ที่มา เดลินิวส์
ที่ว่า “อากาศ” ในเดือนมีนาคมต่อไปจนถึงเดือนเมษายนว่า “ร้อน” แล้ว ดูท่า “อุณหภูมิการเมือง” น่าที่จะ “ร้อนกว่า” เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะพรรคเพื่อไทยแสดงความชัดเจนในการ “ถอดถอน” และ “อภิปรายไม่ไว้วางใจ” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พ่วงกับ “5 รัฐมนตรี” อย่าง นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง นายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย และนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย
ตามคำร้องที่ยื่นต่อ นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ระบุว่า นายกรณ์ โดนข้อหา ปฏิบัติหน้าที่ทุจริตเอื้อประโยชน์กรณีส่งข้อความสั้น หรือ เอสเอ็มเอส เมื่อครั้งนายอภิสิทธิ์เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายประดิษฐ์โดนข้อหาปกปิดเงินบริจาคพรรคการเมืองนั่งเก้าอี้เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี พ.ศ. 2548 นายกษิต โดนข้อหาเกี่ยวข้องกับการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่กรณีพรมแดนไทยกับกัมพูชา นายชวรัตน์ กรณีแต่งตั้งโยกย้ายปลัดกระทรวงมหาดไทย กรณีหาสมาชิกพรรคระหว่างตรวจราช การที่ จ.อุดรธานี และนายบุญจง กรณีแทรกแซงงบประมาณของกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ถูก “ถอดถอน” ใน 7 ประเด็น
ประเมินกันว่า ประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่น่าจะ “ล้ม” รัฐบาลได้ในสภา แต่ “ผลพวง” หลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่พรรคเพื่อไทย “เปิดแผล” ไว้ในครั้งนี้จะถูก “ขยายผล” เพื่อลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาลผ่านการเคลื่อนไหวนอกสภาแทน
ขอแค่ให้เกิด “รอยร้าว” ยิ่ง “ร้าวลึก” เพียงใดก็ยิ่งสัมฤทธิ ผลตามที่พรรคเพื่อไทยต้องการเท่านั้น
กรณี “เงินบริจาคพรรคการเมือง” จะกลายเป็น “เกาเหลา”ระหว่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีกับนายประดิษฐ์ “ชามใหม่” หรือจะกลายเป็น “เกาเหลา” ของ 2 สายในพรรคประชาธิปัตย์ อย่างสาย “ทศวรรษใหม่” กับสาย “ผลัดใบ” หรือไม่ ขณะที่ กรณีพรรคภูมิใจไทยที่ผ่านนายชวรัตน์ผ่านนายบุญจง จะนำไปสู่ความไม่ไว้วางใจ ระหว่างฝ่ายการเมืองกับฝ่ายข้าราชการประจำหรือไม่
เป็น “ศึกนอก” ครั้งแรกของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ หลังเข้ามา บริหารราชการแผ่นดินครบ 3 เดือน
ขณะที่ “ศึกใน” ซึ่งกำลังจะกลายเป็นปัญหาลุกลามคือ “อาการไม่ลงรอย” ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทย ใน 2 กรณี กรณีแรกคือ ท่าทีที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการย้ายสายการบินไทยที่สนามบินดอนเมืองไปสนามบินสุวรรณภูมิ โดยฝ่ายหนึ่งคือนายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ยืนยันว่าจะต้องย้ายไปภายในวันที่ 29 มี.ค.นี้ ขณะที่อีกฝ่ายคือ นายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่าควรจะใช้เวลาพิจารณาเรื่องนี้ประมาณ 2 สัปดาห์เพื่อให้เกิดความรอบคอบ ท่ามกลางข้อครหาเรื่อง “ผลประโยชน์” จำนวนมหาศาลที่เข้ามาเกี่ยวข้อง
