ที่มา ไทยรัฐ
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจับมือกับผู้ประกอบการลงทุนใน นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และพื้นที่ใกล้เคียงถูกคำสั่งศาลปกครองให้ระงับโครงการ จำนวน 65 โครงการ ซึ่ง อยู่ในระหว่างหาทางแก้ไข ปรากฏว่าสร้างความหวั่นไหวให้กับนักลงทุนทั้งไทยและเทศอย่างมหาศาล
จากถ้อยแถลงของ คุณพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล รองประธานสภาอุตสาหกรรมต้องการให้รัฐบาลระบุถึงความชัดเจนเกี่ยวกับปัญหาของสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควรจะตั้งหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติให้ชัดเจน
ทั้งนี้ การทำรายงานผลกระทบต่อสุขภาพที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติร่างขึ้นมา จะส่งผลกระทบกับการลงทุนที่เห็นได้ชัด อาทิ เรื่องของเวลา หากต้องใช้เวลาในการประเมินมากกว่า 14 เดือน ส่งผลให้ผู้ประกอบการทั้งหลายสูญเสียรายได้ประมาณ 2.6 แสนล้านบาท และพนักงานที่มีอยู่ในปัจจุบันจำนวน 3 หมื่น 7 พันคนก็จะได้รับความเดือดร้อนไปด้วย
ปัญหาที่จะตามมาก็คือ ผู้ชำนาญการในการประเมินนั้นมีจำนวนจำกัด ถ้าจะต้องดำเนินการพร้อมกันทั้ง 65 โครงการ จะต้องเกิดความวุ่นวายแน่นอน
เท่าที่ทราบตอนนี้ในจำนวน 65 โครงการ มีหลายรายที่ตัดสินใจถอนการลงทุนไปแล้ว เนื่องจากมีความเสี่ยงในการลงทุนสูง คิดเป็นมูลค่าการลงทุนประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท
นี่คือผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ส่งผลทันที
รัฐบาลมะงุมมะงาหรา ตั้งกรรมการ ตั้งคณะทำงานค่อยๆเจรจาปล่อยไปตามดวง ความเชื่อมั่นของนักลงทุนตกวูบ เข้าใจว่าถ้าบางโครงการไม่ติดว่ามีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานไปบานตะไทแล้ว ก็คงพากันถอนตัวทั้งยวง
ไล่ดูกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องของสิ่งแวดล้อมบ้านเรา มีกันละเอียดยิบ ไม่รู้กี่ฉบับกี่ชุด หลบเรื่องนั้นมาเจอเรื่องนี้ ถือว่ากฎหมายเป็นอุปสรรคกับการลงทุนในบ้านเราอย่างมาก
กลไกภาครัฐก็ไม่ค่อยทำงาน รอน้ำยาหล่อลื่น อย่างเดียว ไม่อย่างนั้นงานก็ไม่ค่อยเดิน และเปิดช่องให้เอกชนที่ชอบเดินทางลัดทำผิดขั้นตอน สุดท้ายก็มามีปัญหาภายหลัง
ยิ่ง รมต.ที่เกี่ยวข้องไม่ค่อยจะเป็นงาน จ้องแต่จะชี้ช่องรวย เลยไปกันใหญ่ นักลงทุนที่มีมาตรฐานพากันเอือมระอาไปหมด
ผลกระทบที่เกิดขึ้นนอกจากเม็ดเงินที่ลดสภาพคล่องลงไป ปัญหาแรงงาน ความเชื่อมั่นและย้ายฐานการลงทุนแล้ว ธุรกิจอุตสาหกรรมโรงแรมในภาคตะวันออกก็เริ่มจะได้รับผลกระทบ ถึงขนาดต้องขอยืดเวลาชำระหนี้กับทางธนาคาร เฉพาะธนาคารกรุงไทยแห่งเดียวคิดเป็นมูลค่าหนี้ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท
เฮ้อ ประเทศไทยยังไม่มีอนาคต.
หมัดเหล็ก