ที่มา โลกวันนี้
คอลัมน์ |
คิดเหนือข่าว |
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ |
ปีที่ 11 ฉบับที่ 2688 ประจำวัน จันทร์ ที่ 7 ธันวาคม 2009 |
โดย เรืองยศ จันทรคีรี |
แม้ตัดออกมาเป็นประโยคสั้นๆผมก็ยังชอบการพูดถึงปัญหารัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ของ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ท่านพูดเอาไว้มาร่วมเดือนกว่าได้แล้วกระมัง?...ดร.วรเจตน์พูดเต็มๆว่า “มันเลยไปแล้ว เราสร้างปมขึ้นมาขมวดกันจนยุ่งเหยิงขนาดนี้ ผมเห็นว่าเลยมาแล้ว ผมก็นั่งดูแล้วครับตอนนี้ ผมไม่คิดว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรกันได้...เราอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประวัติศาสตร์ ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะหักเลี้ยวออกไปทางไหน อย่างไร?”
ก่อนหน้านั้น ดร.วรเจตน์ยังเคยให้ความเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งมันจะนำพาประเทศไปสู่ทางตัน เพราะมันเป็นปัญหา เป็นตัวกติกาในแบบที่ไม่มีการยอมรับ และที่สุดจะต้องแก้ และก็จะมีคนไม่อยากให้แก้” ดร.วรเจตน์ นักกฎหมายมหาชน เคยยืนยันมานานแล้วถึงรัฐธรรมนูญฉบับนี้...มันไม่ใช่เพียงแก้ไข 6 ประเด็น แต่ต้องทำใหม่ทั้งฉบับ!
จับประเด็นขึ้นมาเขียนเพราะผมรู้สึกจั๊กจี้หัวใจเมื่อคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) ได้หยิบเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ประเด็นขึ้นมาพูดถึงอีกครั้ง...ก็เป็นอะไรอย่างหนึ่งของการเล่นเกมที่เจ้าเล่ห์และชาญฉลาด คุณอภิสิทธิ์โยนไฟกองนี้กลับคืนไปตรงฝ่ายค้านอีกรอบ “วันนี้ยังแปลกใจว่า เขาบอกว่าถ้าแก้รัฐธรรมนูญจะเหมือนเป็นการยืดเวลา ความจริงถ้าฝ่ายค้านเดินมาตกลงกันป่านนี้ก็เดินไปได้แล้ว ถ้าไม่เดินก็จะมีปัญหาอีก”
แม้คุณอภิสิทธิ์ยืนยันหนักแน่นเกี่ยวกับตัวเอง ซึ่งไม่เคยมีประวัติในการหลอกใคร? แล้วเชื่อว่าประชาธิปัตย์ไม่ได้คิดยื้อเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญ...แต่เราพิจารณารูปการต่างๆ ที่ผ่านมาก็ยังเห็นประเด็น 6 ประเด็นคงเป็นเรื่องลับ-ลวง-พรางและขี้ฉ้อบวกขี้ฮกเสียทั้งนั้น ลองดูในตอนนี้ ขณะที่คุณอภิสิทธิ์พูดว่า 6 ประเด็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญมันไม่ใช่ทั้งเรื่องของรัฐบาลและฝ่ายค้าน แต่เป็นประเด็นที่กรรมการทุกฝ่ายตกลงกันแล้วก็ควรทำประชามติ
...วันนี้คุณอภิสิทธิ์ผู้ซึ่งยืนยันว่าตัวเองไม่เคย “หลอกใคร?” ได้พูดไปแบบนี้ ถ้าเราย้อนความทรงจำกลับไป 2-3 เดือนเท่านั้นจะเห็นว่า นายกรัฐมนตรี “เกราะอ่อน” ยังเคยทึกทักตีขลุมที่จะให้รัฐบาลเป็นเจ้าภาพในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตอนนั้นฝ่ายรัฐสภาเขายืนยันถึงความชอบธรรมที่จะเสนอแก้ไขตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับนี้เอง แต่ฝ่ายรัฐบาลโยกเยกตามสไตล์ ยกเรื่องทำประชามติเอามาเป็นข้ออ้าง
มาวันนี้คุณเกราะอ่อนพูดไปอีกแนว...สไตล์เล่นการเมืองแบบวนรอบเก้าอี้ เปลี่ยนประเด็นพูดวนแล้วเวียนเทียนหาเหตุผลไปเรื่อยๆ อันนี้ดูจะเป็นอาวุธลับของนายกรัฐมนตรี พอไปเรื่องโน้นไม่ได้ก็โหนย้อนกลับมาเรื่องเดิม พูดวนๆไปแบบจะเอาจริง...แต่ที่ไหนได้ครับ เขามีธงอยู่เพียงการพูด?
