ที่มา มติชน
สัมภาษณ์พิเศษ
โดย หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ
หลากเหตุผลที่พรรคเพื่อไทย (พท.) หยิบยกขึ้นมาอ้างเพื่อประกาศพักรบกับรัฐบาลชั่วคราว
มีเป้าหมายเดียวอยู่ที่การยืนยัน "ความจงรักภักดี" แทน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วงเวลามหามงคล
ด้วยเพราะภารกิจสำคัญที่แกนนำ พท. โดย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคกับพวก ประกาศไว้คือการพิสูจน์ความจงรักภักดีให้ "นายใหญ่" และพา "อดีตผู้นำพเนจร" กลับบ้านเกิด
"เหล่านายพล-นายพันหัวใจสีแดง" จึงต้องเปิดยุทธวิธีแยก "ภูเขา" ออกจาก "ฟ้า"
บุรุษที่เป็นเจ้าของวาทะ "วิมานสีม่วง" และเจ้าของสมญา "รองฯ โรมานอฟ" นาม "พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย" รองประธานสภาผู้แทนราษฎร สังกัด พท. เปิดปากอธิบายเป้าหมาย-ปฏิบัติการครั้งสำคัญที่ยังมิอาจลุล่วง
หลังใช้ความเพียรพยายามมากว่า 3 ปี
เหตุใด พท.ถึงออกมาประกาศพักรบกับรัฐบาลในช่วงนี้
ไม่ทราบรายละเอียดเลย ผมมัวแต่ทำหน้าที่ในสภา ไม่ได้เข้าประชุมพรรคมาเป็นเดือนแล้ว แต่คิดว่าน่าจะเป็นการถวายความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์
ไม่ได้เป็นยุทธวิธีอย่างหนึ่งใช่หรือไม่
ไม่มีหรอกครับ คือ... ต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่า พท.เป็นพรรคที่ซื่อๆ ค่อนข้างตรงไปตรงมา ไม่ได้วางแผนเป็นขั้นเป็นตอน เราคิดว่าเราทำงานการเมืองอย่างบริสุทธิ์
แต่แกนนำ พท.ออกมาประกาศแผนต่อสู้กับรัฐบาลอย่างเป็นขั้นตอน ก่อนเปิดสภาในเดือนมกราคม 2553
ในความคิดส่วนตัวนะครับ การเอามวลชนมาใช้ไม่สามารถทำให้รัฐบาลพ้นจากตำแหน่งได้ ไม่เคยมีครับในประวัติศาสตร์โลก และประวัติศาสตร์ประเทศไทย หากรัฐบาลจะล้มก็ล้มด้วยตัวเองคือ คอร์รัปชั่นมาก ประชาชนไม่ยอมรับ ยกเว้นมีอำนาจนอกระบบเหมือนที่พรรคไทยรักไทย (ทรท.) และพรรคพลังประชาชน (พปช.) ถูกกระทำ
หากเชื่อว่าการใช้มวลชนกดดันไม่สามารถคว่ำรัฐบาลได้ เหตุใด พท.ถึงยังใช้กลุ่มคนเสื้อแดงเคลื่อนไหวเพื่อปิดเกมรัฐบาล
นั่นคนละส่วนกัน ผมเรียนตรงๆ เลย แม้แต่คุณจตุพร (พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พท. และแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง) ก็พูดว่าไม่ได้ฟังพรรค เพราะเป็นเรื่องของประชาชน บางครั้งประชาชนก็ไม่ได้คิดเหมือนพรรคในทุกเรื่อง มันมีจุดเชื่อมกันอยู่อย่างเดียวคือต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง
แล้วใครคือผู้กำหนดทิศทางในการต่อสู้ทางการเมืองของ พท.
