โดย กาหลิบ
พรรคการเมืองใดที่ร่วมกับระบอบรัฐประหาร จะต้องถือว่าไม่ใช่มิตรของประชาธิปไตย การแสดงออกของพรรคการเมืองฝั่งประชาชนก็จะต้องชัดเจน
บังเอิญได้ดูรายการโทรทัศน์ชื่อ "จมูกมด" ทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 เมื่อเช้าวันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม ก็เลยเกิดความรู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นมาติดหมัด
รายการนี้มีผู้ดำเนินรายการสามคนที่มีความแตกต่างกันมากทั้งความรู้ ความน่ารัก และอคติ ซึ่งก็ช่างเขาเถิด
ประเด็นอยู่ที่แขกรับเชิญในวันนั้น ซึ่งมีสามคนเหมือนกัน และเป็นตัวแทนจากพรรคการเมืองสามพรรคที่กำลังชิงชัยในการเลือกตั้งครั้งนี้ คือพรรคชาติไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคพลังประชาชน
ตัวบุคคลคือคุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ คุณกรณ์ จาติกวณิช และคุณมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ตามลำดับ
ผมไม่ได้ดูตั้งแต่ต้น มาเห็นเอาตอนที่คุณวีระศักดิ์กำลังพูด และคุณกรณ์ได้รับเชิญให้พูดเป็นคนต่อมา ส่วนคุณมิ่งขวัญนั่งฟังอย่างเรียบร้อย และเป็นคนเดียวที่ไม่พิงหลัง
กำลังแสดงวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจกันเพลินไปทีเดียว
สิ่งที่น่าสังเกตไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาสาระของการพูด ซึ่งได้คุณภาพตามมาตรฐานของทั้งสามท่าน แต่กลับไปอยู่ที่อากัปกิริยาของแต่ละคนในจอช่อง 7 วันนั้น
เพราะนอกจากจะพูดอย่างเอื้อเฟื้อต่อกันในเชิงนโยบาย ในทำนองที่พรรคชาติไทยก็อ้างผลงานของพรรคพลังประชาชนในสมัยที่เป็นไทยรักไทยมาเริ่มต้นประโยค พรรคประชาธิปัตย์แท้ๆก็ยังพูดถึงพรรคพลังประชาชนอย่างน่ารักน่าเอ็นดู ผิดกับบรรยากาศที่ผ่านมาอย่างชนิดจำหน้ากันไม่ได้
ระหว่างที่คนหนึ่งพูด อีกสองคนยังพยักหน้าคล้อยตามอย่างสวยงาม เหมือนคนสามคนที่เดินทางมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน หรือกำลังจะเดินไปสู่เป้าหมายปลายทางเดียวกัน
มองเผินๆก็น่าชื่นใจดี หรือถ้าจะพูดอย่างการเมืองแล้วก็เห็นภาพแห่งความสมานฉันท์ขึ้นมาเชียว
คำถามคือภาพเหล่านี้เป็นความจริงหรือไม่
และถ้าเป็นความจริง นี่คือสิ่งที่ควรเป็นหรือไม่ในขณะนี้
ไปถามคนร้อยคนก็คงจะได้คำตอบเดียวกันว่าความสมานฉันท์เป็นของที่ดีและมีคุณค่าสูง สมควรจะส่งเสริมกันให้มาก
กิริยาอาการอย่างในวันนั้นก็น่าจะได้รับการสนับสนุนให้แสดงออกกันมากๆ เพื่อประเทศไทยจะได้หลุดออกจากวงจรแห่งความขัดแย้งเสียที
แต่นั่นคือความหวังในสถานการณ์ปรกติ
ครับ ถ้าการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ไม่ได้เริ่มต้นจากยุทธการ "ยึดเมือง" ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่มีการใช้อำนาจของตุลาการเข้ามา "แก้ปัญหา" ในฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ ไม่มีการวินิจฉัยให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ไม่เกิดการจำคุกกรรมการการเลือกตั้งทั้งสามคน จนกระทั่งเกิดการรัฐประหารและฉีกรัฐธรรมนูญฉบับของประชาชนทิ้ง
การพยักหน้ารับกันเป็นระวิงและการพูดกันอย่างเอื้อเฟื้อในรายการ "จมูกมด" ในวันนั้นจะเป็นพฤติกรรมที่สมควรและน่ายกย่องเป็นที่สุด
น่าเสียดายว่าสถานการณ์จริงมันมิได้เป็นเช่นนั้น
ก่อนจะ "สมานฉันท์" กันได้ใหม่ประเทศไทยจะต้องยอมตัวเดินผ่านกระบวนการอันเจ็บปวดและเรียนรู้จากความผิดพลาดเสียก่อน
ความผิดพลาดฉกาจฉกรรจ์ที่สุดคือการปฏิเสธโดยสิ้นเชิง และไม่ยอมรับเลยว่าประชาชนเป็นผู้ร่วมถือหุ้นในประเทศนี้ร่วมกับมหาอำมาตย์ทั้งหลายด้วย เมื่อมีความขัดแย้งกับรัฐบาลที่ผู้คนเขาเลือกตั้งขึ้นมา จึงได้ใช้วิธีการตบต่อยทุบตีและกระทืบระบอบประชาธิปไตยจนแทบจมธรณี
การรัฐประหารไม่ได้เกิดขึ้นจากผู้บัญชาการกองทัพโง่ๆหรอกครับ แต่เกิดขึ้นจากอำนาจอันล้นพ้นอย่างที่เขาเรียกกันว่า absolute power
ต้นเหตุของปัญหาอยู่ตรงไหนต้องแก้ที่ตรงนั้นก่อน ไม่ใช่เห็นผลโพลแล้วก็ตัดสินใจแสร้งลืมความหลังอันเจ็บปวดโดยไม่เยียวยาแก้ไข เล่นละครใส่กันเสียเลยง่ายกว่า
พรรคการเมืองใดที่ร่วมกับระบอบรัฐประหารจะต้องถือว่าไม่ใช่มิตรของประชาธิปไตย และการแสดงออกของพรรคการเมืองฝั่งประชาชนก็จะต้องชัดเจน
พรรคการเมืองที่เกาะกิ่งไม้สายทหารก็ไม่ควรชำเลืองแลหรือทอดสะพานมาทางประชาชนในขณะนี้ เพราะมันสายเกินไปแล้ว
ลัทธิ "ไม่เป็นไร" อย่างมักง่าย ไม่ยอมรับความจริง และไม่รับผิดชอบ ทำให้ไทยด้อยพัฒนามาหลายร้อยปีแล้วนะครับ.--จบ-
คอลัมน์: เลือกคบ ไม่เลือกข้าง...จากหนังสือพิมพ์โลกวันนี้