เขาไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้ผมก็ไม่แน่ใจ ว่าคุณทักษิณมีอิทธิพลลึกลงไปในจิตใจของผู้คนเป็นจำนวนมากเสียแล้ว ขนาดห่างหายไปเป็นปีๆ และถูกตราหน้าสารพัดสารพัน เมื่อใดก็ตามที่คนเขาแสดงออกกันได้อย่างเสรีหรือแม้แต่กึ่งเสรี คุณทักษิณแกก็เด้งผึงกลับมาอยู่แถวหน้าในทันทีทุกครั้งไป
กรณีที่กรรมการการเลือกตั้งตัดสินใจลงโทษ ดร.ประแสง มงคลศิริ ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคพลังประชาชน ที่ จ. เพชรบูรณ์ โทษฐานที่รณรงค์หาเสียงโดยใช้ภาพลักษณ์ของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นอุปกรณ์อันสำคัญ ถือเป็นเรื่องเล็กๆที่บอกอะไรใหญ่ๆได้มาก
ไม่ใช่ประเด็นที่ว่าคุณทักษิณยังเป็นที่หวาดกลัวของฝ่ายอำนาจเดิมหรอกครับ นั่นเป็นเรื่องเก่าสุดกู่ไปแล้ว
สิ่งที่เรื่องนี้บอกกับเราน่าจะเป็นโลกทัศน์ของฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับคุณทักษิณ และ "งาน" ที่ฝ่ายนี้ได้รับมอบมา นั่นคือมาตรการต่างๆเพื่อมิให้คุณทักษิณกลับสู่อำนาจทางการเมืองได้
ผมมิได้หมายถึงกรรมการการเลือกตั้งเป็นการเฉพาะ เพราะ "งาน" นี้ต้องอาศัยกำลังภายในและภายนอกมากกว่าอำนาจของ กกต. ทั้ง 5 คนหลายเท่า
ดูตรงไปที่ประเด็น โดยไม่ต้องพลิกแพลงอะไร ก็คงสรุปง่ายๆได้ว่าเขาห้ามมิให้คุณทักษิณมีกิจกรรมใดๆในทางการเมือง เพราะเป็น 1 ใน 111 คนที่ถูกตัดสิทธิ เพราะพรรคไทยรักไทยถูกยุบ
ดังนั้น การที่ใครก็ตามนำภาพลักษณ์ของคุณทักษิณมาใช้ในทางการเมืองก็คงไม่ใช่เรื่องถูกต้อง
พูดอย่างนี้ก็หมายความว่าเราตัดประเด็นเรื่องของหลักกฎหมายไปก่อน เพราะ "กฎหมาย" อะไรที่นำมาสู่การห้ามในย่อหน้าที่ว่ามานี้ ล้วนเป็นผลิตผลโดยตรงจากการฉีกรัฐธรรมนูญและรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ทั้งสิ้น เถียงกันได้จนฟ้าล่มว่าของพรรค์นี้ถือเป็น "กฎหมาย" อันมีศักดิ์และสิทธิอย่างแท้จริง และควรต้องปฏิบัติตามหรือไม่
แต่เอาเถิดประเด็นของเราอยู่ที่การเลือกมองของคนบางคนว่า ต้องสกัดกั้นมิให้ภาพลักษณ์ของคุณทักษิณอยู่ในกระบวนการการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นอันขาด
แสดงให้เห็นว่าเขามองคุณทักษิณเป็นเรื่องโฆษณาล้วนๆ ถ้าหายไปจากสื่อโฆษณานานๆ คนก็จะลืมไปเอง อิทธิพลใดๆที่คุณทักษิณเคยมีก็จะลดลงไปตามส่วน
คนที่คิดว่ากลยุทธ์นี้เป็นความฉลาดแหลมคม และไปเที่ยวสอพลอผู้ใหญ่ประเภทโลกทัศน์แคบในเมืองไทย ว่าการกระทำอย่างนี้จะทำลายฐานอำนาจของทักษิณอย่างได้ผลนั้น ความจริงแล้วเป็นคนที่หลงโลกอย่างน่าสงสาร
เขาไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้ผมก็ไม่แน่ใจ ว่าคุณทักษิณมีอิทธิพลลึกลงไปในจิตใจของผู้คนเป็นจำนวนมากเสียแล้ว ขนาดห่างหายไปเป็นปีๆ และถูกตราหน้าสารพัดสารพัน เมื่อใดก็ตามที่คนเขาแสดงออกกันได้อย่างเสรีหรือแม้แต่กึ่งเสรี คุณทักษิณแกก็เด้งผึงกลับมาอยู่แถวหน้าในทันทีทุกครั้งไป
อย่างนี้คงไม่ใช่ชิ้นงานโฆษณาที่พ้นระยะ "ไพรม์ไทม์" เมื่อไหร่เป็นถูกลืมเมื่อนั้น
ความลึกซึ้งอย่างนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับของคนที่หลงคิดว่าตนเองอยู่ในความนิยมอันล้นเหลือชนิดที่ไม่มีวันเกิดอนิจจังขึ้นได้ ลูกน้องตลอดจนเหล่า "สาวก" ก็ไม่อาจทำใจยอมรับได้เช่นกัน
ในที่สุดก็เลยมาเล่นเกมอันตื้นเขินด้วยการสั่งให้ "ปลดป้ายโฆษณา" ลงทั่วเมือง หลังจากที่คนทั้งหลายเขา "ซื้อ" เอาไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว
การลงโทษคุณประแสงก็ดี หรือการปลดป้ายด้วยวิธีการอื่นใดก็ดี จึงเป็นการเร่งเร้าให้เกิดความผูกพันกันมากยิ่งขึ้นในหมู่คนที่นิยมชมชอบคุณทักษิณ ไม่ใช่ลดลง
แถมในขณะนี้ยังอุตส่าห์แยกย้ายกันใช้กลยุทธ์อย่างนี้ในอีกหลายต่อหลายที่ จึงเชื่อว่าจะช่วยให้ความผูกพันนั้นแนบแน่นยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และกว้างขวาง
มองพฤติกรรมของฝ่ายตรงข้ามกับประชาธิปไตยในขณะนี้แล้ว ผมนึกถึงวลีฝรั่งที่ว่า living in denial ขึ้นมาติดหมัด
วลีนี้อธิบายถึงคนที่ชอบหลอกตัวเอง และเชื่อมั่นชนิดหัวปักหัวปำว่าตัวเองเท่านั้นที่ถูกต้อง
ประวัติศาสตร์บอกเราว่าคนอย่างนี้จะหลอกตัวเองไปเรื่อยๆจนถึงวันสุดท้าย คือวันที่ภาพมายาที่ตัวเองสร้างขึ้นล่มสลายลงต่อหน้าต่อตา
ครับ เรื่องของกรรมแท้ๆทีเดียว.--จบ-
////////////////////////
คอลัมน์: เลือกคบ ไม่เลือกข้าง...จากหนังสือพิมพ์โลกวันนี้