สามวันแล้ว ที่หนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์ นำเสนอข่าว คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการ สตง. มีพฤติกรรมเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน กรณี บริษัท ออดิต แอนด์ แมเนจเม้นท์ คอนซัลแตนท์ จำกัด เช่าอาคารพาณิชย์ของ นายทรงเกียรติ เมณฑกา สามีของคุณหญิงจารุวรรณ เป็นสำนักงาน แต่ไม่เคยเปิดใช้อาคารพาณิชย์หลังดังกล่าวเลย และไม่มีสภาพเป็นสำนักงานของบริษัทแต่อย่างใด
ความน่าสนใจของประเด็นก็คือว่า อาคารพาณิชย์หลังดังกล่าว มีชื่อผู้อาศัยคนสำคัญชื่อ จารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการ สตง. ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างบริษัท ออดิต แอนด์ แมเนจเม้นท์ คอนซัลแตนท์ จำกัด ให้เป็นผู้จัดการอบรมสัมมนาเจ้าหน้าที่ตรวจสอบบัญชีให้แก่เจ้าหน้าที่ สตง. โดยในปี 2550 บริษัทแห่งนี้มีรายได้จาก สตง. ไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาท
สามวันแล้ว ที่ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา หลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงความเป็นมาของ บริษัท ออดิต แอนด์ แมนเนจเม้นท์ คอนซัลแตนท์ จำกัด ว่าไปทำมาหากินกันอย่างไร ไปทำมาค้าขายกันอย่างไร จึงจับพลัดจับผลูมาเช่าตึกเจ้าปัญหาหลังนี้ได้อย่างไร และเหตุใดเมื่อจ่ายค่าเช่าแล้ว จึงไม่ยอมเข้าอยู่ และไม่ใช้ประโยชน์ ซึ่งผิดวิสัยของผู้เช่าทั่วไป ทั้งๆ ที่แจ้งข้อมูลต่อกระทรวงพาณิชย์ว่ามีสำนักงานใหญ่อยู่ที่อาคารหลังดังกล่าว แต่เมื่อนักข่าวไปตรวจสอบ กลับไม่พบป้ายชื่อบริษัทฯ และไม่พบว่ามีการเปิดเป็นสำนักงานบริษัทฯ แต่อย่างใด
นักข่าวของประชาทรรศน์พยายามติดต่อสอบถามเรื่องนี้กับคุณหญิงจารุวรรณทุกวัน ตั้งแต่วันจันทร์จนถึงวันพุธ ได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่ สตง. เหมือนกันทุกวันคือ "ไม่ว่าง ติดประชุม" จนต้องสรุปว่า คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา หลีกเลี่ยงที่จะให้สัมภาษณ์เรื่องนี้
ลำพังแค่ไม่ชี้แจง และหลีกเลี่ยง ก็ยังพอเข้าใจได้ว่าคุณหญิงเธอยังไม่พร้อมที่จะตอบ เพราะตั้งตัวไม่ทัน คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้ขุดคุ้ยเรื่องนี้ขึ้นมาแฉ ขึ้นมา ทดสอบจริยธรรมของตำแหน่งผู้ว่าการ สตง. และจริยธรรมของคนดี ที่คุณหญิงเธออวดโอ่และแอบอ้างราวกับว่าเป็น เจ้าของนิยาม "คนดี" แต่เพียงผู้เดียวมาโดยตลอด
