ที่มา thaifreenews
บทความโดย...KAKA
ก่อนอื่นกระผมต้องขอออกตัวก่อน ว่าตัวกระผมเองนั้นไม่ได้มีปัญหา หรือไม่ชอบคุณเปรมเป็นการส่วนตัวแต่ประการใดทั้งสิ้น หากแต่เพียงต้องการเขียนเนื้อหาทางวิชาการที่ปราศจากอคติ ” เพื่อรักษาสัจจะทางวิชาการ “ ส่วนเมื่อท่านอ่านแล้ว ท่านจะเห็นด้วยกับบทความนี้หรือไม่นั้น ถือเป็นเสรีภาพส่วนบุคคลสิ่งที่ต้องการเพียงที่จะตั้งถามเพื่อยกระดับ สติปัญญาความคิดให้กับคนในสังคมเท่านั้น
รัฐบุรุษมิได้มาจากการแต่งตั้ง หรือประทาน มาจากใครทั้งสิ้น ไม่ได้เกิดมาจากการสืบเชื้อสายทางสายโลหิต และไม่สามารถสืบทอดต่อให้ลูกหลานของตนได้ด้วย หากแต่ ความเป็น“รัฐบุรษ”นั้นก่อกำเกิดจากระดับภายในจิตใจของบุคคลคนท่านนั้น ที่ลดละอัตตาตนตัวของตัวเองเพื่อปฎิบัติภารกิจของส่วนรวมเป็นอับดับแรก และ ภารกิจของตนเป็นรอง จนเป็นที่ประจักษ์และยอมรับต่อสาธรณะชนคนทั่วไป และคนในสังคมทั้งหลายเหล่านั้เห็นพ้องต้องกัน ว่าบุคคลผู้นี้คือ "รัฐบุรุษ” (พึ่งระวังพวกที่เป็นอุตริชน ใช้การโฆษณาชวนเชื่อ สร้างมายาภาพเพื่อตบตาคนในสังคม เป็นนักมายากลทางการเมือง เพื่อประโยชน์ของวงค์วานว่านเครือ และลูกน้องของตน)
ลองคิดถึง “รัฐบุรุษ”ที่เราตั้งคำถามเค้าอยู่ในใจว่า เค้าผู้นั้นเป็นรัฐบุรุษที่แท้จริงหรือไม่
ให้เราคิดไว้ว่าหากคนนั้นคนจากโลกนี้ไปแล้วโลกจะจดบันทึกเค้าไว้จำเค้าได้ไหม คนรุ่นหลังจะเรียกหาเค้ามั๊ย? หรือว่าคำแซ่ซ้องสรรเสริญยกยอปอปั้นนั้น เป็นเพียงแค่เพราะเค้าผู้นั้นมีกำลังอำนาจ บังคับสั่งการทหาร ควบคุมกระบวนการตัดสินคดีความได้ ยามตอนที่ตัวเองมีชีวิตอยู่ในอำนาจก็ใช้เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ในยามมีอำนาจมีอยู่ไปในการทำลายคู่แข่ง ของตัวเอง รังแกเอาเปรียบผู้อื่นอย่างไร้ความอยุติธรรม และสร้างภาพมายา ว่าตนมีคุณธรรมสูงส่ง ทำเพื่อประเภทอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่ความจริงเป็นเรื่องอุปโหลกขึ้นมาหลอกชาวบ้านทั้งเพ ยามตนหมดอำนาจหรือตายไป ความเลวที่ตนได้ทำไว้เริ่มปรากฎชัดขึ้นต่อสาธารณชน ทำให้ผู้คนออกมาสาปแซ่ง ด่าทอหรือถึงขนาดและ ขุดออกศพมาเฆี่ยนตีคนพวกนี้จัดว่าเป็นพวกนักเผด็จการ ลวงโลก ซึ่งก็มีเห็นให้มานักต่อนักแล้ว
คราวนี้ก็มาถึงคำถามที่ว่า เปรมแท้จริงแล้วนั้นใช่รัฐบุรุษหรือไม่? ”และหากคุณเปรมกล้าพอที่จะต้องตอบเหล่านี้กับสังคมให้ได้?”
