ที่มา Thai-E-News
โดย คุณเรืองยศ จันทรคีรี
ที่มา เวบไซต์ โลกวันนี้
12 ธันวาคม 2552
เป็นความชาญฉลาดที่แฝงความเจ้าเล่ห์มาพร้อมกัน สำหรับวิธีคิดและเล่นการเมืองโดยอาศัยช่องว่างของกฎกติกา เป็นวาระเร้นแฝงที่เกินกว่าซ่อนเร้น สร้างความชอบธรรมที่ใส่รหัสในการขับเคลื่อน เพื่อเป้าหมายแห่งอำนาจแท้ๆ...
นี่เป็นทรรศนะที่ออกจะมองกรณีมาบตาพุดไปแบบสุดขั้วสุดทาง เห็นเป็นเรื่องลับ-ลวง-พราง ทุกๆก้าวขยับ
ทรรศนะแบบนี้ น่าจะเป็นผลตกค้างห้วงอารมณ์ของสังคมคนไทยจำนวนไม่น้อย เพราะตลอดเวลา 4 ปีกว่า มันเต็มไปด้วยสภาวะเช่นนี้ ความเคลื่อนไหวหรือปรากฏการณ์แทบทุกอย่าง อาจกล่าวได้ว่า เป็นฉากลับอำพราง ละครแบบ Conspiracy รายการของทฤษฎีสมคบคิด หลายต่อหลายครั้ง... คือช่วยไม่ได้สำหรับเหตุการณ์ความขัดแย้งและตอแหลที่ยาวนานยืดเยื้อ มันกลายเป็นเบ้าหลอมความคิดไปเสียแล้ว ทำให้คนส่วนไม่น้อยหวาดผวา มองโลกในแง่ร้าย!?
แต่สำหรับเรื่องราวจำพวกหมอกฝ้าไม่ชัดเจน ตรวจสอบหาที่มาที่ไปไม่ได้ ข้อมูลและเหตุผลเอามาอธิบายไม่พอ บางทีเราคงต้องพึ่งพิงทรรศนะมองโลกในแง่ร้ายอยู่เหมือนกัน รับฟังเอาไว้ นำมาพิจารณากลั่นกรอง แล้วค่อยแตกข้อสมมุติฐาน สร้างมุมมอง ใช้ทฤษฎี แสวงหาข้อมูลเพิ่มเติม... บางทีอาจทำให้เรามองเห็น และเข้าใจภาพเบื้องหลังของมาบตาพุดก็ได้?
เข้าใจว่า กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่เจ้าของโครงการอุตสาหกรรมที่มาบตาพุด ซึ่งรวมมูลค่ากว่า 350,000 ล้านบาท คงมีอาการใกล้ๆ ช็อกเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ซึ่งล่วงเลยมาหลายวันแล้ว พวกเขาเหล่านั้น น่าจะอ้าปากค้าง แทบไม่เชื่อหูของตัวเอง เมื่อคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด ยังยืนยันตามคำสั่งให้คุ้มครองชั่วคราวตามศาลปกครองชั้นต้น ที่เคยมีคำสั่ง เพียงปล่อยไป 11 โครงการ เหลืออีกตั้ง 63 โครงการ ซึ่งถูกกวาดรวมลงไปในเข่ง ยังไม่รู้อนาคตชัดเจน... เจ้าของโครงการส่วนใหญ่ ต่างเชื่อมาก่อนหน้าว่า ศาลปกครองสูงสุดน่าจะปลดล็อกอันตราย ยกเลิกคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น มีความหวังกันค่อนข้างมากว่า อาจจะมีการเปิดโอกาสให้โครงการปฏิบัติตามเงื่อนไข เพื่อจะได้ไม่ถูกแช่แข็งจนเสียประโยชน์ครั้งมโหฬาร!