ก็คณะกรรมการยุทธศาสตร์และการเมือง มีท่านสมชาย (วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ) ท่านสมพงษ์ (อมรวิวัฒน์ อดีตรองนายกฯ และ รมว. ยุติธรรม) พล.อ.ชวลิต (ยงใจยุทธ ประธานพท.) เป็นที่ปรึกษา คอยกำหนดเกมเคลื่อนไหวในสภา ส่วนเรื่องเกมนอกสภา ไม่ใช่เรา พรรคไม่ได้เกี่ยวข้อง
จะบอกว่าเกมนอกสภาเป็นเรื่องที่สมาชิกพรรคไปคิดเองทำเองอย่างนั้นหรือ
ก็เป็นบางคน ส่วนน้อยนะครับ อย่างผมที่ไปขึ้นเวทีเพราะอะไร ขึ้นมาตั้งแต่สมัยหน้าบ้านป๋า (พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ) แล้ว (เมื่อ 22 กรกฎาคม 2550) เพราะไม่เห็นด้วยกับการยึดอำนาจทุกครั้ง ขนาดคนเป็นอดีตนักเรียนนายร้อยเหรียญทองอย่างผมยังถูกกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดี สังคมมันเกิดอะไรขึ้นละครับ สังคมต้องทบทวนแล้ว ผมถึงบอกมาโดยตลอดว่า สิ่งหนึ่งที่เห็นว่าเป็นเรื่องมิบังควรยิ่ง ก็คือการเอาสถาบันมาแอบอ้างเพื่อประโยชน์ของตน แล้วก็ใส่ร้ายผู้อื่นเพื่อประโยชน์ทางการเมือง
วันนี้ผู้ใหญ่ต้องให้อภัยเด็ก ไม่ใช่ว่าประหัตประหารกันอยู่ตลอด อย่างที่พี่จิ๋ว (พล.อ.ชวลิต) ท่านพูดว่าผู้ปกครองต้องมีความเป็นธรรม ถ้าไม่มีความเป็นธรรม ผู้ใต้ปกครองก็ต้องต่อสู้เป็นเรื่องธรรมดา ทุกสังคมเป็นแบบนี้ ถามว่าผู้ปกครองหมายถึงใคร ผมหมายถึงรัฐบาล ไม่ได้หมายถึงอะไรทั้งสิ้น บางคนไปตีความ... โอ้ย! ไอ้นั่นมันสมัยโบราณแล้ว ดังนั้น มันต้องเริ่มจากผู้มีอำนาจก่อน สังเกตตอนนี้สิว่า บรรยากาศในการประชุมสภามันไม่ราบรื่นเลย เพราะผู้มีอำนาจไม่เห็นใจผู้ไม่มีอำนาจ เป็นรัฐบาลเดียวที่วิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายค้านได้ทุกวัน
ตอนนี้ใครคือผู้มีอำนาจตัวจริง
ก็คนที่เป็นรัฐบาลอยู่
เชื่อว่าคู่เจรจาที่สามารถยุติความขัดแย้งได้คือรัฐบาลหรือ
ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ ก็...ผู้มีอำนาจก็พูดส่งต่อไปถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังได้นี่
แล้วใครคือผู้มีอำนาจเหนือรัฐบาล
สังคมทราบดีครับ
สังคมก็ทราบเหมือนกันว่ามีผู้มีอำนาจเหนือ พท. และกลุ่มคนเสื้อแดง แสดงว่าต้องจับผู้มีอำนาจตัวจริงมาเจรจาสงบศึกกันใช่หรือไม่
คนที่ตัดสินใจได้ก็ต้องมาพูดคุยกัน หาแนวทางสันติวิธี
ในช่วง 3 ปีนี้มีหลายฝ่ายพูดถึงเรื่องการเจรจา แต่โดยข้อเท็จจริงมีการเริ่มต้นไปบ้างหรือยัง
ผมจะบอกว่าหลักการในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของโลกเลยนะ เป็นมาตรฐานสากลเลยนะคือ 1.ต้องแก้ปัญหาตามข้อเท็จจริง อย่างพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ทุกข์อยู่ตรงไหนก็แก้ตรงนั้น 2.ต้องใช้หลักความยุติธรรม การบังคับใช้กฎหมายต้องเป็นมาตรฐานเดียวกัน ใครทำผิดก็ว่าไปตามโทษานุโทษ อย่าละเว้นให้เป็น 2 มาตรฐาน 3.ต้องใช้หลักเมตตาธรรม อะไรให้อภัยกันได้ก็ต้องให้อภัยกัน ทุกฝ่ายแหละ ไม่ว่าจะเป็นสีเหลือง สีแดง สีน้ำเงิน และ 4.ต้องใช้หลักความพอดี ผมก็เพียรพยายามพูดอย่างนี้มาหลายครั้ง แต่ไม่ค่อยมีคนฟัง