กระผมจะขอใช้คำอธิบายตามหลักประชาธิปไตยสากล เพื่อแสดงมีเห็นคุณลักษณะของรัฐบุรุษที่แท้จริง ที่ชาวโลกเค้ายอมรับยกย่องกับบุคลิกลักษณะของ คุณ เปรม เพื่อทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนดังนี้
1. รัฐบุรุษ เสียสละตนเอง ทำภารกิจเพื่อเพื่อนมนุษย์เป็นภารกิจที่ 1 (การพิจารณาให้ระวังพวกของปลอม พร่ำวาทกรรม)
- เปรมมีลักษณะหรือทำภาระกิจ ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างไร?
ผลงานที่เห็นได้เด่นชัดที่สุดคือ เป็นผู้อำนวยการใหญ่สั่งการให้ทหารเข้าปล้นอำนาจสูงของประเทศไปจากประชาชน ที่แม้แต่นักการเมืองเลวๆ คนหนึ่งไม่กล้าคิดที่จะทำเช่นนี้เลย หากจะมองตามหลักประชาธิปไตยสากล ผนวกเข้ากับหลักทางจิตวิทยาแล้ว เปรม เป็นได้แค่เพียงนักการเมืองเลวๆ คนหนึ่งเท่านั้นเอง การที่จะมาอ้างตนว่าเป็นรัฐบุรุษ ย่อมเป็นเรื่องที่น่าตลกขบขัน และอายต่อสายตาชาวโลกเป็นแน่แท้
2 รัฐบุรุษ มีอุดมการณ์ที่ชัดเจน ทำเพื่อมนุษยชาติ ( การพิจารณาให้ระวังพวก มือถือดาบปากคาบคัมภีร์ )
- เปรมมีลักษณะอะไรที่ทำให้เพื่อนมนุษย์ร่วมโลกด้วยกันดีขึ้นหรือ?
เห็นมีแต่ลักษณะ กดทับความคิด ของมนุษย์ในสังคม ทำตัวเป็นคุณพ่อรู้ดี เที่ยวชี้นำว่าคนโน้นดีคนนั้นเลว ใช้ทัศนะที่อคติคับแคบในจิตใจของตน บังคับในสังคมคล้อยตามและปฎิบัติตามให้ เสร็จสนอารมณ์หมายของตน แล้วยังมีหน้ามาสอนเรื่องจริยธรรม คุณธรรม ทั้งที่ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันจะมีสักนิดก็หาไม่ ยิ่งเมื่อนายเปรมพูดถึงเรื่องประชาธิปไตยด้วยแล้วยิ่งเป็นเรื่องที่น่าตลกขบขันเป็นยิ่งนัก เพราะประชาชนเค้ามีความคิดประชาธิปไตย ที่ก้าวหน้าไปไกลกว่าเปรมยิ่งนัก
3. รัฐบุรุษ เป็นนักอภิวัฒน์สังคม หรือปฏิวัติสังคม ด้วยการเอาชีวิตทั้งหมด ไปผลักดันสังคมทั้งระบบจนสำเร็จ หรือ วางรากฐานไว้ให้ทำต่อจนสำเร็จ
- เปรมเคยอุทิศแม้กระทั่งชีวิตตนเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติตั้งแต่เมือไหร่?
