ที่มา ไทยรัฐ
“เฉลิม” โชว์ชำแหละ “อภิสิทธิ์”
วันที่ 19 มี.ค.เวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดพิเศษเพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยมีนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ท่ามกลางคณะรัฐมนตรีที่มานั่งรับฟังการประชุมกันอย่างคึกคัก ซึ่งการประชุมเริ่มขึ้นเมื่อนายชัยได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ได้อนุญาตให้มีการถ่ายทอดสดการประชุมทั้งทางวิทยุกระสายเสียงและทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีตลอดการประชุม จากนั้น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน ในฐานะประธาน ส.ส. ของพรรคเพื่อไทย ได้เริ่มอภิปรายเป็นคนแรกโดยได้แสดงชาร์ตที่มาที่ไปของเส้นทางเงินที่นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานกรรมการบริษัททีพีไอโพลีน จำกัด นำเงินจากตลาดหลักทรัพย์จำนวน 263 ล้านบาท จ่ายให้กับกลุ่มคนในพรรคประชาธิปัตย์ ผ่านบริษัทเมซไซอะ ซึ่งเป็นบริษัทรับทำธุรกิจโฆษณาที่ไม่มีโรงพิมพ์ โรงงาน ตั้งอยู่ บ้านเลขที่ 108/12 หมู่ 11 กิโลเมตร 7 อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ด้วยทุนจดทะเบียนเพียง 1 ล้านบาทเศษ รวมทั้งนำสำเนาเช็คการจ่ายเงินให้กับบุคคลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และบุคคลในพรรคประชาธิปัตย์มาแสดงอย่างละเอียด
แจงยิบเส้นทางโอนเงินทีพีไอถึง ปชป.
ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า การอภิปรายครั้งนี้ตนติดลบมาตั้งแต่ต้น แต่ถ้าสิ่งที่พูดเป็นความเท็จขอให้ตนฉิบหาย ในทางตรงข้ามถ้าข้อมูลที่ตนพูดเป็นความจริงขอให้คนที่กระทำการเท็จฉิบหายด้วยเช่นกัน โดยขอกล่าวหานายกรัฐมนตรีว่า 1. นายกรัฐมนตรีได้แจ้งบัญชีงบดุล ประจำปี ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2547 และ 31 ธ.ค. 2548 อันเป็นเท็จ มีการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระถึงสองครั้ง โดยในปี 2547 บริษัททีพีไอโพลีน จำกัดซึ่งจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ได้จ่ายเงินสนับสนุนให้กับพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานกรรมการฯ เซ็นชื่อลงนามจ่ายเช็คเพียงคนเดียว โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากกรรมการบริษัท ถือเป็นการนำเงินของประชาชนผู้ถือหุ้นมาจ่ายให้กับพรรคและกลุ่มคนของพรรคประชาธิปัตย์ มิใช่เอาเงินของบริษัททีพีไอโพลีน มาจ่าย จากหลักฐานที่พบว่ามีการจ่ายเช็คจำนวน 27 ฉบับ ผ่านเข้าธนาคารต่างๆรวม 75 ครั้ง ภายในเวลา 84 วันโอนเข้าบัญชีบริษัทเมซไซอะจากนั้นก็แยกย่อยกระจายเช็คไปยังบุคคลต่างๆ 4 กลุ่มด้วยกันคือ 1. เข้าบัญชีนายประจวบ สังข์ขาว กรรมการบริษัทเมซไซอะซึ่งเป็นบริษัทรับใช้คนของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเคยมีกรรมการบริษัทชื่อ น.ส.สุพัชรี ธรรมเพชร ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ และนายไทกร พลสุวรรณ รวม 21,269,300 บาท 2. เข้าบัญชีกลุ่มคนใกล้ชิดนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้น จำนวนรวม 33,728,000 บาท 3. เข้าบัญชีกลุ่มของนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้น 13,600,000 บาท และ 4. เข้าบัญชีนายประพร เอกอุรุ ส.ส. สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ รวม 43,409,740 บาท ส่วนเส้นทางของเงินที่เหลือตนไม่สามารถหาหลักฐานได้ เนื่องจากมีคนในรัฐบาลไปสั่งให้เจ้าหน้าที่ระงับการให้เอกสารเหล่านั้น
นิติกรรมอำพรางใช้คนใกล้ชิดรับเงิน
ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวอีกว่า การโอนเงินดังกล่าวจากนายประชัย เป็นช่วงเวลาเดียวกับช่วงใกล้เลือกตั้งพอดี ที่สำคัญเมื่อคืนวันที่ 18 มี.ค. ที่ผ่านมา มีฝ่ายรัฐบาลไปบังคับข้าราชการเพื่อไปขอคำให้การในคดีดังกล่าว จึงอยากถามว่า หากแน่จริงจะกลัวอะไร ไหนว่าไม่เคยโกงแล้วเมื่อคืนไปบีบเอาเอกสารจากข้าราชการทำไม ถือว่าเป็นการทำนิติกรรมอำพรางผ่านบริษัทเมซไซอะ เพื่อส่งเงินต่อไปยังบุคคลที่เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งที่บางคนมีอาชีพทำแพปลา บางคนมีอาชีพเป็นแม่บ้านของบริษัท โดยทุกอย่างเกี่ยวโยงกับนายธงชัย ดลศรีชัย ซึ่งเป็นน้องชาย ลูกพี่ลูกน้องของนายประดิษฐ์ มีภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.พิจิตร ซึ่งเป็นคนที่เกี่ยวโยงกับนายประจวบโดยตรง และเป็นคนที่นำนายประจวบให้เข้ามารู้จักกับพรรคประชาธิปัตย์ และเกิดการไซฟ่อนขึ้น จึงขอกล่าวหาว่านายกฯได้ทำความผิดฐานฉ้อราษฎร์เอาเงินประชาชนจากตลาดหลักทรัพย์และบังหลวงไม่แสดงบัญชีรายรับของพรรคประชาธิปัตย์อย่างตรงไปตรงมา ปกปิดรายรับกรณีได้รับเงินจากบริษัททีพีไอโพลีน กระทำผิดกฎหมายอาญามาตรา 137 ฐานแจ้งความเท็จ และอยากให้ประชาชนที่ซื้อเสียประโยชน์จากเรื่องนี้ในปี 2547-2549 ฟ้องบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ใช้โอกาสทางธุรกิจ ทำการทุจริตแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตัวเอง ขณะที่บริษัทเมซไซอะ โดยนายประจวบ สังข์ขาว มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน คอยช่วยเหลือและทำใบกำกับภาษีปลอมให้กับพรรคประชาธิปัตย์จนบริษัทของตัวเองถูกฟ้องล้มละลายเพราะติดหนี้กรมสรรพากรถึง 14 ล้านบาท
ย้ำชัดไซฟ่อนเงินจาก กกต.
ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังพบว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้กระทำการไซฟ่อนเงินที่ได้รับเงินสนับสนุน จาก กกต. จำนวน 29 ล้านบาท โดยก้อนแรกให้นายธงชัย ดลศรีชัย น้องชายนายประดิษฐ์ได้ว่าจ้าง น.ส.วาศินี ทองเจือ ไปทำป้ายโฆษณาให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่ง น.ส. วาศินีก็ได้ว่าจ้างบริษัทเกิดเมฆแอทเวอร์ไทซิ่งและบริษัทแมกเน็ตไซอีกต่อหนึ่ง ขณะนี้มีความพยายามตัดตอนว่านายธงชัยไม่เกี่ยวข้องกับพรรค แต่หากไปดูหลักฐานการยื่นภาษี ภงด.53 ของพรรคประชาธิปัตย์ต่อกรมสรรพากร จะพบว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้ส่งบิลโดยผ่านนายธงชัยไปยัง น.ส.วาศินี ก่อนโอนต่อไปให้บริษัทเกิดเมฆจำนวน 2 ล้านเศษ และให้บริษัทแมกเน็ตไซ 8 หมื่นกว่าบาท
“อภิสิทธิ์” ต้องรับผิดเซ็นชื่อรับรอง
ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวอีกว่า นอกจากนั้นพรรคประชาธิปัตย์ ยังนำเงินที่ได้รับจาก กกต. ไปว่าจ้างบริษัทเมซไซอะ จำนวน 23,314,200 บาท โดยอ้างว่าเป็นค่าจ้างจัดทำป้ายโฆษณา แต่ไม่มีการทำธุรกรรมอย่างแท้จริง กระทำการเพียงแค่สร้างเรื่องเพื่อต้องการเอาเงินของ กกต.มาใช้ เห็นชัดเจนเนื่องจากภายหลังที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเงินจาก กกต.มาก็ได้โอนให้กับนายประจวบ ซึ่งเป็นกรรมการของบริษัทเมซไซอะ เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2548 และเพียงแค่วันเดียวคือวันที่ 11 ม.ค. 48 บริษัทแห่งนี้ก็โอนเงินกระจายแยกย่อยไปให้กลุ่มบุคคลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์และคนของบริษัททันที 11 คน ซึ่งเหตุที่ตนกล่าวหาว่านายอภิสิทธิ์กระทำผิดในเรื่องนี้ด้วย เพราะนายอภิสิทธิ์ได้เซ็นรับรองงบดุลประจำปีของพรรคประชาธิปัตย์ ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2548 ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ชี้โทษหนักถึงขั้นยุบพรรค ปชป.
ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ดังนั้นพฤติกรรมทุกอย่างนายอภิสิทธิ์ล้วนต้องรับรู้รับทราบ จึงขอกล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้บริหารพรรคบางส่วนได้กระทำผิดฐานรับเงินสนับสนุนพรรคการเมืองโดยไม่เปิดเผย และไม่จ่ายเงินที่ได้รับจาก กกต.ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด แต่นำเงินส่วนหนึ่งมาฟอกในบริษัทเมซไซอะเพื่อนำไปใช้ ซึ่งความผิดฐานที่ไม่แจ้งรายรับต่อ กกต.มีโทษถึงขั้นยุบพรรค ตนจึงอยากพิสูจน์คำว่านิติธรรม นิติรัฐ ที่นายกรัฐมนตรีพร่ำบอกอยู่เสมอนั้นว่าจะเป็นจริงหรือไม่ หรือพอเหตุเกิดกับคนกลุ่มหนึ่งต้องผิดทุกเรื่อง แต่พอเกิดกับอีกกลุ่มหนึ่งไม่มีความผิด จึงอยากรู้ว่าบ้านเมืองนี้มีความยุติธรรมอยู่จริงหรือไม่
“อภิสิทธิ์” โต้ข้อหาไม่ยอมใช้ยศ
ต่อมาเวลา 12.30 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ลุกขึ้นชี้แจงกรณีไม่ใช้ยศทหารนำหน้าชื่อว่า ในประกาศกระทรวงกลาโหมข้อหนึ่งระบุว่า การปฏิบัติราชการฝ่ายพลเรือน ผู้มียศทหารสามารถใช้ยศหรือไม่ใช้ยศนำหน้าชื่อก็ได้ เมื่อมาทำงานการเมืองจึงไม่ใช้ยศทหารนำหน้าชื่อ เพราะหากมีการโจมตีความเป็นทหารต้องไม่ถูกโจมตีไปด้วย เหมือนกับใครทำอะไรชั่ว สมมติว่าใช้ยศตำรวจก็ทำให้ตำรวจเสื่อมเสียได้ ส่วนเรื่องที่บอกว่าตื่นเต้นดีใจที่ทางญี่ปุ่นจะให้กู้เงินนั้น เป็นเพียงการแจ้งให้ ประชาชนรู้เท่านั้น รัฐบาลที่ผ่านมาก็ตั้งงบประมาณขาดดุลไว้ต่อเนื่อง เรื่องการกู้เงินก็ต่อเนื่องมาด้วย สาเหตุที่เลือกวิธีกู้เงิน เพราะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว 30% ทำให้รายได้หายไป มีทางแก้ 3 ทาง คือ 1. ขึ้นภาษี 2. กู้เงิน และ 3. ขายสมบัติชาติ จึงเห็นว่าแนวทางที่ดีที่สุดคือกู้เงิน เพื่อทำโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ส่วนที่ท้าทายให้เพิ่มการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น ได้มอบนโยบายให้กระทรวงการคลังไปแล้ว ว่าหากมีความจำเป็น ภาษีที่จะจัดเก็บตัวแรกคือ เบียร์ เหล้า
ออกตัวแทน “กษิต” โดนการเมืองเล่น
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า ส่วนการตั้งนายกษิต ภิรมย์ เป็น รมว.ต่างประเทศ ที่ถูกแจ้งความร้องทุกข์ว่าเป็นผู้ก่อการร้ายที่ร่วมกับพันธมิตรฯ ปิดสนามบิน ช่วงเกิดเหตุมีการแจ้งความไว้ 2-3 คดี โดยไม่มีชื่อนายกษิตเลย แต่พอได้เป็น รมว.ต่างประเทศ จึงมีการแจ้งความนายกษิตเพิ่มเติม ถือเป็นเรื่องการเมือง เพราะถ้านายกษิตทำร้ายประเทศจริงก็ต้องแจ้งความแต่แรกแล้ว ส่วนข้อหาว่าเป็นรัฐบาลที่ไม่มาตามระบบนั้น ยืนยันว่ามาตามระบบ แม้เราจะเป็นพรรคที่มีเสียงน้อยกว่าพรรคพลังประชาชน แต่รวมคะแนนทั่วประเทศแล้วก็ได้น้อยกว่าแค่แสนกว่าคะแนน เมื่อรวมกับคะแนนของพรรคร่วมรัฐบาลแล้วมากกว่า ส.ส.ส่วนใหญ่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงจึงสนับสนุนตน ซึ่งตรงกับประชาชนส่วนใหญ่ ดูได้จากการเลือกตั้งซ่อมที่รัฐบาลของตนชนะถึง 21 เขต จาก 27 เขต
ปัด กก.บห.ชุด “บัญญัติ” รับผิดชอบ
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ส่วนข้อกล่าวหาว่าตนไปสมรู้ร่วมคิดกระทำผิดกฎหมายพรรคการเมืองนั้น กรณีดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ช่วงปลายปี 2547 ถึงวันเลือกตั้ง 6 ก.พ. 2548 ช่วงนั้นเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อยู่ มีนายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรค และนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เป็นเลขาธิการพรรค ซึ่งนายบัญญัติยืนยันว่าไม่ได้มอบหมายให้ตนรับผิดชอบเรื่องการเงิน ยืนยันว่าไม่ได้สมรู้ร่วมคิดไปพบปะกับใครที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ หรือที่บริษัททีพีไอฯ เลย และเมื่อเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ไม่เคยเข้าไปแทรกแซงกระบวนการสอบสวนขององค์กรใดเลย โดยเฉพาะการสอบสวนคดีพิเศษต่อบริษัทดังกล่าวก็ยังดำเนินการต่อไป ที่ตั้งข้อสงสัยว่าตนไปทำอะไรเมื่อคืนนั้น ไม่มี ยืนยันว่านอนหลับสบายอยู่ที่บ้าน
ยอมรับเซ็นชื่อตามขั้นตอนคิดว่าถูก
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า ได้เข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 15 มี.ค. 2548 มีเรื่องที่เกี่ยวข้อง 2 ส่วนคือ 1. เงินบริจาคเข้าพรรคที่ต้องแจ้งต่อ กกต. แทบทุกเดือน ได้ทำอย่างสมบูรณ์และรายงานต่อ กกต.ครบถ้วน 2. การรับรองงบดุลบัญชีปี 2547 ผ่านมาตามขั้นตอน มีการเสนองบดุลเข้าที่ประชุมใหญ่พรรค ให้ผู้สอบบัญชีเข้ามาตรวจสอบ จากนั้นนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เหรัญญิกพรรคขณะนั้นลงนาม เมื่อเสนอมาถึงตนก็เห็นว่าผ่านการ ตรวจสอบมาแล้ว จึงได้ลงนามรับรองไป ส่วนการรับรองงบดุลปี 2548 ที่ต้องรับรองในปี 2549 ซึ่งเป็นการใช้เงินในช่วงเลือกตั้ง ทางพรรคก็ได้รายงานให้ กกต.ตรวจสอบ กกต.ก็ได้ซักถามกลับมาในหลายประเด็น แต่ไม่มีประเด็นที่ได้มีการนำมาอภิปรายในสภาครั้งนี้