บุคคลสาธารณะหลายคนก็มีอาการไม่ผิดเพี้ยนไปจากคุณหญิงจารุวรรณ เมื่อถูกขุดคุ้ยเรื่องที่ตัวเองคิดว่าปกปิดไว้มิดชิดแล้ว แรกๆ ก็ตกใจที่มีคนรู้ ต่อมาก็ประหลาดใจที่มีคนรู้ได้อย่างไร แล้วก็เจ็บใจที่คนรู้แล้วนำมาพูดนำมาแฉ
ต่อจากนั้นก็แล้วแต่ ความหนา-บางของจริยธรรมในแต่ละคน
คนที่หน้าบาง ก็จะละอายใจ สารภาพผิด ไม่กล้าอยู่สู้หน้าใครต่อไป แต่ถ้าหน้าหนา ก็จะไม่ละอายใจ และยังด้านที่จะทำต่อไปโดยไม่เกรงใจใครทั้งนั้น
ผมไม่เห็นว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด ที่คุณหญิงจารุวรรณจะไม่ตอบคำถามเรื่องนี้ และคิดว่าขณะนี้คุณหญิงเธอได้ผ่านอาการตกใจและประหลาดใจมาแล้ว อยู่ในขั้นเจ็บใจที่ถูกนำมาแฉประจาน แต่ในขั้นต่อไป คือ ขั้น "ละอายใจ" หรือไม่นั้น
ผมยังมองไม่เห็นอาการของคุณหญิงเธอ ว่าจะออกทางหนาหรือบาง
แต่ที่ผมเห็นว่าแปลกและประหลาดใจก็คือ ในขณะที่คุณหญิงไม่ตอบเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนของสามีและตัวเองกับบริษัทฯ ที่ได้รับงานว่าจ้างจาก สตง. ที่คุณหญิงเป็นผู้ว่าการ เป็นผู้บริหารสูงสุด คุณหญิงกลับใช้กลยุทธ์ทางการข่าว โดยมีสื่อมวลชนที่อวดโอ่เป็นสื่อคุณภาพบางราย นำเสนอข่าวเอียงข้างคุณหญิงว่า กรณีนี้เป็นเรื่องที่กลุ่มอำนาจเก่านำมากลั่นแกล้งดิสเครดิตคุณหญิง จึงไม่อยากจะชี้แจง
โธ่...ถ้าเป็นเรื่องไม่จริง มีพยาน มีหลักฐาน มีเอกสารมาหักล้าง ก็จบ ไม่ต้องไปทุกข์ใจ ไม่ต้องปล่อยให้ใครเขามากล่าวหากันฟรีๆ มาตั้งคำถามเชิงดูถูกว่ามีจริยธรรมจริงหรือไม่ แบบนี้
ไม่ใช่เพียงแค่ชี้แจงแล้วจบกันไป จะต้องแจ้งความดำเนินคดีให้เข็ดหลาบด้วย หากเป็นการกระทำของพวกอำนาจเก่าจริงๆ อย่าได้เก็บไว้ให้มาเหยียบย่ำเกียรติยศศักดิ์ศรีของผู้ว่าการ สตง. และคุณหญิงเล่นฟรีๆ แบบนี้
แต่การปิดปากเงียบและการวิ่งหนีคำถามของคุณหญิงแบบนี้ จะทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่าอย่างไร จะทำให้เจ้าหน้าที่ สตง. เข้าใจเป็นอื่นได้อย่างไร นอกจากว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เพราะหากไม่จริง คุณหญิงต้องพูดออกมาแล้ว
ก็ในห้วงเวลาที่ผ่านมา คุณหญิงพูดเรื่องไม่จริงไปตั้งหลายเรื่องแล้ว ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่พูดยากกว่า แล้วทำไมกับเรื่องที่เป็นจริงซึ่งพูดง่ายกว่า ทำไมจึงไม่พูด
นอกจากไม่พูดแล้ว คุณหญิงเธอยังเบี่ยงเบนประเด็น จากผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้กล่าวหาคนอื่นอีกด้วยว่า ผลจากการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ เข้มแข็งของเธอ เป็นเหตุให้ถูกขู่ฆ่า จนเธอกับลูกชายต้องไปหัดยิงปืนเอาไว้ป้องกันตัวเอง
