ที่มา มติชน เอเอฟพีรายงานว่า เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 8 ธันวาคม นายเค สกาน หัวหน้าคณะผู้พิพากษาของศาลกรุงพนมเปญ อ่านคำพิพากษาระบุว่า นายศิวรักษ์มีความผิดจริงเกี่ยวกับการละเมิดความมั่นคงแห่งชาติและความปลอดภัยของสาธารณะ ที่สอดแนมข้อมูลเที่ยวบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีระหว่างเดินทางเยือนกัมพูชา เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ให้กับสถานทูตไทย ข้อมูลการเดินทางของพ.ต.ท.ทักษิณถือว่าเป็นความลับ การนำข้อมูลไปเปิดเผยต่อผู้อื่นเป็นการฝ่าฝืนข้อปฏิบัติในการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญ เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชา ถือว่านายศวิรักษ์ มีความผิด ต้องโทษจำคุก 7 ปีและปรับเป็นเงิน 10 ล้านเรียล หรือราว 85,000 บาท ซึ่งถือเป็นโทษที่ต่ำสุดสำหรับข้อหาดังกล่าว นายเค สกาน กล่าวว่า ระหว่างนายศิวรักษ์ให้ปากคำต่อศาลได้ขอให้ศาลยกข้อหา โดยยืนยันไม่ได้จารกรรมข้อมูลตามที่ถูกกล่าวหา แม้จะโทรศัพท์พูดคุยกับ นายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย เลขานุการเอกของสถานทูตไทย ในกรุงพนมเปญจริง แต่เป็นเพียงการยืนยันว่าเที่ยวบินเช่าเหมาลำลงจอดแล้ว โดยที่ไม่รู้เลยว่าพ.ต.ท.ทักษิณ โดยสารมาในเที่ยวบินดังกล่าว "นายศิวรักษ์มีความผิดจริงในข้อหาสอดแนมข้อมูลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ระหว่างการเดินทางเยือนกัมพูชาเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ด้วยการส่งข้อมูลเกี่ยวกับกำหนดการของเที่ยวบินให้กับสถานทูตไทย เนื่องจากข้อมูลการเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถือว่าเป็นความลับ การนำข้อมูลไปเปิดเผยต่อผู้อื่นจึงเป็นการฝ่าฝืนข้อปฏิบัติในการรักษาความปลอดภัยสำหรับบุคคลสำคัญ เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลกัมพูชา ดังนั้นกัมพูชาจึงมีพันธกรณีที่จะให้การดูแลรักษาความปลอดภัยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และกำหนดการเที่ยวบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ อาจจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับรัฐบาลไทย แต่ขณะเดียวกันข้อมูลดังกล่าวอาจก่อให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อ พ.ต.ท.ทักษิณได้ ดังนั้นถือว่านายศิวรักษ์มีความผิดเกี่ยวกับการละเมิดความมั่นคงแห่งชาติและความปลอดภัยของสาธารณะ ต้องโทษจำคุก 7 ปีและปรับเป็นเงิน 10 ล้านเรียล หรือราว 85,000 บาท ซึ่งถือเป็นโทษที่ต่ำสุดสำหรับข้อหาดังกล่าว แม้นายศิวรักษ์ขอให้ศาลยกข้อหา เพราะไม่ได้จารกรรมข้อมูลใดๆ ตามที่ถูกกล่าวหา แต่ยอมรับว่าได้โทรศัพท์พูดคุยกับนายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย เลขานุการเอกของสถานทูตไทย ในกรุงพนมเปญจริง แม้จะระบุว่าเป็นเพียงการยืนยันว่าเที่ยวบินเช่าเหมาลำลงจอดแล้ว โดยที่ไม่ได้รับรู้เลยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ โดยสารมาในเที่ยวบินดังกล่าว" ก่อนหน้านี้ ผู้พิพากษาออกนั่งบัลลังก์เวลาประมาณ 08.00 น. โดยนางสิมารักษ์ ณ นครพนม และนายพงษ์สุรีย์ ชุติพงษ์ มารดาและน้องชายของนายศิวรักษ์ รวมถึงนายชโลธร เผ่าวิบูลย์ อุปทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ น.ส.มธุรพจนา อิทธะรงค์ รองอธิบดีกรมการกงสุล และนายเขียว สัมโบ ทนายความคนใหม่ เดินทางไปร่วมฟังการพิจารณาคดีด้วย โดยมีทั้งสื่อมวลชนและเพื่อนร่วมงานนายศิวรักษ์มารอลุ้นคำตัดสินจำนวนมาก ต่อมาเวลาประมาณ 09.00 น. นายศิวรักษ์ให้การยืนยันว่า ไม่ได้สนิทกับนายคำรบ แค่รู้จักกันเมื่อ 2 ปีก่อน และแทบไม่ได้ติดต่อกันเลย โดยวันเกิดเหตุนายคำรบโทรศัพท์มาสอบถามว่า เที่ยวบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ บินมาถึงจริงหรือไม่ ซึ่งตนมีสิทธิรับรู้ข้อมูลดังกล่าวอยู่แล้ว จึงเดินไปถามเจ้าหน้าที่ของกัมพูชาและยืนยันว่ามาจริง พร้อมเจ้าหน้าที่ได้สำเนาข้อมูลดังกล่าวให้เองด้วย จึงยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาจารกรรมข้อมูลการบินแต่อย่างใด แต่ถือว่าเป็นการทำงานตามปกติ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดการเบิกความของนายศิวรักษ์กว่า 1 ชั่วโมง นายศิวรักษ์มีสีหน้าและกำลังใจที่ดีมาก และตอบคำถามอย่างชัดเจน ขณะที่นางสิมารักษ์ที่เข้าฟังการพิจารณาคดีด้วยนั้น มีสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา
ศาลกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา พิพากษาว่านายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรไทยบริษัท แคมโบเดีย แอร์ทราฟฟิค เซอร์วิสเซส จำกัด หรือ แคทส์ บริษัทในเครือสามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) มีความผิดจริง