กลุ่มแนวคิดด้านร้าย ทรรศนะแรก มองว่า ความเสียหายของกลุ่มธุรกิจที่ถูกระงับโครงการนั้น ก็เป็นเรื่องอักโขสโมสรอย่างยิ่ง เช่น
ปูนใหญ่ รายนี้คงเสียหายไปขั้นต่ำๆ เดือนละ 300 ล้านบาท ถ้าเปิดโรงงานตามกำหนดไม่ได้... เช่นเดียวกับโรงงานเหล็กสยามยามาโตะ แม้ผ่าน E1A ตั้งแต่กันยายน 2550 ยังพลอยโดนหางเลขฟาดไปด้วย
เฉพาะโครงการของ ปตท. 15 โครงการ มูลค่าลงทุนร่วม 200,000 ล้าบาท ก็ถูกแช่แข็งทั้งหมด
ข้างปูนซิเมนต์ไทยถูกกวาดเข้าไปด้วย 18 โครงการ มูลค่าการลงทุนเหนาะๆ 57,000 ล้านบาท
...ด้วยภาพของความนึกคาดไม่ถึง ที่กลายเป็นความเสียหาย กลุ่มทรรศนะนี้ฟันธงไปอย่างไม่ลังเล เห็นว่า ความเสียหายใหญ่หลวงนั้นคงไม่ใช่เป็นเรื่องของมาบตาพุด เพราะถึงที่สุด น่าจะเคลียร์กันได้ แต่ความเสียหายซึ่งน่ากลัวกว่า เป็นความเชื่อมั่นที่มีต่อการลงทุน ตรงนี้จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงมาก เกินคาดคำนวณประเมินออกมาเป็นตัวเลข นักลงทุนต่างประเทศมีโอกาสย้ายฐานการลงทุนครั้งใหญ่ออกจากไทย เพราะเห็นถึงภัยความไม่แน่นอน และการลงทุนในประเทศไทย จะกลายเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่ง!
จากผลของความไม่แน่นอน น่าจะเกิดการย้ายฐานการลงทุนที่อาจเรียกให้เป็นการอพยพหลบหนี... และจากนี้ไปข้างหน้า 2-3 ปี คงไม่มีผู้ลงทุนในโครงการขนาดใหญ่สำหรับประเทศไทย เนื่องจากนักลงทุน มิได้กลัวกฎหมาย แต่สิ่งที่พวกเขาหวาดวิตกสูงสุด คือความไม่แน่นอนและไม่ชัดเจน!
กลุ่มแนวคิดแบบทรรศนะร้ายสุดๆ ยังเห็นว่า กรณีมาบตาพุด ถือเป็นละครทางการเมืองในประเภท Conspiracy ซึ่งอิงทฤษฎีล่าเมืองขึ้น ถือเป็นเรื่องจัดฉากคล้ายเรียกค่าไถ่ เพราะลงท้ายจะมีกลไกเกี๊ยะเซียะวางเอาไว้
กลุ่มลงทุน อาจจะต้องแลกเปลี่ยนอิสรภาพ ปลดล็อกธุรกิจ ด้วยเงื่อนไขของการสนับสนุนกิจกรรมพรรคการเมือง...อย่างไรก็ตาม ทรรศนะนี้ ออกจะหลุดเลยกรอบไปสักหน่อย มีความเห็นที่มองตัวละครทุกตัวเป็นลบหมด ซึ่งศาลปกครองกับเอ็นจีโอ ถูกพาดพิงไปด้วย
แต่กลุ่มทรรศนะนี้ก็ยอมรับว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมนั้น มีอยู่จริงๆ บางทีกระบวนการต่างๆ ทั้งฟ้องร้องและมีคำสั่งระงับโครงการของศาล น่าจะเป็นความเคลื่อนไหว และลำดับขั้นตอนปรกติ เป็นรายการตอนปลายไปแล้ว ขาดหลักฐานและยากสำหรับการพิสูจน์ที่จะตั้งข้อสมมุติฐานกล่าวหา แต่กระบวนการก่อนหน้าลำดับขั้นดังกล่าว มีความเป็นไปได้ ที่คิดจะเอาฐานการลงทุนในมาบตาพุดเข้ามาเล่นเกมการเมืองและอำนาจ
เป็นไปได้ ที่มีเครือข่ายกลุ่มหนึ่ง ถือโอกาสไปจากผลของคำสั่งศาล โดยศาลมิได้เกี่ยวข้องในกระบวนการนอกระบบใดๆ แต่มีหมู่คณะซึ่งเล่นบทบาทนี้ ในมิตินักล็อบบี้ หรือแบล็กเมล์ เข้าต่อรองกับกลุ่มลงทุนซึ่งมีมากมาย อาจไม่ใช่ 63 โครงการ แต่มีนับร้อยโครงการมูลค่าเป็นล้านล้านบาท...
ใช้มาบตาพุดเป็นฐานเรียกค่าไถ่ทางการเมือง อาจหาทุนไว้เตรียมการเลือกตั้ง?...
ทรรศนะนี้ มองโลกในแง่ร้ายเกินไปหรือเปล่าครับ?