นี่ก็เป็นอีกประเด็นที่น่าประหลาดใจ คือ เรื่องที่คุณหญิงถูกกล่าวหา โดยมีพยานเอกสาร หลักฐานปรากฏชัดแจ้งจากประชาทรรศน์ ไม่มีสื่อมวลชนรายใดสนใจตรวจสอบขยายผล แต่กลับปกป้องคุณหญิง ด้วยเทคนิคการเสนอข่าวทำให้ประชาชนไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง แต่กับ กรณีที่คุณหญิงอ้างลอยๆ ว่าถูกขู่ฆ่า ไม่มีพยานหลักฐาน ไม่มีพยานบุคคล สื่อมวลชนกลับพร้อมใจกันนำเสนอเป็นเรื่องราวข่าวใหญ่โต
ปรากฏการณ์นี้ทำให้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ความสัมพันธ์ระหว่างคุณหญิงจารุวรรณกับสื่อมวลชนทุกสำนักในประเทศนี้ ดีต่อกันเป็นพิเศษ และพร้อมจะเข้าด้วยช่วยเหลือกันในทุกเรื่อง จนผมต้องอดคิดไม่ได้ว่า ประชาทรรศน์ คือ แกะดำตัวเดียว หรือ แกะขาวตัวเดียว กันแน่ในกรณีนี้
หากคุณหญิงและครอบครัว ทั้งผัวและลูก ได้อ่านคอลัมน์นี้ หรือมีใครตัดให้อ่าน ผมขอฝากไว้นิดเดียวว่า คุณหญิงกับครอบครัวไม่กลัวคำขู่ฆ่า แต่ไม่ประมาทก็ถูกแล้ว
แต่ที่คุณหญิงต้องกลัว ก็คือ ความจริงในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนที่ประชาทรรศน์นำมาเสนอ นี่ล่ะที่จะฆ่าคุณหญิงให้ตายจากการเป็นคนดี มีจริยธรรม ได้ผลมากกว่าอาวุธชนิดใดๆ ทั้งสิ้น และการหัดยิงปืนก็ช่วยไม่ได้ แต่ จะต้องหัดพูดความจริง จึงจะช่วยลดหย่อนผ่อนหนักให้เป็นเบาได้
ก็อยากจะเตือนเพียงแค่นี้ นอกเหนือจากนี้ไปก็แล้วแต่พระเจ้าล่ะครับ ว่ายังยอมรับ คุณหญิงเป็นคนดีของท่านอีกต่อไปหรือไม่
ความน่าสนใจของประเด็นก็คือว่า อาคารพาณิชย์หลังดังกล่าว มีชื่อผู้อาศัยคนสำคัญชื่อ จารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการ สตง. ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างบริษัท ออดิต แอนด์ แมเนจเม้นท์ คอนซัลแตนท์ จำกัด ให้เป็นผู้จัดการอบรมสัมมนาเจ้าหน้าที่ตรวจสอบบัญชีให้แก่เจ้าหน้าที่ สตง. โดยในปี 2550 บริษัทแห่งนี้มีรายได้จาก สตง. ไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาท
สามวันแล้ว ที่ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา หลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงความเป็นมาของ บริษัท ออดิต แอนด์ แมนเนจเม้นท์ คอนซัลแตนท์ จำกัด ว่าไปทำมาหากินกันอย่างไร ไปทำมาค้าขายกันอย่างไร จึงจับพลัดจับผลูมาเช่าตึกเจ้าปัญหาหลังนี้ได้อย่างไร และเหตุใดเมื่อจ่ายค่าเช่าแล้ว จึงไม่ยอมเข้าอยู่ และไม่ใช้ประโยชน์ ซึ่งผิดวิสัยของผู้เช่าทั่วไป ทั้งๆ ที่แจ้งข้อมูลต่อกระทรวงพาณิชย์ว่ามีสำนักงานใหญ่อยู่ที่อาคารหลังดังกล่าว แต่เมื่อนักข่าวไปตรวจสอบ กลับไม่พบป้ายชื่อบริษัทฯ และไม่พบว่ามีการเปิดเป็นสำนักงานบริษัทฯ แต่อย่างใด