ขณะที่อีกเรื่อง คือกรณี รถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน วงเงินประมาณ 60,000 ล้านบาท วันนี้ “สุ้มเสียง” ของทั้ง 2 พรรคก็ดูจะไม่ “ลงรอย” กัน เพราะฝ่ายหนึ่งตั้ง “สเปก” ไว้ว่า ต้องนำเข้ารถจากประเทศจีนเท่านั้น ขณะที่นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กลับระบุว่า ควรจะต้องใช้รถเมล์ที่ประกอบขึ้นในประเทศไทย
ความไม่ราบรื่นดังกล่าวถือว่า เป็นครั้งแรก ที่พรรคแกนนำ อย่างพรรคประชาธิปัตย์ “ตั้งป้อม” กับพรรคเสียงอันดับ 2 อย่างพรรคภูมิใจไทย อย่างเปิดเผย มีข่าวว่า หลายเรื่องและหลายครั้ง หลายฝ่ายใน รัฐบาลแม้กระทั่ง ส.ส.ในพรรคประชาธิปัตย์ เริ่มออกอาการ “ไม่พอใจ” พรรคภูมิใจไทย
กรณียก “เก้าอี้” กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงพาณิชย์ ให้พรรคภูมิใจไทยนั่นก็ใช่ แต่ความไม่พอใจทั้งหมดถูกนายสุเทพ ในฐานะ “ผู้จัดการรัฐบาล” ให้เหตุผลว่า “ถ้าไม่มีเขา เราก็ไม่ได้เป็นรัฐบาล”
นับแต่นั้นก็เริ่มมีการมองว่า นายสุเทพกำลังทำอะไร “บาง อย่าง” กับพรรคภูมิใจไทยที่มีนายเนวิน ชิดชอบ อดีต 111 กรรมการ บริหารพรรคไทยรักไทย ผู้กล้าหัก “นายใหญ่” อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือไม่
วันนี้ทั้งนายสุเทพ และนายเนวิน เหมือนกันอยู่ 1 อย่าง คือ ไม่สามารถจับมือกับพรรคเพื่อไทยได้อีกต่อไป พรรคประชาธิปัตย์ “เติบโต” ได้ทุกภาคเว้นที่ภาคอีสาน ขณะที่พรรคภูมิใจไทย มีเป้าหมายจะ “เติบใหญ่” ในภาคอีสาน
ว่ากันว่าทั้ง 2 คน “ปูทาง” เพื่อหวังจะเป็นรัฐบาล 2 พรรคในการเลือกตั้งครั้งต่อไป จริงหรือไม่จริงยังไม่รู้ แต่มี “สัญญาณ” ที่บ่งบอก ว่า ทั้ง 2 พรรคกำลัง “เดินเกมรุก” สลายฐานมวลชนของกลุ่ม “คนเสื้อแดง” การแต่งตั้งโยกย้ายอธิบดีและผู้ว่าราชการจังหวัด 28 ตำแหน่ง ในการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา นั่นก็ถือว่า “ชัดเจน” ระดับหนึ่ง
ในอดีตที่ผ่านมา รัฐบาลไม่ได้ “ล้ม” เพราะฝ่ายค้าน แต่ล้มเพราะรัฐบาลด้วยกันเอง และเหตุที่ล้มก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง อย่างที่เขาว่ากัน “ผลประโยชน์ขัดกันเมื่อไร ก็บรรลัยเมื่อนั้น” เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อาจจะได้เห็นการ “ต่อรอง” ในเรื่องโครงการ กับคะแนนเสียงในการยกมือสนับสนุน “ไว้วางใจ” รัฐบาลก็เป็นได้
