แม้ใครจะกล่าวว่า วินาทีแห่งการกลับบ้านจะคือชัยชนะของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
แต่ในความเป็นจริง ผู้ที่ควรเป็นเจ้าของชัยชนะตัวจริงเสียงจริงมากกว่า...คือประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
โดยเฉพาะประชาชนที่เลือกจะเผชิญหน้ากับมรสุมทางการเมืองตลอด 1 ปีที่ผ่านมา โดยไม่ได้ถือว่าธุระไม่ใช่...หรือหลบหนีหน้าไปไหนด้วยข้ออ้างว่า “อยู่บนภู ดูหมากัดกัน”
หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แม้ส่วนหนึ่งเป็นการต่อสู้ของประชาชนที่มีความรักและชื่นชม พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่แล้วเป็นพื้นฐาน...
แต่อีกส่วนมาก คือการต่อสู้ของประชาชนที่ยึดมั่นใน “หลักการ” ตามระบอบประชาธิปไตย โดยไม่จำเป็นว่า “ใคร” ถูกรัฐประหาร “ใคร” เข้ามาทำรัฐประหาร
ประชาชนส่วนนี้ หาได้มีถ้อยคำมักง่ายทำนองว่า “อะไรที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ให้มันแล้วไป” แต่เชื่อว่า ต้องแสดงเจตนารมย์ที่จะไม่ยอมรับอำนาจนอกระบบอย่างเข้มแข็ง
ประชาชนส่วนนี้ ยืนหยัดและยืนยันว่าต้องการ “คนเลวที่ตรวจสอบได้” มากกว่า “คนดีที่ไม่มีการตรวจสอบ”
แม้ส่วนหนึ่งจะสู้เพื่อทักษิณ แต่อีกส่วนมากสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตย เหมือนที่วีรชน 14 ตุลา ก็สู้เพื่อสิ่งนี้...สู้เพื่อระบอบ ไม่ใช่เพียงเพื่อบุคคล
การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะคนที่เป็นเป้าหมายของการยึดอำนาจ จะรู้สึกปลอดภัยจนสามารถกลับเข้าประเทศได้เร็วกว่าที่กำหนด...ย่อมต้องยกความดีให้ประชาชนเหล่านี้ทั้งสิ้น
แม้ประชาชนเหล่านี้จะรู้ดีว่า หลายครั้ง นักการเมืองทั้งหลายที่เมื่อได้ฉันทามติจากมหาชนไปอย่างท่วมท้นแล้ว ก็มักจะลืมพันธะสัญญาที่ได้เคยให้ไว้...
แต่นั่นก็ย่อมไม่ใช่ข้ออ้างที่จะปฏิเสธประชาธิปไตย
วันนี้ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถเดินทางกลับสู่บ้านที่เขาพูดนักหนาว่าคิดถึง จึงคือการยืนยันอีกขั้นหนึ่งว่า ประเทศนี้ปลอดภัยสำหรับผู้นำที่มาจากการเลือกตั้ง...เช่นเขา
หากไม่มีประชาชนส่วนใหญ่ที่ร่วมกันยืนหยัดต่อสู้ เพียงอำนาจเงินก็คงไม่อาจทำอะไรได้
ส่วนใครที่กำลังโศกเศร้าว่าทักษิณกลับเมืองไทย (เพราะใจอยากให้อยู่เมืองนอกไปนานๆ) ก็ขอให้เศร้าต่อไป และถ้าจะให้ดีก็อย่าลืมโศกเศร้าให้จิตใจและจิตสำนึกทางการเมืองของตนเองเสียด้วย...
เพราะเวลานี้ เป็นเวลาของ คนที่ต้องการประชาธิปไตย เขาจะได้รื่นรมย์กัน...