ถึงตอนนี้รู้หรือยังว่าความทุกข์อยู่ตรงไหน
ก็อยู่ที่การแย่งชิงอำนาจระหว่างฝ่ายเผด็จการกับฝ่ายประชาธิปไตย
หลายฝ่ายบอกว่าทุกข์อยู่ที่คุก กับการถูกยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท
(ตอบสวนทันที) อันนั้นเป็นส่วนหนึ่งของทุกข์นะครับ แต่ไม่ใช่ทุกข์จริงๆ ความทุกข์ของประเทศคือการแย่งอำนาจระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตย นี่คือข้อเท็จจริง ถ้าสังคมรับตรงนี้ได้ ก็แก้ปัญหาได้ แต่ถ้าสังคมไม่รับ ไปคิดว่าอดีตนายกฯทักษิณเป็นส่วนหนึ่งของระบบ ก็แก้ไม่ได้ เพราะอดีตนายกฯทักษิณเป็นส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น แต่ประชาชนเสื้อแดงส่วนใหญ่ที่เขามาๆ กัน ไม่ใช่เพราะเขารักอดีตนายกฯทักษิณนะ
อย่างวันก่อนผมไปคุยกับรุ่นพี่ ยศ พล.อ. 4-5 คน ซึ่งเป็นนายทหารราชองครักษ์เนี่ย ท่านก็บอกว่าบ้านเมืองอยู่ไม่ได้แล้วเพราะไม่มีความเป็นธรรม ท่านพูดแบบนี้จริงๆ หลังจากนี้ ก็คงจะออกมาแสดงให้สังคมได้รับรู้ว่านายทหารผู้หลักผู้ใหญ่เหล่านี้ ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
เหตุการณ์ผ่านมาตั้ง 3 ปีแล้ว เหตุใดนายทหารเหล่านั้นถึงเพิ่งนึกได้
คือนึกได้มานานแล้ว แต่ทหารเขาไม่ค่อยพูด แต่ละท่านได้เห็นการแอบอ้างเอาสถาบันมาทำลายคนอื่น เพื่อประโยชน์ของตนมากขึ้นๆ ทหารราชองค์รักษ์เหล่านั้นเลยทนไม่ไหว เยอะ... (ลากเสียงยาว) นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นายทหารรุ่นพี่และรุ่นน้องเข้ามาอยู่ใน พท. เดี๋ยวก็จะมีลาออกจากราชการมาร่วมกับเราอีก
หลายท่านก็วิจารณ์ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลสมควรจะพักผ่อนได้แล้ว แต่ละท่านพูดอย่างนี้จริงๆ เพราะได้เห็นความไม่เป็นธรรมมา 30 ปีแล้ว
ช่วยระบุให้ชัดเจนได้หรือไม่ว่า "ผู้ที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลที่สมควรไปพักผ่อน" หมายถึงใคร
ใครก็รู้ครับ สื่อก็รู้ ก็คนเดียวกับที่คุณ (สื่อ) คิดนั่นแหละครับ (กวาดตามองคู่สนทนาเป็นรายคน) คนที่ทำให้บ้านเมืองเสียหายมากที่สุดแหละครับ
แสดงว่าจุดประสงค์หลักในการเกิดขึ้นของขบวนการนายพลสังกัด พท. คือการคว่ำคนที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาล
อาจจะมองกันอย่างนั้น แต่จริงๆ ไม่ใช่หรอกครับ เพียงแต่ต้องการให้ท่านทราบว่าใครก็ตามไม่สมควรเข้ามาอินเทอร์เฟีย (แทรกแซง) เข้ามาทำให้กระบวนการประชาธิปไตยมันเบี่ยงเบนไป ถามว่าต่างประเทศรู้หรือไม่ว่า มีการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร เขารู้ เขาพูดกันทั้งนั้น เพียงแต่สังคมเหมือนกับให้อภัย