นักข่าวของประชาทรรศน์พยายามติดต่อสอบถามเรื่องนี้กับคุณหญิงจารุวรรณทุกวัน ตั้งแต่วันจันทร์จนถึงวันพุธ ได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่ สตง. เหมือนกันทุกวันคือ "ไม่ว่าง ติดประชุม" จนต้องสรุปว่า คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา หลีกเลี่ยงที่จะให้สัมภาษณ์เรื่องนี้
ลำพังแค่ไม่ชี้แจง และหลีกเลี่ยง ก็ยังพอเข้าใจได้ว่าคุณหญิงเธอยังไม่พร้อมที่จะตอบ เพราะตั้งตัวไม่ทัน คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้ขุดคุ้ยเรื่องนี้ขึ้นมาแฉ ขึ้นมา ทดสอบจริยธรรมของตำแหน่งผู้ว่าการ สตง. และจริยธรรมของคนดี ที่คุณหญิงเธออวดโอ่และแอบอ้างราวกับว่าเป็น เจ้าของนิยาม "คนดี" แต่เพียงผู้เดียวมาโดยตลอด
บุคคลสาธารณะหลายคนก็มีอาการไม่ผิดเพี้ยนไปจากคุณหญิงจารุวรรณ เมื่อถูกขุดคุ้ยเรื่องที่ตัวเองคิดว่าปกปิดไว้มิดชิดแล้ว แรกๆ ก็ตกใจที่มีคนรู้ ต่อมาก็ประหลาดใจที่มีคนรู้ได้อย่างไร แล้วก็เจ็บใจที่คนรู้แล้วนำมาพูดนำมาแฉ
ต่อจากนั้นก็แล้วแต่ ความหนา-บางของจริยธรรมในแต่ละคน
คนที่หน้าบาง ก็จะละอายใจ สารภาพผิด ไม่กล้าอยู่สู้หน้าใครต่อไป แต่ถ้าหน้าหนา ก็จะไม่ละอายใจ และยังด้านที่จะทำต่อไปโดยไม่เกรงใจใครทั้งนั้น
ผมไม่เห็นว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด ที่คุณหญิงจารุวรรณจะไม่ตอบคำถามเรื่องนี้ และคิดว่าขณะนี้คุณหญิงเธอได้ผ่านอาการตกใจและประหลาดใจมาแล้ว อยู่ในขั้นเจ็บใจที่ถูกนำมาแฉประจาน แต่ในขั้นต่อไป คือ ขั้น "ละอายใจ" หรือไม่นั้น
ผมยังมองไม่เห็นอาการของคุณหญิงเธอ ว่าจะออกทางหนาหรือบาง
แต่ที่ผมเห็นว่าแปลกและประหลาดใจก็คือ ในขณะที่คุณหญิงไม่ตอบเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนของสามีและตัวเองกับบริษัทฯ ที่ได้รับงานว่าจ้างจาก สตง. ที่คุณหญิงเป็นผู้ว่าการ เป็นผู้บริหารสูงสุด คุณหญิงกลับใช้กลยุทธ์ทางการข่าว โดยมีสื่อมวลชนที่อวดโอ่เป็นสื่อคุณภาพบางราย นำเสนอข่าวเอียงข้างคุณหญิงว่า กรณีนี้เป็นเรื่องที่กลุ่มอำนาจเก่านำมากลั่นแกล้งดิสเครดิตคุณหญิง จึงไม่อยากจะชี้แจง
โธ่...ถ้าเป็นเรื่องไม่จริง มีพยาน มีหลักฐาน มีเอกสารมาหักล้าง ก็จบ ไม่ต้องไปทุกข์ใจ ไม่ต้องปล่อยให้ใครเขามากล่าวหากันฟรีๆ มาตั้งคำถามเชิงดูถูกว่ามีจริยธรรมจริงหรือไม่ แบบนี้
