญมาแล้ว 77 รอบปีแต่เป็น 77 รอบปีของวันรัฐธรรมนูญที่ขรุขระระหกระเหินมาโดยตลอด กฎหมายรัฐธรรมนูญของไทยถูกฉีกทิ้งฉบับแล้วฉบับเล่า ด้วยฝีมือของคณะนายทหารแต่ละยุคแต่ละสมัยขนาดเชื่อกันว่า ปี 2535 การปฏิวัติรัฐประหารน่าที่จะสูญพันธุ์ไปจากเมืองไทยได้แล้วบรรดานายทหารหลายคน ซึ่งรวมทั้ง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกในช่วงปี 2549 ก็

ยังบอกว่าการปฏิวัติเป็นเรื่องล้าสมัยแล้วแต่สุดท้ายในปี 2549 ก็ยังมีการปฏิวัติเกิดขึ้นจนได้แถมเกิดขึ้นโดยฝีมือของคณะนายทหารที่เรียกตัวเองว่า คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ คปค. ซึ่งมีพล.อ.สนธิ นั่นเองเป็นหัวหน้าคณะนี่คือ ผลงานของเหล่านายทหารที่บอกว่า การปฏิวัติล้าสมัยแล้วและ ณ วันนี้กลับเลือกที่จะเข้ามาเล่นการเมือง เพื่อก้าวไปสู่ตำแหน่งและอำนาจทางการเมือง ทั้งๆ ที่ในอดีตเคยเป็นคนที่

ล้มล้างระบบการเมืองของไทย ภายใต้วิธีการที่เรียกอย่างสวยหรูว่าแผนบันได 4 ขั้นที่วันนี้พิสูจน์ชัดอีกเช่นกันว่า เป็นแผนอุบาทว์ 4 ขั้นเสียมากกว่า... เพราะนับตั้งแต่ในแผนในปี 2549 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน สังคมไทยไม่เคยสงบ และไม่สามารถที่จะลดความขัดแย้ง สร้างความปรองดอง สร้างบรรยากาศแห่งความสมานฉันท์ได้เลยแม้แต่น้อยวันนี้จึงไม่รู้ว่า บรรดาเหล่าผู้ที่เคยฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญทั้งหลาย จะมีความรู้สึกละอายใจขึ้นมาบ้างหรือไม่... หรือไม่รู้สึกรู้สมอะไรเลย

สักนิดต่อให้ไถ่บาปก็ยังต้องบอกว่าสายเกินไปเพราะวันนี้สังคมไทยบอบช้ำจากการแตกแยกทางการเมืองยิ่งนักและนอกเหนือจากการฉีกทั้งรัฐธรรมนูญปี 2540 ลงไป แต่บรรดาคณะนายทหาร คปค. ซึ่งสุดท้ายต้องเปลี่ยนชื่อเป็น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. โดยที่ตัวบุคคลก็ยังคงเป็นกลุ่มเดิมทั้งโขยง คมช. ยังได้ใช้อำนาจร่วมกับกลุ่มเคลื่อนไหว และอำนาจอำมาตยาธิปไตย ทำคลอดรัฐธรรมนูญเจ้าปัญหาฉบับ พ.ศ.2550 ออกมาโดยใช้เล่ห์กระเท่ ให้

ทำประชาพิจารณ์ ด้วยข้ออ้างว่า... ให้รับไปก่อน แล้วอะไรไม่ดีค่อยไปแก้ไขกันในภายหลัง... ยังจำได้หรือไม่???ด้วยกลไกอำนาจ และปากกระบอกปืนกับท็อปบูท สุดท้ายผลการทำประชามติจอมปลอมก็ออกมาสมดังใจของ คมช.นั่นคือ ได้ตัวเลขผู้ยอมรับรัฐธรรมนูญปี 50 เป็นจำนวน 14 ล้านเสียงซึ่งในนั้น จริงๆ แล้ว รู้กันดีอยู่แก่ใจว่า ได้รวมเสียงของผู้ที่เห็นด้วยแค่บางส่วน และหวังที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญในอนาคตตามคำสัญญาของ คมช.อยู่ด้วยส่วนผู้ที่ไม่เห็น

