ที่มา ประชาทรรศน์
แม้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) โดยกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) จะพยายามปราบปรามกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดทั้งรายใหญ่ รายย่อย อย่างจริงจังมาตลอด ด้วยการออกหมายจับ 110 นักค้ายารายใหญ่ เมื่อช่วงกลางปี 2551 แต่ก็ไม่ได้ทำให้จำนวนนักค้ายาเสพติดลดลงแต่อย่างใด
ปัจจุบันกลับมีนักค้ายาเสพติดเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่า เฉพาะที่อยู่ในหมายจับจาก 110 เพิ่มขึ้นเป็น 1,000 หมาย นับเป็นตัวเลขที่น่าตกใจมากสำหรับสังคมไทย ซึ่งรัฐบาลจะต้องเข้ามาจัดการอย่างจริงจังก่อนที่ยาเสพติดจะทำลายเด็กและเยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติจนหมดสิ้น โดยนักค้ารายใหญ่ที่สำคัญ ซึ่งถูกแยกออกมามี 20 ราย แยกตามหน่วยงานได้ดังนี้
หมายจับ บช.ปส. มีหมายจับที่ 61/2545 นายสุพจน์ ปัญโญนันท์ ซึ่งมีพฤติการณ์ค้ายาเสพติดระดับสั่งการ เคลื่อนไหวในพื้นที่ภาคเหนือ โดยสั่งลูกน้องขนยาบ้า 200,000 เม็ด ซุกซ่อนในลังส้มเข้ากรุงเทพฯ
หมายจับที่ จ.1198/2546 นายอนนท์ เรือนนุช เป็นผู้ต้องหาค้ายาบ้าใน จ.นครปฐม เมื่อเดือนมกราคม 2546 ตำรวจนครบาลจับกุมเครือข่ายของนายอนนท์ได้พร้อมของกลางมากกว่า 2 ล้านเม็ด แต่เจ้าตัวยังหลบหนี
หมายจับที่ 133/2551 "แทน บางบ่อ" หรือ นายมงคล ตะบูนพงษ์ เป็นนักค้ายาตัวเอ้ ที่สั่งซื้อยาบ้ากับผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังสั่งการให้มีการขนยาบ้า 480,000 เม็ด และยาไอซ์ 2 กิโลกรัม ส่งมอบให้ลูกค้าในเขต จ.สมุทรปราการ และปริมณฑล ตำรวจ บช.ปส. จับกุมเครือข่ายได้แล้ว 3 ราย
หมายจับที่ 141/2551 นายฉัตรชัย หรือโป้ง เอี่ยมผาสุก เป็นหนึ่งในเครือข่ายของ แทน บางบ่อ พฤติการณ์ติดต่อสั่งซื้อยาเสพติดกับผู้ต้องขังในเรือนจำ
หมายจับที่ 70/2547 นายวินัย หรือ นัย เขียวสุทธิ เป็นกลุ่มนักค้ายาบ้าทางภาคเหนือ พฤติการณ์สั่งการลูกน้องนำยาบ้า 496,000 เม็ด ส่งมอบลูกค้าใน จ.นครปฐม
หมายจับที่ จ.255/2546 ร.ต.อ.ภักดี ชินติวงศ์ อดีตตำรวจ สภ.แม่ลาว จ.เชียงราย มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการค้ายาบ้า
โดยเมื่อปี 2540 ตำรวจ บช.ปส. ร่วมกันจับกุมลูกน้องของ "ผู้กองภักดี" ซึ่งเป็นตำรวจชั้นประทวนที่ลักลอบค้ายาบ้า 4 นาย พร้อมของกลาง 61,500 เม็ด ได้ที่ อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย
หมายจับที่ 888/2551 นายสาธิต ไพบูลย์อิสระกูล เป็นกลุ่มนักค้ายาเสพติดทางภาคเหนือ ลักลอบขนเฮโรอีน 104 กิโลกรัม พักไว้ที่ จ.ภูเก็ต ส่งมอบให้ลูกค้าชาวต่างชาติ เพื่อส่งออกไปยังไต้หวัน ซึ่งภายหลังตำรวจจับกุมเครือข่ายชาวไทยและชาวไต้หวันได้ แต่นายสาธิตยังหลบหนี
หมายจับที่ 887/2551 นายสุมิตร ธนาภิรมย์กุล ซึ่งเป็นกลุ่มนักค้ายาเสพติดทางภาคเหนือ เครือข่ายเดียวกับนายสาธิต รวมทั้งหมายจับที่ 886/2551 นายมานะ ชัยดี เพื่อนร่วมแก๊งที่ยังหลบหนี
หมายจับที่ 330/2547 นายนาวี อุดมรื่นรมย์สุข มีพฤติการณ์ร่วมกับพวก นำยาบ้า 480,000 เม็ด จาก จ.เชียงใหม่ ส่งให้ลูกค้าในกรุงเทพฯ
หมายจับ บช.ภ.1 มี นายธนาวุฒิ มากบุญ หรือหนุ่ม ผู้ต้องหาค้ายาบ้าตามหมายจับที่ 31/2551 มีพฤติการณ์จำหน่ายยาบ้าให้กับสายของตำรวจ ที่ สภ.ค่ายบางระจัน อ.สิงห์บุรี ซึ่งยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่ตำรวจขณะจับกุมและหลบหนีไปได้
หมายจับ บช.ภ.2 มี นายวิชิต อิ่มใจ ผู้ต้องหาค้ายาบ้าตามหมายจับที่ 277/2546 มีพฤติการณ์เป็นนักค้ายาบ้ารายสำคัญในพื้นที่ จ.ชลบุรี ซึ่งก่อนหน้านี้ตำรวจจับกุมนายต๋อง ซึ่งเป็นเครือข่ายได้พร้อมยาบ้า 10,000 เม็ด แต่นายวิชิตหลบหนีไปได้
