WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Monday, January 26, 2009

ศาสตร์แห่งพลังจิต พิชิตป่วยด้วยพลังใจ

ที่มา ไทยรัฐ

ศาสตร์แห่งพลังจิต รักษาโรค...จุดเริ่มน่าจะมีมานานเกือบ 500 ปี ก่อนคริสตกาล โสกราตีส ผู้ก่อตั้งลัทธิอุดมคติในทางปรัชญา กล่าวไว้ว่า...

การที่แพทย์จำนวนมากมายได้รับความสำเร็จในการรักษาน้อยมากนั้น มีสาเหตุเนื่องจากพวกเขาลืมไปว่า มนุษย์ไม่ได้มีแต่ร่างกายเท่านั้น แต่ยังมีจิตวิญญาณที่พวกเขารู้จักน้อยมากเหลือเกินด้วย...

องค์การอนามัยโลก (WHO) ให้คำจำกัดความสุขภาพว่า สภาพของความเป็นอยู่ที่ดีทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสังคม

สถานภาพที่ว่านี้...จะเกิดขึ้นได้ด้วยการอธิษฐาน คือ การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างร่างกาย วิญญาณ และจิตใจให้เกิดขึ้น

เพื่อที่มนุษย์จะได้พบตัวเอง พร้อมกับความกลมกลืนภายใน และสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันอีกครั้ง

พลังจิตรักษาโรคอาจดูเหมือนเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เกินจริง แต่...อเล็กซานเดอร์ ทอสคาร์ เจ้าของหนังสือ พลังจิตรักษาโรคสำนักพิมพ์ ดีเอ็มจี บอกว่า การตั้งจิตอธิษฐานในสิ่งที่มีอยู่ทั้งหมดอย่างสอดคล้องกัน จะทำให้บังเกิดแสงสว่างได้

นัยความหมายของแสงสว่าง เริ่มจากแสงสว่างทางใจ

มนุษย์มีอะไรมากกว่าที่เราจับต้องได้หรือมองเห็นได้ วิทยาศาสตร์ การแพทย์ปัจจุบัน ครอบคลุมได้ไกลที่สุดได้แค่ร่างกายเท่านั้น...

เมื่อความเจ็บปวดทรมานทางภายนอกถูกบำบัดไปได้ อาการของโรคก็บำบัดได้ แต่จริงๆแล้วสาเหตุของโรคยังคงอยู่ และกลับมาเป็นอีกเรื่อยๆ

ยารักษาโรคได้โดยตรง จิตจะรักษาได้โดยอ้อม

อเล็กซานเดอร์ บอกว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาที่จะต้องมาเถียงกันว่าโรคทางจิตสามารถเกิดขึ้นได้และรักษาให้หายได้...จิตสร้างองค์ประกอบทางเคมีที่บำบัดโรคได้

ยามีผลขั้นแรกกับร่างกาย แล้วขั้นที่สองกับจิตวิญญาณ ขณะที่การแผ่พลังศักดิ์สิทธิ์มีผลกับจิตวิญญาณก่อน แล้วจึงผ่านมาที่ร่างกาย

เป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุขภาพจะถูกเรียกว่า...สิ่งที่ดีที่สุด

เพ็ชรากรณ์ วัชรพล เลขานุการบริหาร กองบรรณาธิการ นสพ.ไทยรัฐ ผู้มีประสบการณ์ใกล้ชิด ลูกชายกับลูกสาวเคยทดลองรับการบำบัดด้วยพลังจิต จากอเล็กซานเดอร์ ทอสคาร์

เพ็ชรากรณ์ บอกว่า ศาสตร์ของพลังจิตรักษาโรค อเล็กซานเดอร์ พูดว่า คนเราจะมีจิตวิญญาณอยู่ข้างในลึกๆ แล้วจิตก็สามารถรับแสงอาทิตย์เป็นพลังแห่งการมีชีวิต

เปรียบได้กับพืช ต้องได้รับแสงอาทิตย์เพื่อการเจริญเติบโต สรรพสัตว์ก็เช่นกัน ต้องพึ่งพาแสงอาทิตย์ เข้ามามีส่วนช่วยจัดระบบในร่างกาย