“กอร์ปศักดิ์” ย้ำทำตามขั้นตอน
จากนั้นนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงว่า ในฐานะเหรัญญิกพรรคช่วงนั้น ก่อนจะมีการรับรองงบดุลได้ผ่านกระบวนการตรวจสอบหลายขั้นตอน ก่อนจะส่งมาให้ตนและหัวหน้าพรรคเซ็นรับรอง โดยในปี 2548 เป็นช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์มีกรรมการบริหารพรรค 2 ชุด ดังนั้น จึงมีงบดุลในช่วงที่ตนไม่สามารถเข้าไปดูในรายละเอียดได้ แต่พยายามดูเรื่องที่เกี่ยวกับเงินเลือกตั้ง ซึ่ง กกต.ไม่ได้ให้เงินสนับสนุนทุกปี แต่ถ้ามีการเลือกตั้งก็จะให้เงินสนับสนุน ที่ต้องมีการจัดทำบัญชีเลือกตั้งของพรรคเป็นพิเศษ และได้ส่งเอกสารให้ กกต.ตรวจสอบเมื่อวันที่ 21 เม.ย.2548 และ กกต.มีหนังสือสอบถามมาเมื่อวันที่ 20 พ.ค.2548 โดยไม่ได้มีเรื่องที่เกี่ยวกับการอภิปรายครั้งนี้ “เมื่อไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบงบดุลในช่วงวันที่ 1 ม.ค.-14 มี.ค.2548 ได้ เพราะเข้ามารับตำแหน่งเหรัญญิกพรรคในวันที่ 15 มี.ค.2548 แต่เมื่อผ่านการตรวจสอบของ กกต.แล้ว จึงกล้าลงนามในงบดุลของพรรค และส่งให้หัวหน้าพรรคเซ็นรับรองต่อไป”
ส.ส.ร้อนโบ้ยเรื่องส่วนตัวน้องสาว
ด้านนายประพร เอกอุรุ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้ใช้สิทธิ์พาดพิงว่า น.ส.ประภาพร เอกอุรุ เป็นน้องสาวของตน ปัจจุบันอายุ 43 ปี โดยช่วงที่เกิดเหตุมีอายุ 37-38 ปี ถือว่าบรรลุนิติภาวะแล้ว การกระทำธุรกรรมใด จึงไม่ต้องมาปรึกษาตน ถือเป็นการทำธุรกิจส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องการเมือง ไม่เกี่ยวข้องกับตน ไม่เกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ หรือการบริหารราชการของรัฐบาล ถือว่าผู้อภิปรายไม่รู้จริง เอาเอกสารที่ไม่ถูกต้องมาพูด ทั้งนี้ น.ส.ประภาพร และนายสมศักดิ์ เอกอุรุ ได้เข้าให้ปากคำกับดีเอสไอในฐานะพยานในเรื่องดังกล่าวแล้ว
ส.ส.เพื่อไทยชู “เฉลิม” พูดเยี่ยม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ ร.ต.อ.เฉลิมอภิปราย เสร็จสิ้น ส.ส.พรรคเพื่อไทยหลายคนต่างทยอยกันเดินเข้ามาจับมือกับ ร.ต.อ.เฉลิมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่ว่าจะเป็นนายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา ประธานวิปฝ่ายค้าน นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.สัดส่วน โดยนางสาวชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.เชียงใหม่ กล่าวชมว่า “อาสุดยอดมาก” นอกจากนี้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่ยังระบุตรงกันว่า ร.ต.อ.เฉลิมอภิปรายได้ดี
ย้ำแผลแจกหนังสือ-ขึ้นเว็บไซต์
เมื่อเวลา 12.40 น. ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันทีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน และประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย อภิปรายเสร็จสิ้น โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ได้แถลงข่าวกับสื่อมวลชนอีกครั้ง โดยนำชาร์ตต่างๆมาแสดงประกอบ รวมทั้งนำหนังสือเนื้อหาคำอภิปรายของ ร.ต.อ.เฉลิมมาแจกจ่ายให้กับสื่อมวลชน นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทยได้นำข้อมูลที่ ร.ต.อ.เฉลิมอภิปรายขึ้นเว็บไซต์ ของพรรค www.ptp.or.th ด้วย ทั้งนี้ ร.ต.อ.เฉลิมได้พูดย้ำอีกครั้งถึงสิ่งที่ได้อภิปรายไปในสภา โดยเฉพาะเรื่องเงินสนับสนุนจากก กกต.ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ และกรณีเงิน 263 ล้านบาทที่บริษัททีพีไอ โพลีน ได้ทำสัญญาว่าจ้างบริษัทเมซไซอะ ให้จัดทำประชาสัมพันธ์และโฆษณาสินค้าผลิตภัณฑ์ของบริษัททีพีไอ แต่กลับพบว่ามีการนำเงินดังกล่าวไปให้คนของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้ไปใช้ในการประชาสัมพันธ์ หรือโฆษณาแต่อย่างใด
โวมีหลักฐานอีกท้าให้ฟ้องจะแฉเพิ่ม
“ยอมรับว่าการอภิปรายครั้งนี้ค่อนข้างยาก แต่รู้สึกพอใจมากกว่าการอภิปรายทุกครั้งที่ผ่านมา โดยใช้เวลาทั้งอาทิตย์ไปจี้เอาเอกสารต่างๆมาใช้ประกอบการอภิปราย ใช้เวลาเตรียมข้อมูลมา 2 เดือนเต็ม ผมมั่นใจว่าข้อมูลที่ได้อภิปรายไป เรื่องของเงินที่ได้รับการสนับสนุนจาก กกต. และนำไปใช้ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์นั้นมีความชัดเจนถึงขั้นยุบพรรค เชื่อว่าข้อมูลหลักฐานต่างๆมีน้ำหนักเหนือกว่าสมัยที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ที่ถูกใบแดงจนนำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชน ถึง 500 ล้านเปอร์เซ็นต์ และเท่าที่ได้ฟังนายกฯชี้แจงจะเห็นว่าไปพูดเรื่องอื่น ไปพูดเรื่องหนีทหารเป็นนิสัยของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะเลือกตอบเฉพาะประเด็นที่ตอบได้เท่านั้น ในช่วงของการสรุปการอภิปรายถ้ายังตอบไม่ได้หรือไม่มีคำชี้แจงจากนายอภิสิทธิ์ ผมจะขึ้นซ้ำอีกทีผมยังมีหลักฐานอีก ขอท้าให้บริษัททีพีไอรีบฟ้องร้อง เวลาศาลเรียกจะได้นำหลักฐานมาเปิดเผยอีก ผมได้เขียนวิเคราะห์ไว้ 15 ข้อว่า ทำไมต้องเจาะจงเป็นบริษัทเมซ ไซอะ ซึ่งเขาโกรธมากที่ไปให้เซ็นกระดาษ 40 แผ่น วันนี้เชื่อว่านายกฯอยู่ต่อไม่ได้แล้ว” ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว ผู้สื่อข่าวถามว่า ข้อมูลที่อภิปรายเหมือนกับข้อมูลของกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิมตอบว่า “ไม่มั่นใจว่าเหมือนหรือไม่ แต่หลักฐานได้มาจากฝีมืออธิบดีกรม...ตำรวจคนที่ 3” ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว
ปธ.วิปเย้ย “เฉลิม” ไร้น้ำหนัก
ขณะเดียวกันเมื่อเวลา 13.00 น. ที่รัฐสภา นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานคณะกรรมการประสานงาน (วิป) พรรคร่วมรัฐบาล กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี โดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส. พรรคเพื่อไทย ว่า เบื้องต้นการอภิปรายของฝ่ายค้านไม่ได้ อยู่เหนือความคาดหมาย ไม่มีน้ำหนักอะไร และไม่สามารถที่จะโยงเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินได้ ซึ่งเท่าที่วิปรัฐบาลได้ประเมินว่าเหมือนกับการจัดงานแล้วแขกไม่มาเลยต้องมาเตรียมเก็บถ้วยชามรอ อย่างไรก็ตาม คงต้องติดตามประเด็นในการสรุปอีกครั้ง เมื่อถามว่า คิดว่าฝ่ายค้านใช้ข้อมูลมาตีพรรคประชาธิปัตย์ให้อ่วมมากที่สุดใช่หรือไม่ นายชินวรณ์ตอบว่า ส่วนตัวต้องให้เครดิตแก่ ร.ต.อ.เฉลิมที่พยายามอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่เนื่องจากข้อมูลไม่ถึงตัวนายกรัฐมนตรี และไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดิน ทำให้การอภิปรายฯแม้มีความตั้งใจสูงแต่น้ำหนักเบา อย่างไรก็ตาม วิปรัฐบาลจะไม่มีการปรับรับมือการอภิปรายฯ แต่จะแถลงข่าวชี้แจงโดยให้ คณะทำงานรวบรวมประเด็นความรู้สึกของประชาชนหลังจากการอภิปรายฯไปแล้วว่ามีความรู้สึกอย่างไร