หมายจับ บช.ภ.3 มี นายอดิศักดิ์ นามโพธิ์ หรือหัว ผู้ต้องหาตามหมายจับที่ 128/2545 ซึ่งต่อสู้ขัดขวางการจับกุม ทั้งยังทำร้ายเจ้าหน้าที่ โดยตำรวจยึดยาบ้า อาวุธปืน และเครื่องกระสุนไว้ได้ แต่นายอดิศักดิ์ยังลอยนวล
หมายจับ บช.ภ.4 มี นายอุสมาน สะอิ หมายจับที่ จ.510/2548 มีพฤติการณ์ว่าจ้างขนยาบ้า 270,000 เม็ด จาก สปป.ลาว เข้า จ.หนองคาย ซึ่งตำรวจพบหลักฐานเกี่ยวพันยาเสพติดหลายเรื่อง
หมายจับ บช.ภ.5 มี นายอุเทน ท้าวภูธร หมายจับที่ 184/2546 มีพฤติการณ์ว่าจ้างขนยาบ้า 160,000 เม็ด จาก อ.เทิง จ.เชียงราย ส่ง จ.ปทุมธานี
หมายจับ บช.ภ.6 หมายจับที่ จ.148/2549 ของ นายธนวัตน์ วศินวงศ์สว่าง หรือ เล่าป๋อ แซ่ว่าง ซึ่งก่อนหน้านี้ตำรวจตระเวนชายแดนเคยนำหมายค้นศาลจังหวัดตากเข้าตรวจค้นบ้าน พบยาบ้า 20,000 เม็ด ซุกซ่อนในไหฝังดินไว้ แต่การตรวจค้นครั้งนั้นนายธนวัตน์หลบหนีไปได้
หมายจับ บช.ภ.7 มี นายสมชาย สอาดศรี เป็นนักค้ายาบ้ารายสำคัญตามหมายจับที่ 6/2551 ถือเป็นนักค้ารายใหญ่ในพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งตำรวจเคยเข้าล่อซื้อแต่นายสมชายต่อสู่ขัดขวาง และหลบหนีไปได้
หมายจับ บช.ภ.8 มี นายพงษ์พนิช นาคพงษ์ ตามหมายจับที่ ส.106/2546 จัดเป็นนักค้าเฮโรอีนรายสำคัญใน จ.พังงา ซึ่งตำรวจเคยวางแผยจับกุม แต่นายพงษ์พนิชและลูกน้องยิงต่อสู้หลบหนีไปได้
หมายจับ บช.ภ.9 มี นายจำลอง เพชรจันทร์ ตามหมายจับที่ จ.629/2550 มีพฤติการณ์ค้ายาเสพติดใน จ.ตรัง ตำรวจเคยเข้าจับกุมยึดของกลางไว้ได้ แต่ผู้ต้องหารายนี้ต่อสู้หลบหนีไป
และหมายจับ บช.น. หมายจับที่ 304/2546 ของ นายชนาพล ศิริปรีชานันท์ ซึ่งเป็นเครือข่ายเดียวกับ นายสมโภช แสงเพ็ญอ่อน ที่ถูกจับได้พร้อมยาบ้า 1,120,000 เม็ด ก่อนหน้านี้
จากหมายจับผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ที่สำคัญๆ จะเห็นได้ว่า ปัญหายาเสพติดกำลังระบาดไปทั่วทุกภาคในประเทศไทย แต่สิ่งที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือ ปัจจุบันปัญหายาเสพติดยังแพร่ระบาดไม่เว้นแม้แต่ในวัด ซึ่งเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม
โดยเมื่อวันที่ 17 มกราคม ที่ผ่านมา พ.ต.อ.ชยานนท์ มีสติ ผกก.ศสส.ภาค 1 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศสส.ภาค 1 นำหมายศาลจังหวัดนนทบุรีเข้าตรวจค้นตามกุฏิพระวัดต้นเชือก ต.บ้านใหม่ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี หลังจากได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านว่ามีพระภิกษุบางรูปที่อาศัยจำพรรษาอยู่ในวัดต้นเชือกมั่วสุมยาบ้า
จากการตรวจค้นภายในกุฏิ 1 ชั้น 2 ห้องแรกของ พระหนู เกิดสาย อายุ 28 ปี ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย แต่จากการตรวจสอบธนบัตรฉบับละร้อยบาท พบว่าเป็นเงินที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเคยใช้ล่อซื้อยาบ้า จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นของกลาง ส่วนห้องที่สองเป็นห้องของ พระวุฒิชัย เกตุเห่ง อายุ 26 ปี และ พระอำพล บุญเขียว อายุ 25 ปี จากการตรวจค้นพบยาบ้าจำนวน 6 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ในย่ามพระ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงยึดไว้เป็นของกลาง
ส่วนที่กุฏิ 2 ชั้นล่าง ห้องของ พระวิชัย พลักเย็น อายุ 30 ปี พบยาบ้าจำนวน 1 เม็ด จึงยึดไว้เป็นของกลาง พร้อมกับนำพระทั้ง 4 รูปตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะอีกครั้ง ผลการตรวจทั้ง 4 รูป พบปัสสาวะสีม่วง จึงนำตัวไปทำการสึก ก่อนส่งดำเนินคดีที่ สภ.บางแม่นาง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี
นอกจากนี้ ผลสำรวจปัญหายาเสพติดของศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ยังตอกย้ำอีกว่า ในปัจจุบันมีจำนวนเด็กและเยาวชนติดยาเสพติดพุ่งสูงจนน่าตกใจ ขณะที่พบเด็กอายุต่ำสุดแค่ 12 ปี เสพยาด้วย แถมการร่วมมือสอดส่องดูแลแก้ปัญหาของชุมชนแทบไม่มี ยาเสพติดที่พบว่ามีการใช้มากที่สุดคือกัญชา รองลงมาเป็นยาบ้า
นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน หรือ ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง ผลวิจัยเพื่อประมาณการจำนวนผู้ใช้ยาเสพติดในยุคตอนต้นรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสถานการณ์ปัญหาของประชาชนในชุมชนเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร กรณีศึกษาประชาชนอายุ 12-65 ปี จำนวน 2,452 ครัวเรือน ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 2-17 มกราคม 2552 พบว่า
เมื่อถามถึงระดับการช่วยกันสอดส่องดูแลชุมชนส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 43.6 ระบุ มีน้อยถึงไม่มีเลย ขณะที่เมื่อถามถึงระดับการช่วยกันป้องกันและแก้ปัญหายาเสพติดในชุมชนร่วมกัน พบว่า ร้อยละ 53.6 ระบุ ช่วยกันน้อยมาก ถึงไม่ช่วยกันเลย
สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือ ผลวิจัยตามหลักสถิติประมาณการจำนวนประชาชนอายุระหว่าง 12-65 ปี ในกรุงเทพมหานคร ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายจำนวนทั้งสิ้น 4,274,757 คน พบว่า มีผู้เคยทดลองสารเสพติดที่ไม่นับรวมเหล้าและบุหรี่ จำนวนทั้งสิ้น 593,314 คน
ยาเสพติดที่พบว่ามีคนเคยใช้มากที่สุดคือ กัญชา รองลงมาคือ ยาบ้า กระท่อม ยาไอซ์ สารระเหย ยาอี ยาเลิฟ ผงขาว เฮโรอีน ฝิ่น ยาเค และโคเคน ตามลำดับ แต่เมื่อวิเคราะห์ตัวยาเสพติดที่กำลังถูกใช้อยู่ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา พบว่า ในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่มีอายุระหว่าง 12-24 ปี ยังคงเสพกัญชาอยู่จำนวน 23,981 คน ยาบ้าจำนวน 22,226 คน ยาไอซ์จำนวน 18,168 คน กระท่อมจำนวน 13,347 คน และสารระเหยจำนวน 6,795 คน
นายนพดล กล่าวว่า จากผลวิจัยครั้งนี้ยืนยันให้เห็นว่า ปัญหายาเสพติดในชุมชนกลับมารุนแรงเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต และชี้ให้เห็นว่าช่วงเวลาที่รัฐบาลสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคยทำสงครามกับยาเสพติดนั้น เป็นเพียงการหยุดชะงักชั่วคราวของกลุ่มผู้เสพเท่านั้น
ดังนั้น การค้นพบจำนวนประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ใช้ยาเสพติดครั้งนี้ จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่ท้าทายรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งแนวทางที่น่าจะเป็นไปได้คือ รัฐบาลควรประกาศให้พื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดปริมณฑลเป็นเขตภัยพิบัติด้านยาเสพติด และทำให้เรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติอีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ในการแถลงนโยบายของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เคยถูกฝ่ายค้านติติงมาแล้วว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับนโยบายการแก้ปัญหายาเสพติด ทั้งที่กำลังมีการขยายตัวอีกครั้งหลังหมดยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เคยมีการเอาจริงเอาจัง
ฉะนั้น ปัญหายาเสพติดจึงเป็นบททดสอบข้อใหญ่ที่รัฐบาล ภายใต้การนำของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะต้องพิสูจน์ให้คนไทยทั้งประเทศเห็นว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร ให้ดีและได้ผลมากกว่ายุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวหามาตลอดว่านโยบายประกาศสงครามกับยาเสพติดอย่างจริงจัง เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน...!