บทความ โดย ปูนนก
สถานการณ์การต่อสู้ทางการเมืองในขณะนี้ กำลังเข้าสู่สถานการณ์แย่งชิงมวลชนเพื่อเป็นฐานกำลังนำไปสู่การเคลื่อนไหวขั้นแตกหักในทางการเมือง การเคลื่อนไหวนี้ประสานกันทั้งในสภาและนอกสภา ในสภามีการเคลื่อนไหวกดดันให้รัฐบาลลาออกด้วยการอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยจะเปิดโปงความไม่ชอบธรรมของการได้มาซึ่งอำนาจบริหารของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ส่วนภายนอกสภาก็มีการเคลื่อนไหวของมวลชนเสื้อแดงที่เป็นแรงกดดันเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ เวลานี้จะเห็นได้ว่ามีการชิงพื้นที่ข่าวที่จะปรากฏในหน้าสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ, โทรทัศน์, หนังสือพิมพ์, อินเตอร์เน็ต.... ยิ่งมีพื้นที่ในการนำเสนอข่าวสารมากเท่าใด มวลชนก็ยิ่งให้ความสนใจและเป็นที่รู้จักมากขึ้นเท่านั้น....
อดีตที่ผ่านมาการสื่อสารยังไม่พัฒนาให้กว้างขวางมากนักจึงมีแต่เพียงสื่อหลักเท่านั้น ประชาชนจึงรับฟังข่าวสารเพียงด้านเดียว ถูกพูดกรอกหูอยู่ทุกวัน ได้ดูรายการข่าวอยู่ตลอดเวลา ได้เห็นสปอร์ตรายการและสื่อโฆษณาที่โหมกระหน่ำในทุก ๆ ที่ สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการสร้างกระแสให้ประชาชนเกิดความเข้าใจที่ไขว้เขว เห็นผิดเป็นถูกไปได้.... “สนธิ ลิ้มทองกุล” ได้พิสูจน์ให้เห็นมาแล้วว่าสามารถใช้สื่อเป็นเครื่องมือที่สามารถล้างสมองประชาชน และสร้างความเชื่อผิด ๆ จนถึงขั้นล้มล้างรัฐบาลท่านนายกทักษิณ ที่มีอำนาจเต็มมาจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้มาแล้ว...
หลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมาได้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ที่สำคัญยิ่งในประเทศไทย.... นั่นคือการรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนของประชาชนเพื่อติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันเอง โดยไม่พึ่งพาอาศัยสื่อหลักของรัฐบาลแต่เพียงด้านเดียวอีกต่อไป.... วิทยุชุมชนที่ก่อตั้งขึ้นโดยประชาชนทั่วไป ได้ผุดขึ้นเหมือนดอกเห็ดหน้าฝน ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศ, เวปไซด์ต่าง ๆ ที่มีหน้าข่าวและหน้าจอที่สามารถติดต่อให้ประชาชนพูดคุยกันได้ เิิกิดขึ้นเป็นรายวัน, สถานีวิทยุทางอินเตอร์เน็ตที่สามารถส่งข่าวสารไปได้กว้างไกลทั่วโลกรวมทั้งทีวีดาวเทียม เกิดขึ้นอย่างมากมายและเปิดโอกาสให้ประชาชนธรรมดา กลายเป็นผู้จัดรายการ และนำเสนอข่าวสาร ไปสู่ประชาชนทั้งหลายได้อย่างไม่จำกัด....
ผลจากการติดต่อสื่อสารที่สามารถเข้าถึงกันได้อย่างรวดเร็วไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใด เพียงแค่ใช้นิ้วกดที่แป้นพิมพ์หน้าคอมพิวเตอร์นี้... ทำให้เกิดการหลั่งไหลของข้อมูลอีกด้านหนึ่งที่ไม่เคยมีใครได้รับรู้ และได้สัมผัสมาก่อนจึงเกิดขึ้นอย่างมากมาย สิ่งที่เคยถูกปิดซ่อนเอาไว้ หรือเคยถูกทาสีเอาไว้เพื่อให้ดูดี ได้ถูกเปิดเผยออกมาอย่างหมดสิ้นในโลกการสื่อสารไร้พรมแดนนี้.... และเป็นเรื่องยากในการที่จะสืบหาที่มาและต้นตอของการให้แหล่งข่าวซึ่งต่างจากสื่อหลักทั่วไป.....