แต่ถ้ามองย้อนไปในสมัย ทรท. ก็มีการตั้ง ครม.ในบ้านจันทร์ส่องหล้าเหมือนกัน
ไอ้นั่นมันเป็นไปตามความสมัครใจ นึกออกไหม...แต่ไอ้นี่เป็นการบีบบังคับให้ไปตั้ง คือถ้าไปตั้งกันบ้านนายกฯอภิสิทธิ์เนี่ย ทุกคนรับได้ แต่ตั้งในค่ายทหารมันเหมือนกับถูกบังคับ คือเขาพูดอย่างนี้ครับ ท่านรู้ไหมว่าสู้กับใคร นี่คือสิ่งที่รัฐมนตรีชุดปัจจุบันเล่าให้ผมฟัง
ทั้ง พล.อ.ชวลิต พ.อ.อภิวันท์ และนายพลในพรรคถูกมองว่าเป็นพวกศักดินามาก่อน เหตุใดวันนี้ถึงมารวมตัวกันโค่นอำมาตย์
ไม่ใช่เลย อย่างผมบอกได้เลยว่าพื้นฐานมาจากค่อนข้างไพร่ด้วยซ้ำไป เพราะพ่อจบ ป.4 แม่ก็ไม่ได้เรียนหนังสือ ถ้าผมเป็นอำมาตย์ ผมไม่ลาออกจากราชการในขณะที่กำลังเติบโตหรอก ผมเป็น พ.อ. ตั้งแต่อายุยังน้อยนะครับ แต่ผมคิดว่าวิถีทางประชาธิปไตยเป็นเรื่องถูกต้อง คุณดูการคุยกับผมก็รู้แล้ว ถ้าผมไปไหน ผมต้องกร่างอย่างนี้ (ทำท่ายกแขนสยายปีก) ก็ว่าไปอย่าง ดังนั้น นายทหารส่วนใหญ่ที่มาอยู่กับ พท. ไม่ใช่อำมาตย์ ไม่ได้คิดอย่างอำมาตย์
อะไรทำให้นายทหารที่มาจากรากเดียวกัน แตกคอ-แตกแยกกันได้ขนาดนี้
ความเห็นแตกต่างเป็นเรื่องธรรมดาในระบอบประชาธิปไตย ท่านอาจเชื่อมั่นว่าวิธีการของท่านเป็นเรื่องที่ถูก ท่านไม่ได้คิดไม่ดีต่อบ้านเมืองนะครับ แต่ท่านคิดว่าวิธีการคุมนักการเมืองเอาไว้ เป็นเผด็จการเนี่ย เป็นวิธีการที่ถูกต้อง
ผมถึงบอกไงว่าตราบใดไม่แก้ปัญหาตาม 4 ข้อที่ผมบอก มันแก้ไม่ได้ คนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่บ่อยๆ มันก็ต้องสู้
ท่านเรียกร้องให้ผู้ใหญ่เมตตาและให้อภัย แต่เด็กกลับออกมาถอนหงอกผู้ใหญ่ทุกวัน อย่างนี้จะแก้ปัญหาได้หรือ
เด็กก็ต้องให้ความเคารพผู้ใหญ่ ผมเองก็ให้ความเคารพท่านประธานองคมนตรี เจอท่านที่ไหน ผมก็กราบไหว้ท่านได้ เพียงแต่เราต้องเสนอความคิดเห็นว่าเราคิดอย่างไร ส่วนในพรรคอาจมีความคิดเห็นที่หลากหลาย แต่ในที่สุดก็ต้องใช้เสียงส่วนใหญ่ตามระบอบประชาธิปไตย
พท.มีเสียงส่วนใหญ่ด้วยหรือ
มีครับ มี
แต่เสียงที่สั่งได้เด็ดขาดมีอยู่เสียงเดียว
(ส่ายหน้า) ไม่ใช่ อันนั้นเป็นความรู้สึกจากคนภายนอก เพราะบารมีของอดีตนายกฯทักษิณค่อนข้างมาก ผมเป็นคนหนึ่งที่พูดกับท่านตลอดว่าเราต้องสร้างพรรคให้เป็นสถาบัน แต่อย่างที่ว่า สมาชิกส่วนใหญ่อาจคิดว่าอดีตนายกฯทักษิณไม่ได้รับความเป็นธรรม ถามว่าแล้วมันกระเทือน พท.หรือไม่ มันกระเทือนด้วย เพราะ ทรท.ถูกยุบโดยที่เราคิดว่าเราไม่ได้รับความเป็นธรรม ลองถ้าเป็นอดีตนายกฯทักษิณคนเดียว ผมว่าปัญหามันไม่เยอะขนาดนี้หรอก แต่นี่ยุบพรรคที่มีสมาชิกพรรคเป็นล้านคน
ถ้าเช่นนั้น ทำไม พท. นำโดย พล.อ.ชวลิตต้องประกาศตัวช่วยแก้ปัญหาให้ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเฉพาะข้อกล่าวหาเรื่องความไม่จงรักภักดี