หากจะว่าไปแล้วเปรมก็มีจิตสำนึกแบบไพร่ เคยหรือที่คนผู้นี้เคยอุทิศตนให้กับประชาชน นั้นทางตรงกันข้ามเปรมกับเป็นผู้ที่รักษาอิทธิพลอำนาจนอกระบบประชาธิปไตย จากการทำตัวเป็นผู้อำนวยการ บงการทางเมือง การทหาร ควบคลุมกระบวนการยุติธรรม จนกลายเป็นกระบวนการอยุติธรรม ทั้งที่ตนเป็นผู้กระทำ แต่ไม่กล้าเปิดเผยตัว ชอบแทงข้างหลัง จิตใจอํามหิต หากจะว่าไปแล้ว เป็นอุปนิสัยของพวกสาวประเภทสองที่มีปมด้อยในชีวิต และความผิดปกติทางจิตด้วยซ้ำ เป็นลักษณะที่ตรงข้ามกับสัจจะบุรุษ ซึ่งเป็นปฐมภูมิของ บุคคลที่พัฒนาตนสู่รัฐบุรุษ บ่อยครั้งที่เปรมแสดงให้เห็นถึงทัศนะที่ดูถูกการตัดสินใจของประชาชน เห็นได้จากการเข้าสู่อำนาจ โดยไม่ยอมผ่านการเลือกตั้ง หรือ ฉันทมติของประชาชนแม้แต่ครั้งเดียว แล้วใช้อำนาจบาดใหญ่ยึดอำนาจเงียบในสภา บงการยึดอำนาจอย่างโจ่งครึ่มก็ทำมาแล้ว คนเค้ารู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง แต่เค้าไม่อยากพูดเพราะเกรงกลัวอำนาจบาดใหญ่ ที่กดขี่ ข่มแหงประชาชนอยู่
4.รัฐบุรุษ ดำรงสถานะผู้นำสูงสุดทางความคิด และเป็นศูนย์รวมพลังของแนวคิดในการขับเคลื่อนสังคมทั้งระบบ
- ภารกิจอะไรที่เปรมที่ยกระดับความคิดทางสังคมที่เป็นอยู่อย่างอย่างชัดเจน?
ในความเป็นจริง ทำให้สิ่งที่ตรงข้ามกับความเจริญของสังคม ฉุดรั้งในสังคมล้าหลัง สยบยอม เป็นขี้ข้า ให้กลับอิทธิพลของระบอบการเมืองที่ล้าหลัง จนทำให้ประเทศชาติและประชาชนในสังคมตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด
5 รัฐบุรุษ ขับเคลื่อนสังคมให้ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด เป็นการยกระดับสังคมให้ดีขึ้น เพื่อประชาชน
- สร้างแนวคิดอะไรที่เป็นต้นแบบของประโยชน์ต่อสังคมได้อย่างชัดเจนให้กับคมโลกหรือแม้แต่สังคมไทยสักเรื่องหนึ่งหรือ?
สิ่งที่ เปรมมักจะให้สัมภาษณ์ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของความแค้นส่วนตัว ที่ถูกหนุนจากอิทธิพลของประโยชน์ระบอบการเมืองที่ล้าหลังซึ่งไม่เกี่ยวกับ ทุกข์-สุข ของประชาชนคนส่วนใหญ่เลยแม้แต่น้อย แต่เหมารวมเอาความเจ็บเค้นส่วนตน มาอ้างว่าเป็นความต้องการของคนทั้งประเทศ เป็นวิธีมองโลกแบบจอมเผด็จการ ที่นำเอาประเทศไปสู่หายนะเพียงเพื่อที่จะสนองกิเลสตัณหา ราคะที่มากล้นในจิตใจของตนเท่านั้นเอง
6. รัฐบุรุษ จะเป็นต้นแบบของปรัชญาที่ก้าวหน้ากว่าแบบเก่า และมีวิธีการปฏิบัติการให้สังคมอื่นนำไปศึกษา
- เปรมมีต้นแบบปรัชญาความคิดที่ก้าวหน้า ที่แบบปฏิบัติให้กับสังคมไทย เพื่อให้สังคมอื่นนำเอาไปปฏิบัติแต่ประการใดหรือ?