พี่น้องนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยทุก ๆ ท่าน รวมทั้งท่านนายกทักษิณ ต่างก็มองเห็นถึงความได้เปรียบในเรื่องนี้....การโฟนอินเข้ามาของท่านนายกทักษิณ และการให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ รวมทั้งการทำกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อให้เป็นข่าวที่จะถูกสื่อสารต่อไปทั่วโลก จึงเป็น “ยุทธศาสตร์” ที่จะนำไปสู่ “การเปลี่ยนแปลงประเทศ” อย่างแท้จริง.... พี่น้องที่กำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในขณะนี้อาจจะไม่มี “พลังอำนาจทางทหาร, ไม่มีพลังอำนาจทางการเมือง, ไม่มีพลังอำนาจในการปกครอง” แต่สิ่งที่พี่น้องเหล่านี้มีอยู่อย่างเหลือเฟือและเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากก็คือ “พลังแห่งมวลชน, พลังแห่งสื่อที่ไร้พรมแดน, และ เวลา”
การที่เครือข่ายของผู้มีอำนาจขณะนี้ออกมาแสดงความเห็นตอบโต้ และแสดงท่าที ที่จะดำเินินการอย่างเฉียบขาดต่อพี่น้องผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และการโฟนอินเข้ามาของท่านนายกทักษิณ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขากำลัีงเข้าสู่การ “เป็นฝ่ายรับทางการเมือง” และเป็นผู้ “ตั้งรับในเชิงยุทธศาสตร์” ของการต่อสู้นี้อย่างสิ้นเชิง เพราะไม่มีทางที่ผู้ครองอำนาจในประเทศนี้จะ “จับกุม หรือ ควบคุม” พี่น้องผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยได้อย่างหมดสิ้น เพราะการต่อสู้ในครั้งนี้ “ไม่มีแกนนำ” ที่เป็นตัวบุคคล เหมือนสมัยที่ พธม. ได้กระทำในครั้งก่อน.... ไม่มีกระบวนการจัดตั้งแบบจัดจ้างมาเพื่อมาชุมนุมในแต่ละครั้ง.... ไม่มีการต่อรองผลประโยชน์เพื่อให้นำประชาชนมาเข้าร่วมการชุมนุม.....
การชุมนุม และการเคลื่อนไหวของพี่น้องผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย “ในทุกรูปแบบ” ทั้งการชุมนุมในภาคสนาม, การเคลื่อนไหวในโลกไซเบอร์, หรือการสนับสนุนในทางอื่นใด ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจาก “ความศรัทธาในอุดมการณ์” ที่มีร่วมกันนั่นก็คืิอการต่อสู้เพื่อให้ได้ซึ่งประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ในประเทศนี้.... หรือจะเรียกอีกนัึยหนึ่งก็คือ ขณะนี้พี่น้องประชาชนผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยกำลัง “สร้างอำนาจคู่” ขึ้นมาในประเทศนี้ และอำนวจนั้นคืออำนาจของประชาชน เพื่อต่อสู้กับอำนาจเผด็จการที่ครองอำนาจในประเทศนี้มาอย่างยาวนาน....
“ประชาธิปไตย” ไม่เคยได้รับมาจากการ “ร้องขอ” จากเผด็จการ แต่ประชาชนจะได้รับความเป็น “ประชาธิปไตย” ก็ต่อเมื่อมี “อำนาจใดอำนาจหนึ่ง” มาทำการเปลี่ยนแปลงให้.... “อาจจะเป็นอำนาจของกษัตริย์, อำนาจของทหาร, หรืออำนาจของประชาชนเอง” และในเมื่อประเทศนี้ไม่มีอำนาจใดที่จะมาช่วยให้ประชาชนชาวไทย ได้รับความเป็นประชาธิปไตยทีสมบูรณ์ได้ ก็จำเป็นอยู่เองที่พี่น้องประชาชนจะต้องลุกขึ้นมาเืืพื่อต่อสู้ที่จะเลือกให้ประเทศนี้ มีการปกครองเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่ใช่ปกครองแบบ “ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ” ที่ยังคงแฝงเอาไว้ด้วย "เผด็จการอมาตย์" อย่างสมบูรณ์เหมือนดังเช่นทุกวันนี้....
เพราะประชาชนไทย คือเจ้าของประเทศไทยนี้ ตามคำแถลงการณ์ของคณะราษฎร์ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ตามความตอนหนึ่งว่า “ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่าประเทศเรานี้เป็นของราษฎร”
ด้วยเหตุนี้การต่อสู้บนหน้าเวปไซด์ หรือหน้าเวปบอร์ด จึงไม่เพียงแต่เป็นการพิมพ์ตัวอักษรเท่านั้น... แต่ในความเป็นจริงแล้วคือการ “สร้างอำนาจคู่” ของ “สื่อ” เพื่อให้กลายเป็น “กลยุทธสังหาร” และนำไปสู่ “ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนประเทศ” นั่นเอง
ปูนนก