คือพี่จิ๋วท่านก็คงเห็นว่าอดีตนายกฯทักษิณไม่ได้รับความเป็นธรรมน่ะครับ ทุกครั้งที่อำมาตย์จะแย่งชิงอำนาจ ข้อกล่าวหาข้อแรกคือความไม่จงรักภักดี ซึ่งเป็นการมิบังควรอย่างยิ่ง เป็นการทำให้เกิดการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท คนเป็นทหารไม่สมควรทำอย่างยิ่ง อาจารย์เอย ผู้การกรมเอย ผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยเอยได้สอนผมว่าการจะเอ่ยถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เอ่ยได้สถานเดียวคือพระราชกรณียกิจที่งดงาม พระบารมีที่มีต่อพสกนิกรชาวไทย และห้ามเอ่ยอ้างพระองค์ท่านเพื่อประโยชน์ตนเอง หรือทำลายผู้อื่น ท่านสอนว่าคนที่พูดอย่างนี้คือคนไม่จงรักภักดี
แต่ที่ผ่านมาต่างคนต่างอ้างสถาบันมาโดยตลอด แม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณก็อ้างเหมือนกัน
ก็มิบังควรครับ ใครอ้างก็มิบังควรอย่างยิ่ง
ภารกิจพิสูจน์ความจงรักภักดีให้ พ.ต.ท.ทักษิณมีโอกาสสำเร็จหรือไม่ เพราะ พล.อ.ชวลิตก็มีข้อหาสภาเปรสซิเดียมติดตัว และยังมีรองฯอภิวันท์ โรมานอฟเพิ่มอีกคน
มันอย่างนี้ เรื่องพี่จิ๋ว สภาเปรสซิเดียมเนี่ย พี่จิ๋วเป็นทหารที่ได้รับการยอมรับว่ามีความคิดเป็นประชาธิปไตยสูงที่สุด และท่านเป็นคนพูดทางวิชาการ เป็นนักทฤษฎีน่ะ ครั้งหนึ่งท่านพูดในวันเปิดพรรคความหวังใหม่ว่าการปกครองในโลกมีอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกคือระบบพาร์เลียเมนเทอรี่ ซิสเต็ม ก็คือระบบรัฐสภาของเรา อย่างที่สองคือระบบรวมศูนย์คือเพรสซิเดนเชียล ซิสเต็ม เท่านั้นแหละเป็นเรื่องเลย (หัวเราะเล็กๆ) นี่คือที่มา หลังๆ มีคนพยายามผูกโยงเพรสซิเดนเชียล ซิสเต็ม ไปเป็นเปรสซิเดียม ต้องเข้าใจว่าการเมืองไทยมันเป็นการเมืองที่มีการทำลายล้างสูง
ส่วนกรณีโรมานอฟ ผมได้ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อว่า บ้านเมืองน่าห่วง เพราะประชาชนแตกแยกกันมากเหมือนกับประเทศรัสเซียในสมัยราชวงศ์โรมานอฟ เหมือนกับประเทศฝรั่งเศสในสมัยราชวงศ์บูร์บง หรือเหมือนกับประเทศจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่น แต่ยังสามารถแก้ไขปัญหาได้ ถ้าผู้มีอำนาจทุกฝ่ายหันมาเจรจากัน ใช้แนวทางสันติวิธี เพราะวัฒนธรรมไทยนี่น่ารัก คนเป็นผู้ใหญ่ต้องเห็นใจและให้อภัยเด็ก ผู้มีอำนาจก็ต้องเห็นใจผู้ไม่มีอำนาจ เมืองไทยถึงจะอยู่รอดปลอดภัยมาได้อย่างปัจจุบัน
วันนั้นผมไม่ได้พูดถึงการล่มสลายของราชวงศ์โรมานอฟเลยนะ เพียงแต่เปรียบเทียบสถานการณ์ที่ประชาชนแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายเผด็จการกับฝ่ายประชาธิปไตย ฝ่ายอำมาตย์กับฝ่ายประชาชน ซึ่งต้องรีบแก้ไข
สรุปแล้วภารกิจสำคัญของ พท.คือการกอบกู้ภาพลักษณ์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และสร้างภาพว่าจงรักภักดี