“เรื่องพรรค์อย่างนี้” ในฐานะ “ผู้จัดการรัฐบาล” อย่างนาย สุเทพ มีหรือที่จะไม่รู้ แต่ปัญหาคือ เมื่อรู้แล้วจะแก้ไขปัญหาที่ว่านั้นอย่างไร อย่าลืมว่า พรรคประชาธิปัตย์ มาเป็นรัฐบาลท่ามกลางความคาดหวังว่าจะเข้ามากอบกู้เศรษฐกิจ เป็นรัฐบาล “มือสะอาด” ปราศจากผลประโยชน์ทับซ้อน ผลประโยชน์การเมือง
แต่ที่ไหนได้ 3 เดือนกำลังจะ “ผ่านไป” กระแสข่าว “สะสมเสบียงกรัง” เริ่มปรากฏเป็นข่าวออกมาเป็นระยะๆ ในภาพของนายอภิสิทธิ์ ไม่มีใครกังขาถึงความเป็นนักการเมือง “มือสะอาด” แต่หลายคนตั้งข้อสังเกตไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า นายอภิสิทธิ์จะกล้า “จัดการ” กับพวกที่เข้ามาหาประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่
นายกรัฐมนตรี “ซื่อสัตย์” นั้นไม่พอ แต่ต้องกำกับดูแลให้คณะรัฐมนตรี “ซื่อสัตย์” ไปด้วย
ยังไม่รวม “ความเคลื่อนไหว” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ “โฟนอิน” โจมตีรัฐบาลอย่างถี่ยิบ หรือแม้กระทั่งความไม่พอใจ จากแนวร่วมอย่าง กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่กล่าวหาว่า พรรคประชาธิปัตย์เล่นการเมืองแบบ “ลืมบุญคุณ”
เมื่อ “ศึกนอก” ก็ต้องรับมือ ขณะที่ “ศึกใน” ก็เริ่มลุกลาม จึงเป็นเรื่องที่แกนนำอย่างพรรคประชาธิปัตย์โดยเฉพาะ “ผู้จัดการรัฐบาล” อย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะ “ประมาทมิได้”
แต่เชื่อเถิดว่าบน “ความไม่พร้อม” อย่างไรเสีย รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ก็คงต้อง “ประคับประคอง-ต่อรอง” ต่อไป รอให้เงิน 2,000 บาท ค่าตอบแทนอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) 600 บาท เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 500 บาท ชุดนักเรียน-อุปกรณ์การศึกษา “ฟรี” ผลิดอกออกผลเมื่อไร เมื่อนั้นถึง “ค่อยว่ากันใหม่”.
ตามคำร้องที่ยื่นต่อ นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ระบุว่า นายกรณ์ โดนข้อหา ปฏิบัติหน้าที่ทุจริตเอื้อประโยชน์กรณีส่งข้อความสั้น หรือ เอสเอ็มเอส เมื่อครั้งนายอภิสิทธิ์เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายประดิษฐ์โดนข้อหาปกปิดเงินบริจาคพรรคการเมืองนั่งเก้าอี้เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี พ.ศ. 2548 นายกษิต โดนข้อหาเกี่ยวข้องกับการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่กรณีพรมแดนไทยกับกัมพูชา นายชวรัตน์ กรณีแต่งตั้งโยกย้ายปลัดกระทรวงมหาดไทย กรณีหาสมาชิกพรรคระหว่างตรวจราช การที่ จ.อุดรธานี และนายบุญจง กรณีแทรกแซงงบประมาณของกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ถูก “ถอดถอน” ใน 7 ประเด็น
ประเมินกันว่า ประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่น่าจะ “ล้ม” รัฐบาลได้ในสภา แต่ “ผลพวง” หลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่พรรคเพื่อไทย “เปิดแผล” ไว้ในครั้งนี้จะถูก “ขยายผล” เพื่อลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาลผ่านการเคลื่อนไหวนอกสภาแทน