เงินบริจาคให้ “ประดิษฐ์” แจงเอง
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองว่าจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีความชอบธรรมในการบริหารประเทศหรือไม่ เพราะไม่มีความโปร่งใสจากเรื่องเงินบริจาคที่เข้าพรรค นายชินวรณ์ตอบว่า ไม่มีบทพิสูจน์ว่า ไม่มีความโปร่งใส ทั้งนี้กระบวนการที่ถูกอ้างมาก็ชี้ไม่ชัดว่า มีการไซฟ่อนเงินแต่เป็นกระบวนการธรรมดาในการทำธุรกิจ เพียงแต่ ร.ต.อ. เฉลิมจับกระบวนการทั้งหมดมาจับแพะชนแกะ และเอาเรื่องของนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ และเรื่องของนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง มาโยงกันเพื่อหวังให้นำไปสู่ การทำให้เห็นว่ามีการบริหารราชการแผ่นดินบกพร่อง ทั้งนี้ ถ้าประชาชนที่ไม่ได้ติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น อาจเข้าใจผิดว่านายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง มาเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เรื่องนี้อาจมีน้ำหนัก แต่บังเอิญว่านายประดิษฐ์ไม่ได้เป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์แล้วในตอนนี้ และแม้นายประดิษฐ์จะมาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ แต่เรื่องดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องกับตำแหน่ง รมช.คลัง อย่างไรก็ตาม ในแง่ ของตัวบุคคล นายประดิษฐ์ก็ต้องชี้แจงเรื่องนี้เอง ไม่เกี่ยวกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
เหน็บ “เฉลิม” ปืนใหญ่ยิงกระสุนด้าน
เมื่อถามว่า แสดงว่ารัฐบาลยังเป็นต่อในการอภิปรายฯครั้งนี้ใช่หรือไม่ นายชินวรณ์ตอบว่า ความรู้สึกของคณะทำงานและประชาชนเห็นได้ชัดว่าฝ่ายค้าน ไม่สามารถทะลวงเข้าสู่เป้าหมายที่แท้จริงตามเจตนารมณ์ของการอภิปรายไม่ไว้วางใจ คือตัวนายกรัฐมนตรี เมื่อถามต่อว่า เกรงว่าจะมีการนำข้อมูลในการอภิปรายฯไปขยายผลเพื่อเอาผิดให้มีการยุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ นายชินวรณ์ตอบว่า ไฮไลต์อยู่ที่ ร.ต.อ.เฉลิม ถ้าปืนใหญ่ยิงด้านแล้ว และถ้าปืนเล็กจะยิงเพิ่มขึ้นมาอีก ก็เป็นเรื่องของแต่ละคนที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องไปบริหารจัดการข้อมูลและตอบโต้เพื่อเป็นเกราะกำบังตัวเอง
ซัดรัฐบาลให้เขมรฮุบดินแดน
ต่อมานายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า การจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้ประชาชนรู้ดีว่าเป็นเพราะทหารเรียกนักการเมืองเข้าไปบีบบังคับ ที่บ้านพัก ร.1 รอ. จากนั้นก็ส่งคนของตัวมาเป็น รมว.กลาโหม เป็นการได้อำนาจมาด้วยวิธีพิเศษ ที่สมคบกันระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ พันธมิตรฯ และกองทัพ แต่งตั้ง ส.ส.ที่ไปสมคบกับกลุ่มพันธมิตรฯ ที่บุกยึดทำเนียบรัฐบาล สนามบินสุวรรณภูมิ อย่างนายกษิต มาเป็น รมว.ต่างประเทศ ทั้งที่กระทำต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดบางประการการเดินอากาศ มาตรา 6 มีโทษจำคุกตลอดชีวิต ถึงขั้นประหารชีวิต แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินคดี การตอบแทนกันภายใต้การสมคบคิด ไม่มีปัญหาแต่การแต่งตั้งเอาคนที่มีปัญหากับประเทศเพื่อนบ้าน เราก็ต้องแลกกับความเจ็บปวดที่ส่อว่าจะเสียดินแดนให้กับกัมพูชา ทั้งนายอภิสิทธิ์และนายกษิตให้สัมภาษณ์ และอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลชุดที่แล้วอย่างรุนแรงว่า เป็นตัวการที่จะทำให้ประเทศเสียดินแดน เสียอธิปไตย แต่วันนี้มาเป็นรัฐบาลกลับปล่อยให้ทหารกัมพูชาบุกรุกเข้ามากว่า 250 เมตร สร้างถนนขึ้นเขาพระวิหาร
ชี้ทหารดีๆเหลือทนกับรัฐบาลอภิสิทธิ์
นายจตุพรกล่าวต่อว่า เรื่องนี้ทางกองกำลังสุรนารีได้ทำหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาลให้ยื่นประท้วงต่อการบุกรุกของทหารกัมพูชาถึง 9 ครั้ง แต่ไม่มีการตอบสนองจากรัฐบาล แต่นายกษิตกลับทำให้เป็นเรื่องลับจึงไม่มีใครรู้ แต่ที่ตนรู้เพราะทหารดีๆในกองกำลังสุรนารีส่งเอกสารมาให้ ที่นายกษิตเคยพูดก่อนหน้านี้ว่า พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นของไทยโดยไม่ต้องมีการพิสูจน์ แต่วันนี้ทำไมถึงไม่ยื่นอุทธรณ์ไปยังศาลโลก เพื่อขอรักษาสิทธิตรงนี้ไว้ วันนี้นายกฯ และรมว.กลาโหมยังนั่งอยู่ในตำแหน่งได้อย่างไร เพราะทหารดีๆเขารู้สึกกับความเจ็บปวดกับการทำงานของรัฐบาล ที่ไม่เคยหยุดยั้งการละเมิดอธิปไตยจากกัมพูชาได้เลย วันนี้จึงพิสูจน์ได้ว่าคนที่ทำให้เสียดินแดนจริงๆคือพวกท่าน ทั้งนี้ใบเสร็จที่ชัดที่สุดคือ รัฐบาลกำลังจะออกกฎหมายลดโทษให้กับผู้ถูกกล่าวหาว่าก่อการร้ายบุกยึดสนามบิน ให้เหลือโทษปรับเพียง 500 บาท ถ้าเป็นเช่นนี้ก็คงมีการยึดกันได้อีก 5 รอบ ชี้ให้เห็นว่านอกจากนายกฯไม่ได้ยึดหลักนิติธรรม นิติรัฐแล้ว ยังออกกฎหมายมาช่วยพวกพันธมิตรฯที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนทั้งประเทศ
แสดงตัวมาตรฐานสูงแต่ทำไม่ได้
นายจตุพรกล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ชอบแสดงว่าเป็นคนมีมาตรฐานสูง ออกกฎบังคับให้รัฐมนตรีต้องปฏิบัติตาม 9 ข้อ โดยเฉพาะเรื่องรัฐมนตรีทุกคนต้องไม่มีอภิสิทธิ์เหนือประชาชนทั่วไป แต่ที่ผ่านมาไม่แค่หนีการ เกณฑ์ทหารเท่านั้น ประวัติการเมืองก็ยังสับสน โดยเฉพาะการสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ที่ทำหลังได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. แล้ว 3 เดือน ทั้งที่ช่วงนั้นยังใช้รัฐธรรมนูญ ปี 2534 ที่ระบุว่าผู้สมัครจะต้องสังกัดพรรคการเมือง ซึ่งการเกณฑ์ทหารถือเป็นหน้าที่ของชายไทยทุกคน แต่ปรากฏว่าตั้งแต่ปี 2524 ตอนอายุครบ 17 ปี ย่าง 18 ปี ไม่ได้ไปขึ้นทะเบียนทหารกองเกิน แต่ไปขึ้นตอนอายุ 22 ปี ในวันที่ 4 ก.ค.2529 ถือว่าเลยเกณฑ์ไปแล้ว 1 ปี ภายหลังสัสดีพระโขนงได้แจ้งลงบัญชีเป็นทหารกองเกิน โดยไม่มีการสั่งปรับ และตามหลักในปีต่อไปนายอภิสิทธิ์จะต้องไปคัดเลือกตามหมายเรียก นายอภิสิทธิ์จึงอยู่ในฐานะหนีทหาร และเอกสารทางราชการในปี 2535 ก็ยังอยู่ในบัญชีของคนขาด ทั้งที่ช่วงนั้นได้เป็น ส.ส.แล้ว
จวกใช้หลักฐานเท็จสมัครอาจารย์ จปร.