อเล็กซานเดอร์มีจุดเน้นไปที่แกนหลักของร่างกาย ก็หมายถึง...กระดูกสันหลัง

ตั้งแต่คอ ต้นไหล่ ไล่ลงมาถึงสะบักเอว ถ้าแกนลำตัวไม่คด โก่ง งอ ก็จะทำให้ส่วนอื่นๆของร่างกายดี เลือดลมไหลเวียนดี

ความไม่เท่ากันของความยาวขา เป็นอีกส่วนที่สำคัญ ถ้าแกนหลังตรงแล้ว ก็จะทำให้ขาเท่ากัน ไม่คด...ไม่โก่ง

บางคนขาไม่เท่ากัน สะโพกเอียง เดินโยกไปเยกมาไม่สมดุล มีผลจากแกนกลางของร่างกายมีปัญหา

อเล็กซานเดอร์ให้ข้อมูลกับผู้ที่เข้ารับการบำบัดว่า...การนั่งสมาธิ การคิดดี ทำดี การมีเมตตา มีความรักให้กับผู้อื่น เราจะได้รับสิ่งดีๆกลับมาในร่างกาย

สิ่งดีๆที่ว่านี้จะเป็นพลังในตัวเอง ใช้รักษาตัวเองได้

การที่เรามีใจดี ก็จะทำให้สิ่งรอบๆตัวเราดีไปด้วย

หลักของพลังจิตรักษาโรค อยู่ที่ตัวเรา สามารถทำให้เราแข็งแรงได้ แต่ที่เราเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นเพราะเราไม่รู้วิธีการกระตุ้น โดยอเล็กซานเดอร์ จะเป็นคนที่มากระตุ้นพลังนี้

เขาว่า...เขาจะส่งพลังจิตตัวที่เขามีอยู่ จิตที่มีความกล้าแข็งมากกว่าเรา

พลังจิตนี้เกิดจากการประพฤติปฏิบัติอยู่ในหลักที่กำหนด ด้วยการคิดดี ทำดี นั่งสมาธิ กินอาหารที่เหมาะสม ผนวกกับการช่วยรักษาคน ก็ทำให้บุญกุศลกลับมาให้เขามีพลังมากขึ้น...

อเล็กซานเดอร์บอกอีกว่า พลังที่เขาส่งให้นี้ ใครจะได้รับมาก...รับน้อย ขึ้นอยู่กับพลังของเราที่มีอยู่ในตัว และที่เรารับได้

เรื่องอย่างนี้...ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้? แต่สำหรับเพ็ชรากรณ์ เห็นด้วยกับหลักที่ว่า พลังจิตของตัวเราจะทำให้ร่างกายเราแข็งแรงได้

เคยเห็นไหมว่า ถ้าเผื่อเราบอกตัวเราว่าไม่เจ็บ เราก็จะไม่รู้สึกเจ็บ เหมือนกับเวลาเราสอนลูก เวลาเล่นซนไปเจ็บมา

ไม่เป็นไรหรอก...โอมเพี้ยง! หายแล้ว...เด็กก็หาย หยุดร้องไห้

นั่นเป็นเพราะว่าเด็กมีจิตที่บริสุทธิ์ ยังไม่รู้ประสาอะไรมากนัก ถ้าอายุมากแล้ว เรียนรู้อะไรมามากๆ ใครจะบอกให้เชื่ออะไรก็เชื่อยาก

คำสอนของโสกราตีสเกี่ยวกับศิลปะการคิดและการกระทำที่ถูกต้อง คือการรู้จักตนเอง “....เพราะคนที่รู้ว่าตนเองคือใคร รู้ว่าเขาควรจะทำอย่างไร และสามารถเพียงไหน ก็จะพบกับความหมายของชีวิตผ่านทางความคิดและการกระทำที่ถูกต้อง