ไม่ใช่เพียงแค่ชี้แจงแล้วจบกันไป จะต้องแจ้งความดำเนินคดีให้เข็ดหลาบด้วย หากเป็นการกระทำของพวกอำนาจเก่าจริงๆ อย่าได้เก็บไว้ให้มาเหยียบย่ำเกียรติยศศักดิ์ศรีของผู้ว่าการ สตง. และคุณหญิงเล่นฟรีๆ แบบนี้
แต่การปิดปากเงียบและการวิ่งหนีคำถามของคุณหญิงแบบนี้ จะทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่าอย่างไร จะทำให้เจ้าหน้าที่ สตง. เข้าใจเป็นอื่นได้อย่างไร นอกจากว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เพราะหากไม่จริง คุณหญิงต้องพูดออกมาแล้ว
ก็ในห้วงเวลาที่ผ่านมา คุณหญิงพูดเรื่องไม่จริงไปตั้งหลายเรื่องแล้ว ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่พูดยากกว่า แล้วทำไมกับเรื่องที่เป็นจริงซึ่งพูดง่ายกว่า ทำไมจึงไม่พูด
นอกจากไม่พูดแล้ว คุณหญิงเธอยังเบี่ยงเบนประเด็น จากผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้กล่าวหาคนอื่นอีกด้วยว่า ผลจากการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ เข้มแข็งของเธอ เป็นเหตุให้ถูกขู่ฆ่า จนเธอกับลูกชายต้องไปหัดยิงปืนเอาไว้ป้องกันตัวเอง
นี่ก็เป็นอีกประเด็นที่น่าประหลาดใจ คือ เรื่องที่คุณหญิงถูกกล่าวหา โดยมีพยานเอกสาร หลักฐานปรากฏชัดแจ้งจากประชาทรรศน์ ไม่มีสื่อมวลชนรายใดสนใจตรวจสอบขยายผล แต่กลับปกป้องคุณหญิง ด้วยเทคนิคการเสนอข่าวทำให้ประชาชนไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง แต่กับ กรณีที่คุณหญิงอ้างลอยๆ ว่าถูกขู่ฆ่า ไม่มีพยานหลักฐาน ไม่มีพยานบุคคล สื่อมวลชนกลับพร้อมใจกันนำเสนอเป็นเรื่องราวข่าวใหญ่โต
ปรากฏการณ์นี้ทำให้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ความสัมพันธ์ระหว่างคุณหญิงจารุวรรณกับสื่อมวลชนทุกสำนักในประเทศนี้ ดีต่อกันเป็นพิเศษ และพร้อมจะเข้าด้วยช่วยเหลือกันในทุกเรื่อง จนผมต้องอดคิดไม่ได้ว่า ประชาทรรศน์ คือ แกะดำตัวเดียว หรือ แกะขาวตัวเดียว กันแน่ในกรณีนี้
หากคุณหญิงและครอบครัว ทั้งผัวและลูก ได้อ่านคอลัมน์นี้ หรือมีใครตัดให้อ่าน ผมขอฝากไว้นิดเดียวว่า คุณหญิงกับครอบครัวไม่กลัวคำขู่ฆ่า แต่ไม่ประมาทก็ถูกแล้ว
แต่ที่คุณหญิงต้องกลัว ก็คือ ความจริงในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนที่ประชาทรรศน์นำมาเสนอ นี่ล่ะที่จะฆ่าคุณหญิงให้ตายจากการเป็นคนดี มีจริยธรรม ได้ผลมากกว่าอาวุธชนิดใดๆ ทั้งสิ้น และการหัดยิงปืนก็ช่วยไม่ได้ แต่ จะต้องหัดพูดความจริง จึงจะช่วยลดหย่อนผ่อนหนักให้เป็นเบาได้
ก็อยากจะเตือนเพียงแค่นี้ นอกเหนือจากนี้ไปก็แล้วแต่พระเจ้าล่ะครับ ว่ายังยอมรับ คุณหญิงเป็นคนดีของท่านอีกต่อไปหรือไม่