เห็นแต่นำเอาระบบคิดที่ล้าหลังที่ฉุดรั้งความเจริญของสังคมไทย ที่นานาอารยสังคมโลกเค้า ปฎิเสธแนวความคิดนี้กันหมดแล้ว แต่เปรมก็ยังทึกทักว่าเป็นสิ่งดีสิ่งวิเศษ ที่สังคมไทยควรจะนำไปปฏิบัติตามตน ขนาดใช้ให้ลูกน้องของตน พาคนมาหมอบกราบไว้ต่อหน้าเพียงเพื่อจะบำรุงบำเรอ ตัณหาความใคร่ในจิตใจของตนเป็นผู้วิเศษเลอเลิศก็ทำมาแล้ว
พฤติกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจในสังคมโลก สังคมที่มีการศึกษาและเจริญแล้วซึ่งระดับสติปัญญาและจิตใจ สิ่งที่เปรมคิดและต้องการจะชี้นำสังคมนั้น ดำรงอยู่ในสังคมที่ล้าหลัง สังคมที่ขาดการศึกษา ขาดการพัฒนาเท่านั้น ที่จะยอมให้กลุ่มอภิสิทธิชนเล็กๆกลุ่มหนึ่งเอาเปรียบคนส่วนใหญ่ได้เท่านั้น
7. รัฐบุรุษ จะได้รับความรักและเทิดทูนจากประชาชนอย่างแท้จริง ตรงไปตรงมา
( การพิจารณาให้ดีระมัดระวังผู้ที่พยายามกระหน่ำโฆษณาชวนเชื่อ ตนเองในสื่อสาธารณะ ให้เกินมนุษย์ธรรมดาให้เป็นเรื่องบุญญาธิการ สร้างมายาภาพ ขึ้น ในความคิดของประชาชน เป็นนักมายากลทางการเมือง ลวงตาประชาชน หลอกลวงเพื่อร่วมอำนาจให้กับกลุ่มอิทธิพล และผลประโยชน์ของวงค์วานว่านเครือของพวกตน)
- เป็นรัฐบุรุษแบบไหนที่มีแต่คนด่าทอ สาปแซ่งกันทั่วบ้านทั่วเมือง ?
รัฐบุรุษแบบไหนที่สั่งให้ลูกน้องมาทุบตีประชาชนหน้าบ้านตนเอง ขนาดหลักธรรมดาอย่างพรหมวิหาร 4 คนคนนี้ยังไม่มีเลยนับประสาอะไร กับการที่จะเทียบเคียงกับคำว่า "รัฐบุรุษ" ซึ่งเป็นผู้นำที่มีจิตวิญญาณสูงส่ง
การเคารพยกย่องของเปรมเกิดจากกลุ่มคนเล็กๆ ที่อุปโหลกกันขึ้นมาเองเท่านั้น เช่น กลุ่มทหารลูกป๋า กลุ่มนักการเมืองประชาธิปัตย์ ที่ใช้วิธีการกระตุ้นอารมณ์เรื่องภาคนิยม มาใช้ประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งเป็นอันตรายต่อการขัดแย้งในสังคมระยะยาว ซึ่งกลุ่มเหล่านี้มีจิตใจที่คับแคบ คอยจัดฉากสร้างภาพให้เปรมตลอดเวลา “
“ระบบลูกป๋า” ซึ่งครอกนำทหารส่วนหนึ่งในกองทัพ เพื่อที่จะเอารัดเอาเปรียบทหารคนอื่น ที่เจ็บปวดกับ “ระบบลูกป๋า”
โดยชอบอ้างถึง ความจงรักภักดี นำมาเชือดไก่ให้ลิงดู ทหารที่ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ ระบบ ลูกป๋าก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน เพราะจิตสำนึกที่แท้จริงของทหารนั้น ก็รักประชาชน เนื่องจากลูกเมียลูกพวกเค้า ก็สามัญชนธรรมดาเหมือนประชาชนคนทั่วไป หาได้เป็น อภิชนเหมือนพวกที่ป๋าอุปถัมภ์ค้ำชูแต่อย่างไรไม่
8.รัฐบุรุษมีจิตใจที่เป็นสากลที่เป็นที่ยอมรับจากคนทั่วโลก
- เปรมได้รับยกย่องจากบริเวณไหนของสังคมโลกหรือ? พ้นจากอ่าวไทยไป ก็หมดราคาแล้ว!