อ๋อ...ไม่ใช่ครับ ภารกิจของ พท.คือการสร้างบ้านเมืองให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง นี่คือภารกิจหลัก
เคยคิดหรือไม่ว่าถ้าความจงรักภักดีเป็นเรื่องที่แสดงแทนกันได้ ภารกิจนี้คงลุล่วงตั้งแต่สมัยนายกฯสมัครแล้ว
ความจริงมันเป็นอย่างไร ก็ต้องให้มันเป็นไปตามนั้น ไม่ต้องไปสร้างภาพ ไม่ต้องไปทำอะไรทั้งสิ้น แค่นั้นเอง
เป็นเพราะ พท.พยายามสร้างภาพหรือเปล่า สังคมเลยยิ่งตั้งคำถาม
ไม่ได้สร้างเลย ไม่เคยทำอย่างนั้นเลย สังเกตไหมครับ พรรคไม่เคยสร้างภาพว่าจงรักภักดีเลย เพียงแต่ต้องการแสดงออกให้ประชาชนรับรู้ และก็เหมือนกับคนไทย 99.9999999 เปอร์เซ็นต์ ที่มีความรักชาติ มีความจงรักภักดีเสมอเหมือนกันหมด
วางอนาคตทางการเมืองไว้อย่างไร
ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวเรื่องการเสนอชื่อผมขึ้นเป็นหัวหน้า พท. แต่ผมคิดว่าการอยู่ในตำแหน่งปัจจุบัน น่าจะสามารถทำประโยชน์ให้ชาติบ้านเมืองได้มากกว่าประโยชน์ของพรรค เพราะเชื่อมั่นในความเป็นกลางในการทำหน้าที่ของตัวเอง และต้องการทำให้สภาเป็นอิสระจากฝ่ายบริหาร ผมบอกได้เลยว่าผมไม่เคยคิดอยากเป็นฝ่ายบริหาร
เป็นหัวหน้า พท.นะ
ถ้าอย่างนั้นมันต้องไปเป็นฝ่ายบริหาร
หลายฝ่ายวิเคราะห์สาเหตุที่อนาคตทางการเมืองของ พ.อ.อภิวันท์ไม่สดใส เพราะมีตราบาปจากการบุกบ้านป๋า กับคำว่า "วิมานสีม่วง"
ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีด้วยซ้ำ และ 1.ผมไม่ได้เป็นแกนนำ 2.คนที่ไปร่วมก็ไปกันหลายหมื่นคน บังเอิญผมไปพูดความจริงที่บุคคลบางท่านไม่สบายใจเข้า ถามว่าผมมีเจตนาอะไร บอกเลยว่าผมเป็นนายทหารที่ไม่เห็นด้วยกับการยึดอำนาจทุกครั้ง ผมไม่ได้มีความคับแค้นอะไรกับท่านนะ แต่ต้องพูดในหลักการว่าใครก็ตามที่สนับสนุนให้มีการทำรัฐประหาร เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
การประกาศตัวเป็นศัตรูกับ พล.อ.เปรม ทำให้ชีวิตเจอทางตันหรือไม่
(ตอบสวนตั้งแต่ยังถามไม่จบ) ไม่ได้ประกาศครับ ไม่ได้เป็นศัตรูอะไรกับท่าน ผมไม่ได้คิดอะไร
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ยังคิดจะไปยืนอยู่หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ในวันนั้นหรือไม่
ไปแน่นอน เพราะว่าสังคมไม่มีใครกล้าพูดว่าไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหาร หรือแม้กระทั่งพูดถึงประธานองคมนตรี คนก็ไม่กล้าพูดเพราะคิดว่าเป็นสถาบัน ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่ ผมถึงต้องออกมาพูดให้สังคมเข้าใจ และโดยส่วนตัวก็ไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรเลย
มีโอกาสพบ พล.อ.เปรมครั้งสุดท้ายเมื่อไร
ตอนที่ผมมาทำงานกับพี่จิ๋วใหม่ๆ ที่พรรคความหวังใหม่ ท่านก็ทักทาย ตอนนั้นยังหนุ่มหล่ออยู่เลย
"ปริศนาการเมือง" 2 พล.อ.