ขอแค่ให้เกิด “รอยร้าว” ยิ่ง “ร้าวลึก” เพียงใดก็ยิ่งสัมฤทธิ ผลตามที่พรรคเพื่อไทยต้องการเท่านั้น
กรณี “เงินบริจาคพรรคการเมือง” จะกลายเป็น “เกาเหลา”ระหว่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีกับนายประดิษฐ์ “ชามใหม่” หรือจะกลายเป็น “เกาเหลา” ของ 2 สายในพรรคประชาธิปัตย์ อย่างสาย “ทศวรรษใหม่” กับสาย “ผลัดใบ” หรือไม่ ขณะที่ กรณีพรรคภูมิใจไทยที่ผ่านนายชวรัตน์ผ่านนายบุญจง จะนำไปสู่ความไม่ไว้วางใจ ระหว่างฝ่ายการเมืองกับฝ่ายข้าราชการประจำหรือไม่
เป็น “ศึกนอก” ครั้งแรกของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ หลังเข้ามา บริหารราชการแผ่นดินครบ 3 เดือน
ขณะที่ “ศึกใน” ซึ่งกำลังจะกลายเป็นปัญหาลุกลามคือ “อาการไม่ลงรอย” ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทย ใน 2 กรณี กรณีแรกคือ ท่าทีที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการย้ายสายการบินไทยที่สนามบินดอนเมืองไปสนามบินสุวรรณภูมิ โดยฝ่ายหนึ่งคือนายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ยืนยันว่าจะต้องย้ายไปภายในวันที่ 29 มี.ค.นี้ ขณะที่อีกฝ่ายคือ นายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่าควรจะใช้เวลาพิจารณาเรื่องนี้ประมาณ 2 สัปดาห์เพื่อให้เกิดความรอบคอบ ท่ามกลางข้อครหาเรื่อง “ผลประโยชน์” จำนวนมหาศาลที่เข้ามาเกี่ยวข้อง
ขณะที่อีกเรื่อง คือกรณี รถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน วงเงินประมาณ 60,000 ล้านบาท วันนี้ “สุ้มเสียง” ของทั้ง 2 พรรคก็ดูจะไม่ “ลงรอย” กัน เพราะฝ่ายหนึ่งตั้ง “สเปก” ไว้ว่า ต้องนำเข้ารถจากประเทศจีนเท่านั้น ขณะที่นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กลับระบุว่า ควรจะต้องใช้รถเมล์ที่ประกอบขึ้นในประเทศไทย
ความไม่ราบรื่นดังกล่าวถือว่า เป็นครั้งแรก ที่พรรคแกนนำ อย่างพรรคประชาธิปัตย์ “ตั้งป้อม” กับพรรคเสียงอันดับ 2 อย่างพรรคภูมิใจไทย อย่างเปิดเผย มีข่าวว่า หลายเรื่องและหลายครั้ง หลายฝ่ายใน รัฐบาลแม้กระทั่ง ส.ส.ในพรรคประชาธิปัตย์ เริ่มออกอาการ “ไม่พอใจ” พรรคภูมิใจไทย
กรณียก “เก้าอี้” กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงพาณิชย์ ให้พรรคภูมิใจไทยนั่นก็ใช่ แต่ความไม่พอใจทั้งหมดถูกนายสุเทพ ในฐานะ “ผู้จัดการรัฐบาล” ให้เหตุผลว่า “ถ้าไม่มีเขา เราก็ไม่ได้เป็นรัฐบาล”
นับแต่นั้นก็เริ่มมีการมองว่า นายสุเทพกำลังทำอะไร “บาง อย่าง” กับพรรคภูมิใจไทยที่มีนายเนวิน ชิดชอบ อดีต 111 กรรมการ บริหารพรรคไทยรักไทย ผู้กล้าหัก “นายใหญ่” อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือไม่
วันนี้ทั้งนายสุเทพ และนายเนวิน เหมือนกันอยู่ 1 อย่าง คือ ไม่สามารถจับมือกับพรรคเพื่อไทยได้อีกต่อไป พรรคประชาธิปัตย์ “เติบโต” ได้ทุกภาคเว้นที่ภาคอีสาน ขณะที่พรรคภูมิใจไทย มีเป้าหมายจะ “เติบใหญ่” ในภาคอีสาน
