ที่มา Thai E-News
โดย อริน
ที่มา เว็บบอร์ดชมรมฟ้าใหม่
12 เมษายน 2552
การชุมนุมใหญ่เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งนำโดยแนวร่วมประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก้าวมาถึงจุดที่ยกระดับจากกลุ่มต่อต้านเผด็จการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มาเป็นขบวนการประชาชนขนาดใหญ่ ที่มีกลุ่ม องค์กรต่างๆ หนุนเนื่องเข้าร่วมมากขึ้นทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นับจากวันที่ 6 เมษายน หลายๆองค์กรประชาชนที่จัดตั้งกันอย่างเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเองโดยผ่านการพิสูจน์ทดสอบในท่ามกลางการเคลื่อนไหวระดับต่างๆ มาเป็นระยะเวลาแน่นอน ประกาศเข้าร่วมการเคลื่อนไหวอย่างเป็นทางการ
มาถึงเวลานี้ แทบไม่มีข้อสงสัยใดๆอีกแล้วว่า ครั้งนี้เป็นการชุมนุมมวลชนครั้งใหญ่ที่สุด ประกอบด้วยประชาชนชั้นชนต่างๆ ตั้งแต่ระดับรากหญ้า ขึ้นไปจนถึงคนชั้นกลางในเมือง คนชั้นสูงบางส่วนที่ไม่สามารถนิ่งเฉยกับการแสดงอำนาจเผด็จการอันธพาล แสดงการสนับสนุนการเคลื่อนไหวอย่างไม่ปิดบังอำพรางอีกต่อไป
เป็นปรากฏการณ์ “ใครมีแรงออกแรง ใครมีเงินออกเงิน ใครมีปัญญาออกปัญญา” อย่างมิได้นัดหมาย เป็นครั้งแรกนับจากห้วงเวลา “ประชาธิปไตยเบ่งบาน” หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา อันยิ่งใหญ่
ทั้งนี้ รวมถึงการประกาศคำแถลงของ “เครือข่ายหนี้สินชาวนาแห่งประเทศไทย” บนเวทีนอกทำเนียบรัฐบาลเพื่อประกาศจุดยืนร่วมต่อสู้กับคนเสื้อแดงในเวลาประมาณ 18.15 น. วันที่ 6 เมษายน ผ่านการถ่ายทอดทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม และสถานีวิทยุชุมชน ที่ยังไม่ถูกปิดกั้นสัญญาณออกอากาศด้วยเครื่องมือทันสมัยประดามีของรัฐเผด็จอำนาจ เป็นการประกาศเข้าร่วมรุกรบโดยไม่มีเงื่อนไขในการขับไล่ผู้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และผลักดันจนเกิดรัฐบาลอภิสิทธิ์ชน ที่ประกอบด้วยคณะรัฐมนตรีที่มีพฤติกรรมเยี่ยงโจรก่อการร้ายสากล...
หัวใจของคำประกาศจากกลุ่มคนรากหญ้าที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาตลอดประวัติศาสตร์ สะท้อน ความองอาจแกล้วกล้า ความฮึกห้าวเหิมหาญของผู้คนที่อยู่ในสถานะตกเป็นเบี้ยล่างเสมอมาใน... “ระบอบอำมาตยาธิปไตยเป็นศัตรูกับชาวนา ขอให้สมาชิกเครือข่ายฯปรับสถานการณ์ขณะนี้เป็นสถานการณ์สู้รบ และรับฟังคำสั่งจากแกนนำในระดับประเทศเท่านั้น และหากรัฐใช้กำลังสลายผู้ชุมนุม สมาชิกฯของเครือข่ายก็จะออกมากระทำการให้การบริหารประเทศเป็นอัมพาต และจะทำให้ระบบเศรษฐกิจเดินต่อไปไม่ได้”
ไล่เลี่ยกัน ในเวลา 20.40 น. นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ออกคำแถลงผ่านสถานีโทรทัศน์ทุกสถานี ที่ ณ บัดนี้
รัฐบาลโดยการนำของพรรคประชาธิปัตย์ สามารถใช้“กฎหมาย” ในมือ ครอบงำบงการเป็นกระบอกเสียงของรัฐอย่างสมบูรณ์... ทุกรูปแบบ ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีของระบอบอำมาตยา-อภิชนาธิปไตย หลั่งไหลจากปากผู้นำรัฐบาลที่เป็นผลิตผลจากระบอบเผด็จการทหารหลังการรัฐประหาร 19 กันยา แม้จนที่สุด “มาตรการทางกฎหมาย” ที่เป็นที่กังขาเสมอมาในสายตาของสังคมและผู้คนที่ยึดถือเชื่อมั่นในหลักการ “ความยุติธรรมมาตรฐานเดียว”