เปรม จิตใจคับแคบ โลกทัศน์คับแคบ เพียงภายในสังคมไทย เปรมยังจิตใจคับแคบ ลำเอียงข้างฝ่ายตนเองซึ่งเป็นฝ่ายข้างน้อย เปรมคุ้มครองพรรคการเมืองหนึ่ง ทำลายอีกพรรคการเมืองหนึ่ง เปรม เป็นนักเลงโตเคลียร์ปัญหาให้พรรคการเมือง เปรมเรียก กรรมการองค์กรอิสระเข้าพบ เพื่อตั้งธงตัดสินคดีความทางการเมือง
หากจะสรุปตามหลักทางวิชาการแล้ว เปรมก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจาก พวกอุตริชน พวกชอบอวดอ้างธรรมะ ที่ไม่เคยมีในตนเอง แต่เป็นผู้ที่มีความวิปริตทางจิต เบี่ยงเบนทางเพศ มีความกระสันอยากได้ใคร่ดีต่อ นามว่า “รัฐบุรุษ” ซึ่งห่างไกลจากความเป็นจริงของตนยิ่งนัก ทั้งยังขาดซึ่งหลัก พรหมวิหาร4 อันประกอบด้วย
1.ความเมตา ความปรารถนาอยากให้ผู้อื่นมีความสุข
เห็นได้ชัดว่าเปรมเป็นคนขี้อิจฉาตาร้อน ในยามที่ผู้อื่นซึ่งตนมิชอบ เพราะความอคติส่วนตนได้ดี ก็ต้องหาทางทำลายผู้นั้นด้วยวิธีทางสกปรกต่างๆนานา ขาดความเมตาธรรมอย่างเห็นได้ชัด
2.ความกรุณา ความปรารถนาอยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
เปรมเป็นคนที่ขาดซึ่งความกรุณา ไม่เห็นใจประชาชนส่วนใหญ่ที่ยากจน ตกทุกข์ได้ นอกจากไม่เคยช่วยเหลือเป็นรูปธรรมแล้ว ยังปล่อยให้ลูกน้องในอาณัติของตนเหยียบย้ำซ้ำเติม ดูถูกประชาชนว่าโง่ งงงาย บางทีเปรียบเค้าเหล่านั้นเหมือนวัว ควาย
ดูถูกปชช.ต่างนานา ทั้งๆที่ตนและลูกน้องของตนก็เสวยสุขอยู่บนภาษีของปชช. ที่ทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำให้พวกอภิสิทธิชนเหล่านั้นได้อยู่สุขสบาย มิใช่หรือ?
3.มุติตา ความยินดีที่ผู้อื่นมีความสุขในทางที่เป็นกุศล
นักการเมืองทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศ ประชาชน เปรมกับใช้ลูกสมุนในเครือข่ายของตนกลั่นแกล้งต่างๆนานา แต่พอพวกนักการเมืองที่โกงกิน คอรัปชั่น สร้างหนี้สินให้ประเทศ กับลูกหัว ยกหางบอกว่านี่คนดีที่หนึ่ง(ของป๋า) เลย
4.อุเบกขา การวางจิตเป็นกลาง ไม่เอาใจเข้าข้างหรือ ลำเอียงด้วยอคติตน
คุณธรรมข้อนี้เป็นสิ่งที่เปรม บกพร่องอย่างเห็นได้ชัดเจนที่สุด ไม่ว่าจะเป็น ลำเอียงเข้าของกลุ่มการเมือง ทหาร ที่ประจบประแจง และ สมประโยชน์กับพวกตน เรียกผู้พิพากษาเข้าพบเพื่อตั้งธงในการตัดสิน คดีความทางการเมือง ทำลายกลุ่มการเมืองตรงกันข้ามอย่างอยุติธรรม ทั้งที่ไม่ผิดก็หาความผิดมาให้อย่างน่าตลกขบขั้น ส่วนคนที่ทำผิดถ้าอยู่ฝ่ายตน หรือแปรพรรคเข้ามาอยู่ฝ่ายตน ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ มิหนำซ้ำยังสั่งการให้กระบวนการต่างๆที่เกี่ยวเร่งสะสางคดีความให้อีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอยังออกมาพูดหน้าตาเฉยว่า ตนไม่ยุ่งเกี่ยวทางการเมือง เป็นการทางเมือง ซึ่งเป็นวาทะกรรมที่สร้างความสะอิดสะเอียนให้กับประชาชนที่เห็นได้ยินได้ฟังคำพูดและการกระทำเหล่านั้นเป็นอย่างมาก