ชีวิตของคนที่บำเพ็ญธรรมทางจิต จะเคารพบูชาคำพูด ความคิด การกระทำทุกอย่าง นำชีวิตไปสู่ความสำเร็จในสิ่งที่ตั้งใจ ใครก็ตามที่ทำในสิ่งตรงกันข้าม...ก็จะพบกับความกังวล ความกลัว ความไม่สงบ

เมื่อการกระทำที่ถูกต้องอาศัยอยู่ในหัวใจ...ก็จะปรากฏซึ่งความงามในบุคลิก เมื่อมีความงามในบุคลิก...ก็จะมีความกลมกลืนในบ้าน

เมื่อมีความกลมกลืนในบ้าน...ก็จะมีระเบียบในชาติ เมื่อมีระเบียบในชาติ สันติสุขในโลกก็จะบังเกิดขึ้น...

พลังจิตรักษาโรค คือ การเปลี่ยนแปลงทางจิต ที่ทำให้จิตของแต่ ละคนอิ่มเอิบ สิ่งสำคัญ คือ วิถีชีวิต ความคิด ความรู้สึกที่ถูกต้อง

มนุษย์เป็นผู้กำหนดเส้นทางของการรักษาเสมอ...หากยึดโรคไว้แน่น เพราะสงสัยว่าจะหายจากมันได้หรือไม่ ด้วยเชื่อว่าจะสูญเสียบางอย่างเพราะการรักษา เขาก็จะเลือก...เอาโรคเป็นหนทางใหม่อีก แล้วก็เปิดทางให้กับโรค

เข้าใจง่ายๆ เมื่อคนไข้ไม่ได้คิดว่าต้องการรับการรักษาให้หาย ไม่ได้ต้องการได้รับการดูแลด้วยความรัก หรือคนไข้ไม่เชื่อในยารักษาโรคแล้ว...โรคนั้นก็ยังไม่หายไปไหน

สำหรับพลังที่อเล็กซานเดอร์ ทอสคาร์ บอกว่าเขามีอยู่ พูดกันตามตรง เพ็ชรากรณ์ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่...พิสูจน์ไม่ได้ แต่ถ้ามองในแง่ความรู้สึก การที่เขาอธิบายในสิ่งที่ว่า คุณต้องคิดดี ทำดี แล้วก็กระตุ้นด้วยพลังที่ว่านี้

หากเรามีความเชื่อมั่น ก็ทำให้เราคิดดี ทำดี แล้วสิ่งดีๆ ก็จะเกิดขึ้นกับตัวเรา

เพ็ชรากรณ์ บอกอีกว่า พลังบางอย่างที่อยู่ในตัวมนุษย์ อาจไม่เรียกว่าพลัง อย่างบางคนอาจมีความรู้สึกว่าสังหรณ์อะไร แล้วก็เป็นเช่นนั้น

ประสบการณ์สังหรณ์เกิดขึ้นกับตัวเองหลายครั้ง ถือว่าเป็นคนที่สังหรณ์ แม่นทีเดียว หากใช้หลักคิดในทำนองเดียวกัน ก็อาจเป็นกรรมดีของเราที่มี

และเป็นไปได้ว่า ความสังหรณ์ที่เกิดขึ้นมาจากความระแวง ผนวกกับความกลัว ความระวังตัว สังหรณ์แล้วก็ไม่อยากทำ เดี๋ยว...จะโดนด่า

พลังหรือความรู้สึกอย่างนี้ คนละเรื่องกับการนั่งหลับตาแล้วเกิดนิมิต เห็นเหตุการณ์อดีต...ปัจจุบัน...อนาคต

แต่ก็อีกนั่นแหละ ทุกวันนี้...เรื่องเหลือเชื่อ เรื่องลี้ลับ เรื่องที่หลักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ ก็มีให้เห็นกันมากมาย ขณะที่คนจำนวนไม่น้อยบอกว่าไม่เชื่อ แต่ก็ยังมีคนอีกมากมายเชื่ออย่างงมงาย

ไม่อย่างนั้น...เมืองไทยคงไม่มีหมอดู...ไม่มีคนทรงเจ้า เข้าทรง”.