น่าเสียดายที่ถ้อยความในเนื้อหาที่ดูเหมือนแข็งกร้าวยิ่งกว่าครั้งใด นับจากการก้าวขึ้นมาฉวยโอกาสจัดตั้งรัฐบาลผสมเมื่อปลายปีที่ผ่านมา กลับไม่อาจอำพรางความกระวนกระวาย ลังเลสงสัย เมื่อตระหนักว่าระบอบอำมาตย์-อภิชนที่ตนเป็นตัวแทนอยู่นั้น กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งสำคัญที่สุด เท่าที่รัฐไทย...ในฐานะที่เป็นรัฐอธิปไตยสมัยใหม่ จากบรรดาผู้คนที่เคยเป็นเพียง “ผู้ถูกปกครอง” ที่ไม่มีสิทธิมีเสียง หรือมีสิทธิมีเสียงเพียงเท่าที่ “ผู้ปกครอง” ที่เป็น “อภิชน” จะหยิบยื่นให้
ถัดมาอีกเพียงวันเดียว สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) ออกแถลงการณ์ “โค่นล้มอำมาตยา สถาปนาระบอบประชาธิปไตยให้สมบูรณ์” มีเนื้อหาที่เป็นข้อเรียกร้องหลัก 4 ประการ คือ
“1. ประกาศยุบสภาฯ คืนอำนาจให้ประชาชน เพื่อให้ประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ได้กำหนดอนาคตของตัวเอง
2. ฝ่ายอนุรักษ์นิยมและอำมาตยาธิปไตย มีกระบวนการเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย
3. ห้ามรัฐบาลสกัดกั้น หรือใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุมโดยเด็ดขาด...
4. สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) เห็นด้วย กับหลักการของ นปช. และขอสนับสนุนการต่อสู้เพื่อปกป้องประชาธิปไตยระบบเลือกตั้ง และระบบรัฐสภาฯ”
ประชามหาชนคนรากหญ้าทุกยุคทุกสมัย ค่อยตระหนักทีละน้อยว่า ไม่เคยมีครั้งใดที่ “ผู้ปกครอง” ดั้งเดิม จะยินยอมสละสถานะได้เปรียบที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นแต่โดยดี อย่างน้อยหลักฐานที่ชัดเจนที่เป็นเสมือนหอกทิ่มแทงความรู้สึกนึกคิดของ “ผู้ปกครอง” เหล่านั้น ยังคงเป็นประจักษ์พยานในประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดี หนึ่งคือ “อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ” หรือที่เดิมเรียกว่า “อนุสาวรีย์ปราบกบฏ” ตั้งอยู่ที่วงเวียนบางเขน หรือแยกหลักสี่ เป็นอนุสรณ์ที่ประชาชนที่รักและหวงแหนในรับอบประชาธิปไตย รวมกำลังกันเข้าต่อสู้กองกำลังฝ่ายปฎิปักษ์ประชาธิปไตย เมื่อปี พ.ศ.2476 ที่เรียกกันว่า “กบฏบวรเดช” และอีกหนึ่งคือ “อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา” ที่บริเวณ 4 แยกคอกวัว บนถนนราชดำเนิน ใกล้กับ “อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย”
และที่กำลังเกิดขึ้นและดำเนินไปของการเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยอนุสารีย์มีชีวิต ในสถานการณ์รุกคืบหน้า โถมเข้าทำลายป้อมปราการของ “ระบอบอำมาตยา-อภิชนาธิปไตย” อย่างเอาการเอางาน... ในท่ามกลางการต่อสู้ที่แหลมคมนี้ ข้อเรียกร้องเฉพาะหน้า คือ
“รากหญ้าทั้งหลาย จงรวมตัวกันโค่นอำมาตย์ สถาปนาประชาธิปไตย”.