ด้วย และไม่เอารัฐธรรมนูญปี 50 เลยนั้น มีอยู่ 10 ล้านเสียงเป็น 10 ล้านเสียงที่ในวันนี้กำลังหัวเราะใส่บรรดาผู้ที่ตกหลุมพรางของ คมช. ในเรื่องที่ว่าสามารถจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ!!!เพราะเอาเข้าจริงพรรคการเมืองที่ คมช.สนับสนุนให้เป็นรัฐบาลให้ได้ คือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองไทยเมื่อก้าวขึ้นมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจ ก็ไม่ได้จริงใจในเรื่องการแก้ไขรัฐ

ธรรมนูญแต่อย่างใดอาจจะคิดว่า ผู้ที่รับปากว่าให้ลงประชามติรับๆ ไปก่อน แล้วค่อยไปแก้ไขเอาที่หลังนั้น ไม่ใช่คำพูดของพรรคประชาธิปัตย์... จึงไม่จำเป็นที่จะต้องรับผิดชอบต่อคำพูดของ คมช.ในวันนั้นจึงทำให้นายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เคยแสดงความจริงใจในการที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 เลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่หากจะทำจริงๆ ก็สามารถทำได้ตามสบายเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคเห็นพ้องอยู่แล้วว่า ควรแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 หากรวมเสียงของ

พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลเข้าไปด้วยต้องบอกว่าเหลือเฟือ!!!ต่อให้ฝ่ายค้านคือพรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วย เสียงก็ยังมากพอที่จะแก้ไขได้ แต่รัฐบาลก็กลับเล่นเกมอ้างว่า พรรคฝ่ายค้านไม่เข้าร่วมเลยทำให้การแก้ไขล่าช้าทั้งๆ ที่ ฝ่ายค้านบอกชัดเจนว่า ที่ไม่ร่วมแก้ไข ก็เพราะไม่เอารัฐธรรมนูญปี 50 ทั้งฉบับ แต่ต้องการใช้รัฐธรรมนูญปี 40 เท่านั้น... จึงไม่เข้าร่วมแล้วนายอภิสิทธิ์ กับพรรคประชาธิปัตย์จะเตะถ่วงไปทำไมกันขนาดพรรคร่วมรัฐบาลยังดูออก

แล้วทนไม่ไหว ต้องออกมาทวงถามความคืบหน้านี่หรือคือพรรคการเมืองเก่าแก่ที่บอกว่ายึดมั่นในระบบประชาธิปไตยถ้าเป็นจริงดังปากว่า ถึงเวลาที่ต้องพิสูจน์ความจริงใจด้วยการประทำแล้วพรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ น่าที่จะอาศัยวาระวันรัฐธรรมนูญในวันนี้ ประกาศเดินหน้าถามความชัดเจนจากประชาชน ด้วยการทำประชามติ ว่าจะเอารัฐธรรมนูญปี 2540 หรือว่า ปี 2550ตอนนี้ไม่มีเงาของ คมช.แล้ว... และประชาชนก็ตื่นตัวในเรื่องของการเมืองอย่างมากแล้ว

เพราะบอบช้ำมา 3 ปีเต็มที่สำคัญตอนนี้ ผู้คุมกำลังทหาร คือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ก็ยืนยันแล้วว่า เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว... เป็นทหารของประชาชน...คงไม่เข้าไปแทรกแซงการทำประชามติเหมือนเมื่อครั้ง คมช. แน่ฉะนั้นกล้าหรือไม่ที่จะทำประชามติจากประชาชนทั้งประเทศ หว่านเงินสารพัดยังทำได้... แล้วทำไมถึงทำประชามติ เพื่อหยุดปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองไม่ได้มาร์ค... กล้าปลุกสำนึกประชาธิปไตยที่แท้จริงหน่อยสิ