นายกฯเกราะอ่อนอันที่จริงคงรู้ดีอยู่แล้วว่าเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญฝ่ายค้านได้มีจุดยืนและหลักการชัดเจน เคยแถลงเสมอๆสำหรับความต้องการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ 2540 เอากลับคืนมา...อย่างอภิสิทธิ์หรือไปอ่านเกมไม่ออก? แต่ใช้ตรงนั้นมาพูดใหม่ให้เป็นข้อได้เปรียบหวังชิงแต้มทางการเมือง? ตรงนี้เท่ากับเป็นการอัดข้างฝาพรรคเพื่อไทยโดยตรง หว่านล้อมให้สังคมเห็นคล้อยตามว่าเป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้านที่ไม่ให้ความร่วมมือในการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2550
...นายกฯเกราะอ่อนยังใส่ยาพิษน้ำผึ้งขมเข้าไปมากกว่านั้นอีก โจมตีแบบเสียดสีลึกๆเหมือนอิตถีนารีเพศในภาพยนตร์โทรทัศน์ชุดบัลลังก์แสงจันทร์ สรุปเอาเองว่า “...ถ้าหากยังไม่มาทำอย่างนี้ ก็คงตีความได้อย่างเดียวว่าเป็นเรื่องของการต้องการอื่นมากกว่า ไม่ใช่เรื่องประชาธิปไตย แต่เป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวของบางคน ซึ่งถ้าเราไปยอมก็ไปเปิดประตูให้เกิดปัญหามากมายในอนาคต...” นี่คือนายอภิสิทธิ์ผู้เป็นโฆษกใหญ่ของอำมาตยาธิปไตย!?
อ่านทางของนายกฯเกราะอ่อนแล้วเข้าใจได้ชัด “พูดไปงั้นๆแหละเพราะยังมีลิ้นกระดกได้อยู่...” ถ้าถือตาม ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ วิเคราะห์เอาไว้ เราต้องจัดกลุ่มให้นายอภิสิทธิ์เป็นสมาชิกหลักในฟากข้างของผู้ไม่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับกลิ่นเหงื่อและคราบไคลขาหนีบของ คมช.
เป็นเรื่องน่าทบทวนทางความคิดจริงๆ ขณะที่ปัญหาวิกฤตต่างๆในสังคมไทยมันเป็นเนื้อหาไปไกลกว่ารัฐธรรมนูญ 2540 เสียอีก แต่เรายังต้องทนอยู่กับรัฐบาลที่ยึดติดแน่นกับรัฐธรรมนูญ 2550 เพียงเขี่ยออกไป 5-6 มาตราก็ไม่ยอมอยู่แล้ว...วิกฤตของประเทศที่ไปไกลระดับต้องออกแบบรัฐ ออกแบบระบบการปกครองใหม่ให้สอดคล้องกับโลกาภิวัตน์ มันเลยไปแล้วจากรัฐธรรมนูญทั้ง 2550 หรือ 2540...ถามว่าบ้านเมืองจะไปกันยังไง? แล้วเรายังจะต้องเอานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไปไว้เสียที่ไหนดี? หรือส่งกลับเวียดนาม?