อีกทั้งไม่มีลักษณะของสัตตะบุรุษ กล้าทำแต่ไม่กล้ารับ ตอนบงการสังการทำรัฐประหารยึดอำนาจจากประชาชน เพราะความกระสันอยากได้ใคร่ดีของตน ก็ออกมาเชิดหน้าชูตาว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดี ผมได้ตอบแทนบุญคุณแผ่นดินแล้ว แต่พอผ่านไปไม่นานประเทศเกิดความเสียหาย ซึ่งเกิดจากผลการบงการทำรัฐประหารยึดอำนาจจากปชช. ที่ตนเป็นคนบงการแล้ว ก็ให้ลูกน้องออกมาปกป้องว่าตน ไม่ได้เป็นคนทำ ไม่รู้ไม่เห็น ซึ่งคนทุกฝ่ายในสังคมแม้แต่เด็กที่พอเดียงสาหน่อย ต่างรู้ดีว่าว่าการทำรัฐประหาร 19 กย. 49 เปรมเป็นผู้สั่งการใหญ่ ฉะนั้นการให้ลูกสมุนของตนออกมาปฏิเสธจึงเป็นเพียงเรื่องที่ต้องการปฏิเสธความผิดพลาดที่ตัวได้กระทำลงไป ขาดซึ่งความเป็น สัตบุรุษ ไม่มีหิริโอตตัปปะ หรือความละอายต่อบาป
ทำตัวลับๆล่อไม่กล้าเผชิญความจริง เกรงกลัวต่อคำวิจารณ์ของสังคม จากสุจริตชน ที่ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงกับตน
สำหรับเปรมแล้วนั้น “รัฐบุรุษ”ที่ได้มานั้น เป็นของปลอมๆขึ้น ภาพหลอนเป็นภาพหลอนในสมองของตน ในทางจิตวิทยาเป็นลักษณะเดียวกันกับ บุคลิกภาพของสาวประเภทสอง ที่อยากเป็นหญิง จึงเลียนแบบลีลาท่าทางผู้หญิงจน “เกินกว่า ผู้หญิงจริง” ที่กรี๊ดกร๊าดกระตู้วู้ (บางคน) จนทำให้ผู้คนรำคาญ หรือสมเพทเวทนาเมื่อเห็นเจ้าหล่อนเจ็บปวด จากทำเต้านมเทียม หรือ กระทั่งตัดอัณฑะ แต่.. ความจริงคือเค้าไม่ใช้ผู้หญิงจริง
*** หากจะสรุปตามหลักทางวิชาการ ตามหลักคุณธรรมสากล หลักประชาธิปไตยสากล และจิตวิทยา เปรมก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจาก พวกอุตริชน พวกชอบอวดอ้างธรรมะ ที่ไม่เคยมีในตนเอง แต่เป็นผู้ที่มีความวิปริตทางจิต เบี่ยงเบนทางเพศ มีความกระสันอยากได้ใคร่ดีต่อ นามว่า “รัฐบุรุษ” ซึ่งห่างไกลจากความเป็นจริงของตนยิ่งนัก ซึ่งจะใช้วิเคราะห์ระบบความคิดและระดับทางจิตใจของเปรมอย่างจริงจังแล้ว ระดับความคิดและจิตใจของเปรมยังต่ำกว่าระดับนักการเลวๆที่สุดด้วยซ้ำ ซึ่งระดับคุณภาพทางความคิด จิตใจ และพฤติกรรมของเปรมเช่นนี้ ไม่ได้สูงส่งไปกว่า นักเลงคุมซอยแต่เลย ***