ว่ากันว่าทั้ง 2 คน “ปูทาง” เพื่อหวังจะเป็นรัฐบาล 2 พรรคในการเลือกตั้งครั้งต่อไป จริงหรือไม่จริงยังไม่รู้ แต่มี “สัญญาณ” ที่บ่งบอก ว่า ทั้ง 2 พรรคกำลัง “เดินเกมรุก” สลายฐานมวลชนของกลุ่ม “คนเสื้อแดง” การแต่งตั้งโยกย้ายอธิบดีและผู้ว่าราชการจังหวัด 28 ตำแหน่ง ในการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา นั่นก็ถือว่า “ชัดเจน” ระดับหนึ่ง
ในอดีตที่ผ่านมา รัฐบาลไม่ได้ “ล้ม” เพราะฝ่ายค้าน แต่ล้มเพราะรัฐบาลด้วยกันเอง และเหตุที่ล้มก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง อย่างที่เขาว่ากัน “ผลประโยชน์ขัดกันเมื่อไร ก็บรรลัยเมื่อนั้น” เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อาจจะได้เห็นการ “ต่อรอง” ในเรื่องโครงการ กับคะแนนเสียงในการยกมือสนับสนุน “ไว้วางใจ” รัฐบาลก็เป็นได้
“เรื่องพรรค์อย่างนี้” ในฐานะ “ผู้จัดการรัฐบาล” อย่างนาย สุเทพ มีหรือที่จะไม่รู้ แต่ปัญหาคือ เมื่อรู้แล้วจะแก้ไขปัญหาที่ว่านั้นอย่างไร อย่าลืมว่า พรรคประชาธิปัตย์ มาเป็นรัฐบาลท่ามกลางความคาดหวังว่าจะเข้ามากอบกู้เศรษฐกิจ เป็นรัฐบาล “มือสะอาด” ปราศจากผลประโยชน์ทับซ้อน ผลประโยชน์การเมือง
แต่ที่ไหนได้ 3 เดือนกำลังจะ “ผ่านไป” กระแสข่าว “สะสมเสบียงกรัง” เริ่มปรากฏเป็นข่าวออกมาเป็นระยะๆ ในภาพของนายอภิสิทธิ์ ไม่มีใครกังขาถึงความเป็นนักการเมือง “มือสะอาด” แต่หลายคนตั้งข้อสังเกตไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า นายอภิสิทธิ์จะกล้า “จัดการ” กับพวกที่เข้ามาหาประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่
นายกรัฐมนตรี “ซื่อสัตย์” นั้นไม่พอ แต่ต้องกำกับดูแลให้คณะรัฐมนตรี “ซื่อสัตย์” ไปด้วย
ยังไม่รวม “ความเคลื่อนไหว” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ “โฟนอิน” โจมตีรัฐบาลอย่างถี่ยิบ หรือแม้กระทั่งความไม่พอใจ จากแนวร่วมอย่าง กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่กล่าวหาว่า พรรคประชาธิปัตย์เล่นการเมืองแบบ “ลืมบุญคุณ”
เมื่อ “ศึกนอก” ก็ต้องรับมือ ขณะที่ “ศึกใน” ก็เริ่มลุกลาม จึงเป็นเรื่องที่แกนนำอย่างพรรคประชาธิปัตย์โดยเฉพาะ “ผู้จัดการรัฐบาล” อย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะ “ประมาทมิได้”
แต่เชื่อเถิดว่าบน “ความไม่พร้อม” อย่างไรเสีย รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ก็คงต้อง “ประคับประคอง-ต่อรอง” ต่อไป รอให้เงิน 2,000 บาท ค่าตอบแทนอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) 600 บาท เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 500 บาท ชุดนักเรียน-อุปกรณ์การศึกษา “ฟรี” ผลิดอกออกผลเมื่อไร เมื่อนั้นถึง “ค่อยว่ากันใหม่”.