นายจตุพรกล่าวว่า ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้แนะนำ อาจเป็นคนที่ท่านเคารพที่มีความสนิมกับ รสช.คนหนึ่งจึงได้เข้าไปสมัครรับราชการที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) แต่ในการสมัครต้องแสดงหลักฐานสำคัญทางทหารคือ สด.9 หากไม่มีก็ต้องมีหลักฐานการผ่อนผันการเกณฑ์ทหาร หรือใบ สด.43 แต่ใบสำคัญตรงนี้ก็ไม่มีไม่ทราบมีใครให้คำแนะนำท่านจึงได้กลับไปหาสัสดีเขตพระโขนงเพื่อขอใบแทน เพื่อนำมาประกอบกับใบ สด.43 เพื่อใช้สมัครเป็นอาจารย์สอนใน จปร. ดังนั้นกระทรวงกลาโหมจึงไม่มีสิทธิ์บรรจุเข้ารับราชการ เพราะไม่แสดงใบ สด.9 แต่กลับมีการสร้างหลักฐานเท็จขึ้นเป็นทหารกองเกินเมื่อวันที่ 8 เม.ย.2531 อยากถามว่าท่านไม่รู้สึกอะไรเลยหรือที่กว่าจะได้รับพระราชทานยศต้องรอถึง 9 เดือน ในขณะที่คนอื่นไม่ถึง 6 เดือน ก็ได้ยศแล้ว จึงถูกอดีต ส.ส.พรรคความหวังใหม่ 2 คน ยื่นเรื่องให้ตรวจสอบ
ชี้กองทัพกดหัวรัฐบาลถลุงงบซื้ออาวุธ
นายจตุพรกล่าวอีกว่า ผลการตรวจสอบของกรมสารบรรณทหารบก ที่ทำถึงกรมกำลังพลทหารบก เพื่อส่งให้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผบ.ทบ.สมัยนั้น โดยแจ้งผลการสอบสวนว่า นายอภิสิทธิ์ ไม่มีสิทธิ์ได้รับการบรรจุเข้ารับราชการ เพราะขาดเอกสารสำคัญทางทหาร และการสั่งบรรจุเข้ารับราชการของโรงเรียน จปร. ก็ไม่มีหลักฐานทางทหารมาบรรจุได้ มีการออกใบแทนให้โดยไม่มีการดำเนินคดีฐานหนีทหาร ถือว่าเจ้าหน้าที่บกพร่องต่อหน้าที่ จึงได้สั่งลงโทษทางวินัยแก่ พ.อ.หญิง สายไสว มาสมบูรณ์ ประจำ กพ.ทบ. และสั่งให้ดำเนินคดีอาญาต่อ พ.ต.ทองคำ เดชเร สัสดีเขตพระโขนง “คนอื่นหนีทหารโดนดำเนินคดีหมดไม่มีการยกเว้น อย่าง ชาตรี ศรีชล อดีตนักร้องลูกทุ่งชื่อดังก็โดนสัสดีบุกจับกลางเวที แต่ท่านคงเป็นคนเดียวที่หนีทหารแล้ว ทหารยังจับมาเป็นนายกฯอีก แล้วอย่างนี้ ผบ.ทบ.จะมีหน้าออกมารณรงค์ให้ชายไทยทุกคนเข้ารับการเกณฑ์ทหารได้อย่างไร และที่เขาเอาท่านมาเป็นนายกฯ เพราะเขาสามารถดำเนินการและสั่งให้ท่านคืนเบี้ยหวัดเมื่อไรก็ได้ ทำให้กองทัพสามารถจะกดดันเพื่อของบซื้ออาวุธเท่าไหร่ก็ได้” นายจตุพรกล่าว
นายกฯแจงยิบหนีเกณฑ์ทหาร
ต่อมาเวลา 14.25 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ได้ลุกขึ้นชี้แจงถึงกรณีที่ถูกระบุว่าเข้าเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์หลังการเป็น ส.ส. ว่า มีหลักฐานการเป็นสมาชิกพรรคตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค. 2535 ไม่ใช่เป็นสมาชิกในช่วงเดือน มิ.ย.ปีเดียวกัน ตามที่ถูกกล่าวหา ส่วนกรณีที่ระบุว่าได้แสดงเอกสารเท็จในการเข้ารับราชการทหารในการเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อย จปร.นั้น ก็ไม่เป็นความจริง หากไม่เข้าหลักเกณฑ์โรงเรียนนายร้อย จปร.จะรับได้อย่างไร เพราะถ้าไม่ผ่านการเกณฑ์ทหารก็ยังมีหลายรูปแบบที่ได้รับการยกเว้น คือ การเป็น รด. เป็นครู แม้การเป็นทหารล่าช้าก็เกิดขึ้นกับหลายคน อาจจะเสียค่าปรับบ้าง โดยเข้ารับการตรวจเลือกเกณฑ์ทหารล่าช้าเพราะไปศึกษาที่ต่างประเทศตั้งแต่เด็กจนจบปริญญาตรีในปี 2529 ขณะนั้นอายุ 23 ปี อยู่ในการดูแลของ ก.พ.ที่ได้ทำเรื่องการผ่อนผันในปี 2530-2531 ในช่วงเป็นข้าราชการทหารในปี 2530 เป็นข้าราชการกลาโหมพลเรือนคือ สอนนักเรียนนายร้อย และได้รับการฝึกหลักสูตรทหารทุกอย่าง เมื่อปี 2531 ฝึกเสร็จก็เป็นขั้นตอนขอพระราชทานยศโดยเอกสาร สด.9 หายไป จึงได้ไปขอใบแทน ทั้งนี้ เมื่อมหาวิทยาลัยที่จะไปศึกษาต่อในต่างประเทศได้ประสานมา จึงได้ทำเรื่องขอลาเพราะยังอยากสอนและเรียนต่อ ทำสองอย่างคู่ขนานกัน ในที่สุดได้ขอลาออก และได้รับการอนุมัติตามขั้นตอนทุกอย่าง จึงขอยืนยันว่าเข้ารับราชการเกิน 1 ปี ตามระเบียบที่กำหนดให้รับราชการอย่างน้อย 1 ปี
ทำผิดจริงถูกรัฐบาลเก่าเด็ดหัวแล้ว
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่าทำเอกสารเท็จในปี 2531 แต่ตนไปสมัครเข้ารับราชการในปี 2530 นั้น มันจะเป็นไปได้อย่างไร ท่านคงเกิดความสับสนบางอย่าง ดังนั้น จึงไม่มีอะไรบ่งบอกว่าขาดคุณลักษณะ ขาดจริยธรรม และคุณธรรม สร้างมาตรฐานใหม่ไม่มีสองมาตรฐาน ความจริงประวัติของตน ถ้าไม่มีอคติต่อกันก็คงมาสอบถามข้อเท็จจริงกันได้ หรือจะใช้สามัญสำนึกก็ได้ ส่วนกรณีที่ระบุว่าการออกเอกสารเป็นเท็จจนทำให้ข้าราชการที่เกี่ยวข้อง 2 คนที่ถูกลงโทษนั้น ถ้าเป็นเอกสารเท็จจริงในช่วงที่ท่านมีอำนาจ คงถูกดำเนินคดีไปแล้ว อีกทั้งตนรู้สึกเป็นห่วงจึงได้ติดตามสอบถามข้อเท็จจริง ปรากฏว่าบุคคลทั้งสองไม่เคยได้รับโทษตามที่กล่าวไว้ ส่วนที่ระบุว่าตนหวาดกลัวกองทัพเป็นเรื่องที่ไร้สาระมาก ตนไม่ได้หวาดกลัวอะไร เช่นเหตุการณ์ที่ได้ลงพื้นที่ภาคใต้ยังได้กำชับ ผบ.ทบ.ให้จัดการทหารที่ใช้อำนาจละเมิดสิทธิประชาชนขั้นเด็ดขาด ซึ่งไม่เคยมีใครกล้าพูดมาก่อน
โชว์หลักฐานใบผ่อนผันและ สด.9