นอกจากคำกล่าวพาดพิงถึง "นายพลบ้านสี่เสาเทเวศร์" อยู่เนืองๆ... ในวงสนทนากับ "มติชน" ครั้งนี้ "พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย" ยังเอ่ยถึง "พล.อ." อีก 2 คน
หนึ่งคือ "พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน" หรือ "บิ๊กบัง" อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่เพิ่งเข้ารั้งเก้าอี้หัวหน้าพรรคมาตุภูมิแบบหมาดๆ
อีกหนึ่งคือ "พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ" หรือ "บิ๊กป้อม" รมว.กลาโหม
แม้ในทางการทหาร "พ.อ.อภิวันท์" จะเป็นรุ่นน้องของ "2 บิ๊ก"
ทว่าในทางการเมืองปฏิเสธไม่ได้ว่า "2 พล.อ." เดินตามหลัง "พ.อ." ผู้นี้
"การที่พี่บังเลือกวิถีทางนี้ ผมคิดว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้อง ส่วนการตัดสินใจจะถูกหรือผิด มันยังพิสูจน์ไม่ได้ จะเหมาะสมหรือไม่ ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง" พ.อ.อภิวันท์ให้ทรรศนะเกี่ยวกับการกระโจนเข้าสู่ปลักโคนการเมืองของ "บิ๊กบัง"
เขาการันตีว่ารายการนี้ไม่มีคำว่า "ซูเอี๋ย" ระหว่าง "พล.อ.สนธิ-พ.ต.ท.ทักษิณ" แม้ภาพพรรคเพื่อไทย-พรรคมาตุภูมิจะแอบแนบชิดกันก็ตาม
"พี่บังแกอาจจะคิด... คือคนเคยมีอำนาจมาแล้ว ได้เป็น รมว.กลาโหมอีกสักที ก็คงจะดีละนะ ถ้าได้ ส.ส.สัก 20 คน ก็มีโอกาสเป็น รมว.กลาโหม"
ส่วน "นักการเมืองน้องใหม่" จะถึงฝั่งฝันหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าสูงเกินตัวหรือเปล่า ซึ่งเขาเชื่อว่าหากตั้งเป้าเป็น รมว.กลาโหมสักสมัย ก็มีโอกาสสำเร็จ
มีโอกาสสำเร็จได้เป็น รมว.กลาโหมในรัฐบาล พท. หรือรัฐบาล ปชป.?
"ผมเชื่อว่ามีทั้ง 2 ด้าน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองในยุคนั้นๆ หากเลือกตั้งครั้งหน้า พท.ได้เสียงส่วนใหญ่ แต่ขาดไปสัก 10 เสียง ก็อาจจะดึงท่านมาร่วม ถ้า ปชป.ได้เสียงน้อยกว่า พท. แม้จะไปรวมเอาพรรคอื่นมาแล้ว เขาก็อาจจะเอาพี่บังไปร่วม นี่คือความจริงทางการเมือง"
หาก ปชป.ดึง "บิ๊กบัง" ไปร่วมรัฐบาลดูไม่แปลก แต่ถ้า พท.เอานายพลที่เคยปฏิวัติตัวเองมาเป็น รมว.กลาโหมจะประหลาดหรือไม่?
พ.อ.อภิวันท์ยิ้มมุมปากก่อนตอบว่า มันก็แปลกหน่อย แต่ในทางการเมืองมันเป็นไปได้ หรือสมมุติแทนที่จะเป็น รมว.กลาโหม ก็ให้ไปเป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงเสีย ส่วน รมว.กลาโหมเอาพี่ป้อม (พล.อ.ประวิตร) ก็ได้
จงใจเอ่ยชื่อ "บิ๊กป้อม" เพื่อข่มขวัญรัฐบาลหรือเปล่า?
"นายทหารหัวใจสีแดง" แย้งว่า "ก็สนิทนี่ครับ ถามท่านดู ผมโทร.คุยกับท่านทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ท่านบอกว่าเฮ้ย! พี่ไม่ลงการเมืองแล้ว เบื่อฉิบหาย แต่ถ้าท่านไม่ต้องเล่นการเมือง ให้มาเป็นรัฐมนตรี อย่างนี้ท่านเอา"
ถือเป็นการเปิดฉากกระชากตัว 2 นายพลเข้าสู่อ้อมอก พท.ล่วงหน้า!!!