สนช. พิจารณาเป็นวาระด่วน เห็นชอบให้ลงนามในอนุสัญญาต่อต้านทุจริต หวังเป็นช่องทางนำตัว “ทักษิณ” กลับมาขึ้นศาลไทย “นิตย์” ระบุถือเป็นความก้าวหน้าในเวทีต่างประเทศ พร้อมผลักดันเร่งออกกฎหมาย 3 ฉบับรองรับ
การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในช่วงเช้าวันที่ 19 ธันวาคม ที่ผ่านมา พล.อ.
นาย
ทั้งนี้ จะต้องมีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา คือ ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายอาญาเพิ่มเติม ฐานความผิดเรื่องการให้สินบนเจ้าหน้าที่ของรัฐในต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต หรือสินบนข้ามชาติ ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ที่เกี่ยวกับอายุความ โดยให้หยุดอายุความในกรณีที่ผู้ต้องหาหลบหนีไปต่างประเทศ เมื่อกลับมาดำเนินคดีก็ให้นับอายุความ
และร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมความร่วมมือระหว่างประเทศทางอาญา พ.ศ.2535 เพิ่มเติมหลักการการติดตาม อายัด ยึดทรัพย์ ริบทรัพย์ ผู้ต้องหาที่นำออกไปไว้ที่ต่างประเทศ ตามมูลค่าที่ทุจริต ซึ่งทั้ง 3 ฉบับ ทางกระทรวงยุติธรรมได้กำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งเมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ รัฐบาลจะสามารถดำเนินการตามอนุสัญญาได้
ด้าน นาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาชิกหลายคน เช่น นาย
นอกจากนี้ ในคดีบีบีซี ที่รัฐบาลไทยไม่สามารถนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษและตามยึดทรัพย์สิน จะยังใช้อนุสัญญาในการดำเนินการได้หรือไม่
นาย
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในเรื่องของการส่งตัวมาดำเนินคดีในประเทศไทย ในเรื่องนี้ต้องมีการหารือกับประเทศนั้นโดยใช้วิธีการฑูต แต่ในเรื่องการลงสัตยาบันในอนุสัญญา เป็นการเสริมสร้างการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นให้มีประสิทธิภาพได้ นอกจากนี้ การเจรจาจะต้องผ่านวิธีการฑูต โดยกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ต้องกระทำเช่นเดียวกัน
ในที่สุด ที่ประชุมได้ลงมติให้ความเห็นชอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ.2003 ด้วยคะแนน 136 เสียง งดออกเสียง 1 เสียง จากนั้นได้มีมติเลื่อนการพิจารณาให้ความเห็นชอบการสมัครเข้าเป็นภาคีอนุสัญญากรุงปารีส ว่าด้วยการคุ้มครองทรัพย์สินอุตสาหกรรม และสนธิสัญญาว่าด้วยความร่วมมือด้านสิทธิบัตร โดยที่ประชุมเห็นว่าควรจะพิจารณากฎหมายที่ค้างการพิจารณาให้เสร็จก่อน
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 18 ธันวาคม ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอทั้ง 3 ข้อ ดังนี้
1.ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการให้สัตยาบันให้ไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาอาเซียน ว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย (ASEAN Convention on Counter Terrorism – ACCT)
2.ให้ศูนย์ประสานความร่วมมือต่อต้านการก่อการร้ายสากลและอาชญากรรมข้ามชาติ (ศกอช.) สังกัดสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นหน่วยงานประสานงานกลางของประเทศไทย เพื่อส่งเสริมความร่วมมือภายใต้อนุสัญญาตามข้อ 15 ของอนุสัญญาฯ
3.ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานดำเนินการแจ้งภาคีที่เกี่ยวข้อง กรณีมีการจับกุมตามข้อ 8 วรรค 6 ของอนุสัญญาฯ