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันทีที่นายอภิสิทธิ์ชี้แจงเสร็จ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นอภิปรายอีกหลายครั้ง โดยยังย้ำถึงประเด็นการยื่นเอกสารเท็จในการเข้าสมัครราชการทหาร โดยระบุว่า นายอภิสิทธิ์ได้ใช้ สด.9 หรือไม่ และที่ขอใบแทน สด.9 เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2531 เหตุใดจึงไม่ระบุวันที่บรรจุการเป็นทหารกองเกินคือ วันที่ 4 ก.ค. 2529 ตามใบ สด.9 ใบเดิม ขณะที่นายอภิสิทธิ์ได้ชี้แจงตอบโต้ทันทีว่า เอกสารหายในช่วงที่กำลังขอพระราชทานยศ และได้ทำเรื่องขอใบแทน ดังนั้น ขอยืนยันว่าตอนสมัครในปี 2530 มีเอกสารใบ สด.9 เพราะมีต้นขั้วสามารถตรวจสอบได้ ส่วนที่ยังคงติดชื่ออยู่ในบัญชีที่ขาดการเกณฑ์ทหารนั้น อาจจะเป็นปัญหาภายในของการแก้ไขเอกสารของเจ้าหน้าที่ทั้งหมดไม่มีอะไรที่ลึกลับซับซ้อน ทั้งนี้ ระหว่างที่นายอภิสิทธิ์อภิปรายได้โชว์รูปถ่ายสมัยได้รับการฝึกทหาร และยังโชว์สำเนาใบแทน สด.9 ที่ระบุวันที่บรรจุเป็นทหารกองเกินในวันที่ 4 ก.ค. 2529 ตามใบ สด.9 ใบเดิมนั้น
“สุรพงษ์” เฉ่ง “กรณ์” บีบเอกชน
จากนั้นนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นอภิปรายว่าเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.2551 ในช่วงที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ตำแหน่งนายกฯ นายจิรายุ ตุลลานนท์ นักวิชาการคณะทำงานผู้นำฝ่ายค้านในช่วงนั้น และนายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส. กทม. พรรคประชาธิปัตย์ในช่วงนั้น ได้ไปร่วมประชุมกับตัวแทน 3 บริษัทโทรศัพท์มือถือที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ ประกอบด้วยดีแทค เอไอเอส และทรูมูฟ เพื่อขอให้ส่งเอสเอ็มเอสถึงประชาชน โดยนายกรณ์รู้ว่าการกระทำดังกล่าวจะละเมิดสิทธิส่วนบุคคล มีค่าใช้จ่ายครั้ง 1 บาท จนในวันที่ 18 ธ.ค. ทุกบริษัทได้เริ่มส่งเอสเอ็มเอส รวม 5 ล้านหมายเลข แต่ปรากฏว่าในวันที่ 19 ธ.ค. คนที่ไม่ชอบนายกฯ ที่ได้รับข้อความเอสเอ็มเอสจากนายกฯ ได้ร้องเรียน 3 บริษัทว่าละเมิดสิทธิส่วนบุคคลจนต้องยกเลิกการส่ง ทั้งหมดชี้ ให้เห็นว่านายอภิสิทธิ์ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และทำผิด ทุจริตต่อหน้าที่ ที่ใช้อำนาจขอให้ 3 บริษัทกระทำเอื้อประโยชน์ให้ตัวเอง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และนายกรณ์ทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช.ที่ได้ผลประโยชน์จากการส่งเอสเอ็มเอสมีมูลค่าเกิน 3 พันบาท
เอื้อ บ. มือถือไม่ต้องจ่ายภาษีเข้ารัฐ
นายสุรพงษ์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังพบว่าการที่ ส่งวอยเมล์ (ข้อความเสียง) ของค่ายเอไอเอส และดีแทค ผ่านค่ายทรูมูฟ เพราะเป็นบริษัทเดียวที่ส่งวอยเมล์ได้ ถือเป็นการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้รับบริการให้ทรูมูฟ อีกทั้งยังสงสัยที่มีการส่งรหัสไปรษณีย์ 5 หลักของผู้รับบริการโทรศัพท์มือถือเข้ามาด้วย อดสงสัยไม่ได้ว่าต้องการสำรวจความนิยมของรัฐบาลหรือไม่ ทั้งหมดชี้ให้เห็นว่านายกฯและนายกรณ์ใช้ตำแหน่งหลอกให้ 3 บริษัทหลงเชื่อส่งเอสเอ็มเอสให้ เข้าข่ายผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 279 และยังพบว่า การส่งเอสเอ็มเอส 5 ล้านหมายเลข นายกฯยังไม่จ่ายค่าจ้าง ทำให้ไม่มีการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% และภาษีสรรพสามิต 2% และนายกรณ์ไม่เรียกเก็บภาษี 5 ล้านข้อความดังกล่าว เข้าข่ายมีความผิดละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
นายกฯยันคำนึงถึงสิทธิส่วนบุคคล
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ลุกขึ้นชี้แจงว่า วันที่ได้รับเลือกจากสภาฯให้เป็นนายกฯ สถานการณ์ บ้านเมืองอยู่ในความแตกแยกสูง ใครเข้ามาเป็นรัฐบาลต้อง หาช่องทางสมานฉันท์ จึงปรึกษากับนายกรณ์และทีมงานว่าควรทำอย่างไรภายใต้กฎหมายและสิทธิเสรีภาพ โดยไม่มีเรื่องของผลประโยชน์ ดังนั้นจึงเป็นที่มาของการส่งเอสเอ็มเอส เพื่อประโยชน์สาธารณะ เป็นการบริหารสาธารณะสร้างความสมานฉันท์ ที่ต่อไปอาจจะต้องมีการเตือนภัยสาธารณะผ่านช่องทางนี้ด้วย จึงไม่เข้าข่ายผิดกฎหมาย เพราะไม่ได้ไปยุ่งเรื่องของข้อมูล ใครสมัครใจก็ส่งเอสเอ็มเอสกลับ แต่ถ้าไม่พอใจก็ไม่ต้องส่งกลับ มีประชาชนบางคนส่งตอบกลับผ่านอีเมล์มาต่อว่า ก็ได้ตอบขอโทษไป ขอยืนยันว่าเคารพสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลและสิทธิมนุษยชน แต่กรณีที่มีบางคนที่นำเบอร์โทรศัพท์ของตนไปประกาศออกอากาศแล้วมีคนส่งข้อความมาต่อว่า ด้วยถ้อยคำหยาบ แบบนี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิชัดเจน
“กรณ์” ปัดรวบรัดส่งเอสเอ็มเอส
ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ชี้แจงว่าทั้งหมดไม่ใช่เรื่องลับ โดยยอมรับว่าไปหารือที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์จริง และ 3 บริษัทดังกล่าวได้ทำโดยความสมัครใจ ทั้งที่ได้ หารือกับ 4 บริษัท คือ บริษัทอิลิคสันที่ กสท. ถือหุ้นใหญ่ มีรองปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ตรงนี้ยืนยันได้ ว่าถ้ามีการบังคับจริงบริษัทอิลิคสันต้องเข้าร่วมด้วย ส่วนกรณีที่ระบุว่าทรูมูฟส่งวอยเมล์ได้ค่ายเดียวนั้น ข้อเท็จจริงทุกค่ายส่งวอยเมล์ได้หมด แต่ทรูมูฟมีประสิทธิภาพสูงกว่า และทรูมูฟไม่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ และ 3 บริษัทเห็นเป็นประโยชน์ต่อการสร้างความสมานฉันท์ให้ความร่วมมือ ส่วนกรณีที่ระบุว่า 2 บริษัทให้ข้อมูลผู้ใช้บริการแก่ทรูมูฟผ่านการส่งวอยเมล์นั้น ความจริงส่งให้เฉพาะเบอร์โทรศัพท์ ไม่มีข้อมูลส่วนบุคคลว่าเป็นเบอร์โทรศัพท์ ของใคร ส่วนกรณีที่ระบุว่าส่งเอสเอ็มเอสครั้งนี้ทั้งหมด 5 ล้านหมายเลขนั้น ความจริงส่งไปทั้งหมด 17 ล้านหมายเลข แต่ส่งตอบกลับมา 3.4 แสนหมายเลข ส่วนที่ระบุว่าใช้ อำนาจเอื้อภาษีให้แก่บริษัทมือถือนั้น มีการดำเนินการเรียบร้อย ไม่มีละเว้น ส่วนกรณีที่มีการยื่นเรื่องนี้ให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบนั้น รู้สึกดีใจที่เรื่องจะได้ชัดเจน
“สุนัย” ร่ายยาวพาดพิงคนภายนอก
จากนั้นเวลา 16.30 น. นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายเป็นคนถัดมาว่า การตอบคำถามที่ผ่านมาของนายอภิสิทธิ์และนายกรณ์ไม่ได้ตอบตรงประเด็น พอถึงจุดตายก็เลี่ยงที่จะไม่ตอบ ลักษณะเหมือนวัวพันหลัก ไม่มีใครที่จะให้เงินสนับสนุนฟรีๆโดยไม่หวังผล โดยเฉพาะบริษัทสื่อสารที่ต้องหวังผลจากการอนุญาตให้นายกรัฐมนตรีส่งเอสเอ็มเอสอยู่แล้ว เนื่องจาก รมว.คลังเป็นผู้เจรจากับ 3 บริษัทบันดาลประโยชน์ให้กับพวกเขาได้ รวมทั้งการที่บริษัททีพีไอโพลีนแก่พรรคประชาธิปัตย์มีจุดประสงค์ชัดเจน เพื่อต้องการโค่นล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งนี้ ที่มาของนายกรัฐมนตรีก็มาโดยไม่ชอบอยู่แล้ว เพราะต้องล้มช้างพลาย ต้องล้มรัฐบาลประชาธิปไตยไปถึง 3 รัฐบาล ด้วยการจับมือกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโค่นล้มรัฐบาล โดยมีหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตัวจริงกำกับอยู่ข้างนอก เป็นหัวหน้าพรรคกิตติมศักดิ์ตลอดกาล ฉะนั้นนายกฯจึงได้อำนาจมาจากการฆาตกรรมทางการเมือง เสมือนบุคคลที่เป็นอาชญากรทางประชาธิปไตย เพราะที่ผ่านมาพฤติกรรมของพันธมิตรฯและนายอภิสิทธิ์ล้วนแยกกันไม่ออก พันธมิตรฯเคลื่อนไหวข้างนอกอย่างไร นายอภิสิทธิ์ก็เคลื่อนไหวในสภาฯเช่นนั้น
ประธานต้องรีบห้ามกลัว ส.ส.ปะทะ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อถึงช่วงนี้บรรดา ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยได้ลุกขึ้นประท้วงกันวุ่นวาย โดยนายพิเชษฐ์ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ ประท้วงว่า สภาฯไม่ใช่สถานที่หลอกด่านายกฯ หากมีข้อกล่าวหาอะไรควรว่ากันอย่างตรงไปตรงมา ขณะที่นายอภิชาติ สุภาแพ่ง ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ได้ประท้วงนายสุนัยที่ระบุว่านายอภิสิทธิ์ไม่ใช่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตัวจริง ว่านายสุนัยควรพูดให้ชัดว่าหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตัวจริงชื่ออะไรกันแน่ ไม่ใช่กล่าวหากันแบบเลื่อนลอยแบบนี้ ทำให้นายชัย ชิดชอบ ที่ทำหน้าที่ประธานการประชุมต้องขอร้องให้สมาชิกสงบสติอารมณ์ โดยให้เหตุผลว่าไม่อย่างนั้นอาจเกิดเหตุการณ์เกือกร่อนเหมือนสภาฯเกาหลีได้ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตัวจริงคือ “ฯพณฯประสิทธิ์ เวชชาชีวะ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อนายชัยกล่าวจบ ที่ประชุม ต่างเฮลั่น จนนายอภิสิทธิ์ต้องลุกขึ้นมาชี้แจงว่า “ที่ผมหน้าซีดไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะกลัวว่านายอภิชาติจะทำอะไรมากกว่า และผมชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”
แฉเร่งหากินงบคุรุภัณฑ์อาชีวะ
จากนั้นนายสุนัยได้ลุกขึ้นอภิปรายต่อว่า มีการพูด คุยกันภายในพรรคร่วมรัฐบาลว่าจะเกิดการยุบสภาในเร็วๆนี้ จะทำอะไรให้รีบทำ จึงเห็นปรากฏการณ์กินปลากระป๋อง และโครงการอื่นๆตามมา ครม.ชุดนี้มีรัฐมนตรีและ รมช.เป็นผู้บริหารกระทรวง แต่ยังมีรัฐมนตรีสั่งการนั่งอยู่เบื้องหลัง ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นสามีหรือคนนอก มีการจัดซื้อคุรุภัณฑ์ของสำนักงานการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ที่มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อเลี่ยงการประมูลไม่ถึง 2 ล้านบาท เป็นจำนวนเงินเท่ากันถึง 404 แห่งรวม 750 ล้านบาท แต่จะมีคนคอยบงการว่าต้องซื้ออะไรบ้าง โดยมีหนังสือส่งไปถึงอาชีวศึกษาจังหวัดทุกจังหวัดให้ตอบกลับด่วนภายในวันเดียวว่าจะเลือกชุดคุรุภัณฑ์ประกอบวิชาชีพแบบใดจาก 3 แบบที่มีให้เลือก มีราคา 1.9 ล้าน 1.8 ล้าน และ 1.5 ล้านบาท ทั้งที่แต่ละอาชีวศึกษามีจำนวนนักศึกษาไม่เท่ากัน แต่กลับได้รับจัดสรรในตัวเลขเดียวกัน หากอาชีวะใดไม่เลือกก็จะไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณให้ ถือเป็นความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการฮั้วมาตรา 4, 12 และ 13 และเข้าข่ายผิดกฎหมายแข่งขันทางการค้ามาตรา 27 อีกด้วย เพราะเอกสารที่พ่อค้าแนบไปกับทางราชการมีราคาเท่ากับที่สำนักงานอาชีวะเสนอไปให้อาชีวศึกษาจังหวัดทั้งหมดเหมือนการกำหนดราคาซื้อและราคาขายเดียวกัน โดยไม่มีราคากลาง กระทำการเร่งรีบเสนอซื้อ
ขู่เตรียมยื่นร้องเรียน ป.ป.ช.
นายสุนัยกล่าวด้วยว่า จึงส่อให้เห็นว่ามีการร่วมมือกับพ่อค้าชื่อ “ปัญญา” หากอยากทราบว่านายปัญญาเป็นใครต้องถามนางนาถยา เบ็ญจศิริวรรณ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์รู้จักนายปัญญาคนนี้ดี นายกรัฐมนตรีย่อมรู้เรื่องเหล่านี้ดีว่ามีการทำอะไรกัน แต่ต้องพึ่งคนเหล่านี้ นายกฯกำลังถูกพรรคร่วมรัฐบาลขี่คอ แต่น้ำท่วมปากพูดไม่ได้ ทั้งนี้ นายปัญญามีบิดาเป็นพ่อค้าไม้อยู่แถวภาคตะวันออก ซึ่งสนิทกับพ่อค้าไม้ใหญ่ที่มีลูกเป็นคนดังอยู่ที่ จ.ฉะเชิงเทรา หากถาม น.ส.นริศรา ชวาลตันพิพัทธ์รมช.ศึกษาธิการ ก็จะทราบดี จึงขอให้เจ้าหน้าที่รีบเอาหลักฐานออกมาบอกว่ารัฐมนตรีรู้เห็นด้วย มิเช่นนั้นข้าราชการเองก็จะต้องมีความผิดตามกฎหมายที่กล่าวอย่างแน่นอน เพราะตนได้เตรียมเอกสารทั้งหมดไปยื่นต่อ ป.ป.ช.แล้ว
รมช.ศึกษาฯย้อนงานเดิมรัฐบาลเก่า
ด้าน น.ส.นริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ รมช.ศึกษาธิการ ลุกขึ้นชี้แจงทันทีว่า งบประมาณที่นายสุนัยระบุนั้นเป็นงบที่ตั้งไว้ตั้งแต่ปี 2551 สมัยที่นายศรีเมือง เจริญศิริ เป็น รมว.ศึกษาธิการ จึงไม่สงสัยว่าทำไมนายสุนัยจึงรู้ข้อมูลอย่างละเอียด ขอชี้แจงว่างบประมาณจัดซื้อคุรุภัณฑ์ ของอาชีวศึกษาทั่วประเทศนั้น เดิมมีการตั้งไว้ที่ 1.9 ล้านบาท 1.8 ล้านบาท และ 1.5 ล้านบาท อยู่แล้ว โดยไม่มีรายละเอียดของคุรุภัณฑ์ สำนักงานอาชีวศึกษาจึงทำหนังสือสอบถามไปยังสำนักงบประมาณถึงรายละเอียด และแนวปฏิบัติที่ชัดเจนว่าควรทำอย่างไร เมื่อได้รับหนังสือ ตอบกลับมา จึงได้ทำหนังสือไปถึงผู้บริหารอาชีวศึกษาทั่วประเทศให้แต่ละที่ตอบกลับมาว่าต้องการอะไร ยืนยันว่าได้ทำตามกฎเกณฑ์ของสำนักงบประมาณทุกประการ หากมีหลักฐานตนยินดีให้ฝ่ายค้านนำไปยื่นให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบได้เลย เนื่องจากเป็นงบประมาณที่ทำกันมาในสมัยของนายศรีเมือง ตนไม่ได้เป็นตัวแทนของใคร มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นรัฐมนตรี มีการศึกษาพอที่จะรู้ว่ารัฐบาลชุดนี้ต้องเข้ามาแก้ไขในสิ่งที่รัฐบาลชุดที่แล้วทำไว้อย่างไร
ขณะที่นางนาถยาได้ลุกขึ้นชี้แจงว่า ตนไม่รู้จักนายปัญญาที่นายสุนัยกล่าวถึง และสามีของตนก็ไม่ได้ชื่อปัญญา แต่ชื่อศิรินทร์ “ขอยืนยันว่าครอบครัวดิฉันไม่ทำอย่างที่คุณสุนัยพูดแน่ เพราะกลัวลูกดิฉันโง่ รู้ดีว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญ ต้องให้ความจริงใจ”
ส.ส.กลุ่มบ้านริมน้ำโดดป้อง “นริศรา”
จากนั้นนายสุนัยได้ลุกขึ้นขอให้นางนาถยายืนยันชื่อของสามีกลางที่ประชุมอีกครั้ง โดยให้เหตุผลว่าตนมีเอกสารการจดทะเบียนบริษัทและพร้อมมอบให้กับประธาน ส่วน น.ส.นริศราที่บอกว่าไม่ได้เป็นตัวแทนของใคร ตนอยากถามว่า ที่ได้เป็นรัฐมนตรีมาได้เป็นตัวแทนจากพรรคไหน ทำให้นายรณฤทธิชัย คานเขต ส.ส.ยโสธร กลุ่มบ้านริมน้ำ พรรคเพื่อแผ่นดิน ได้ลุกขึ้นประท้วงว่า รู้จักนายสุนัยดี รู้เห็นกันพอสมควร ขอให้อภิปรายตรงไปตรงมา อย่าเสียดสี ออกนอกลู่นอกทางเพราะไม่เกิดประโยชน์
2 ส.ส.ปะทะคารมหวุดหวิดวางมวย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายรณฤทธิชัยยังพูดไม่จบประโยค นายสุรเชษฐ์ ชัยโกศล ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นกล่าวสวนทันทีว่านายรณฤทธิชัยลุกขึ้นมาประท้วงหรืออภิปราย หากอยากเป็นรัฐมนตรีให้รอปรับ ครม.รอบหน้าก่อน ทำให้นายรณฤทธิชัยกล่าวตอบโต้เช่นกันว่า “สมัยนี้แหละ” อย่างไรก็ตาม เมื่อนายรณฤทธิชัยกล่าวจบ นายสุรเชษฐ์ก็ตะโกนด่า “_วย” ลั่นห้องประชุม พร้อมชูนิ้วกลางเป็นสัญลักษณ์การให้ของลับทำให้นายรณฤทธิชัยซึ่งยืนอยู่คนละฟากของห้องประชุมไม่พอใจ ลุกขึ้นเดินปรี่เข้าไปหานายสุรเชษฐ์ ทันที ขณะที่นายสุรเชษฐ์ก็เดินปรี่เข้าหานายรณฤทธิชัย เช่นกัน ท่ามกลางเพื่อน ส.ส.แต่ละฝ่ายที่รีบวิ่งเข้าไปจับทั้ง 2 คนให้สงบสติอารมณ์
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า บรรยากาศในห้องประชุมยังเป็นไปด้วยความวุ่นวาย เมื่อนายอภิชาติ สุภาแพ่ง ส.ส. เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ได้ลุกขึ้นทวงคำตอบจากนายสุนัยว่า ใครคือหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตัวจริงที่อยู่นอกสภา แต่นายสุนัยยังคงโยกโย้และเอามือลูบหัวของตัวเองที่มีผมสีขาว พร้อมกับบอกว่าให้รอฟังโฟนอินวันที่ 22 มี.ค. จนนายชัยต้องปรามทั้งสองฝ่ายด้วยน้ำเสียงดุดันว่าให้พูดเฉพาะเรื่องอภิปราย ไม่ใช่พูดเรื่องไร้สาระ.