ที่มา มติชนออนไลน์
"เฉลิม" แสดงชาร์ตพร้อมเอกสารซัด "อภิสิทธิ์" เงินบริจาค 258 ล.-เงินกกต. 29 ล. "เชื่อม "ประดิษฐ์" ตั้งญาติถ่ายเทเงินให้ 4 กลุ่มใช้เลือกตั้ง ทักษิณ" คุมเกม-ติดตามถ่ายทอดสดซักฟอก พอใจ"เหลิม" นำเสนอเข้าใจง่าย ชี้ปชป.แจงไม่ชัด ส.ส.พท.-พผ.ให้ของลับ หวิดจวกปากกลางสภา ท้าชกนอกห้อง ห้ามวุ่น
คลิกอ่านวิวาทะ จตุพร-มาร์ค คลิกอ่านประกบคู่ศึกอภิปรายซักฟอก เฉลิม VS มาร์ค คลิกอ่านสุรพงษ์ กล่าวหา มาร์ค-กรณ์ "เฉลิม"หวด"มาร์ค"ปม"258ล."
การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล วันแรก ได้เริ่มเมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 19 มีนาคม โดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายพุ่งเป้าไปที่เงินบริจาคเข้าพรรคประชาธิปัตย์ 258 ล้านบาท และเงินสนับนุนพรรคการเมือง 29 ล้าน เพื่อโยงให้ว่านายอภิสิทธิ์มีพฤติกรรมส่อว่าจงใจฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมาย บกพร่องร้ายแรงไม่ควรจะให้บริหารราชการแผ่นดินต่อไป
ทั้งนี้ ร.ต.อ.เฉลิมเปิดอภิปรายเป็นคนแรก พร้อมแสดงชาร์ตแสดงความเกี่ยวโยงของเงิน 258 ล้านบาท ระหว่างบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) บริษัท แมซไซอะ บิสสิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด และบุคคลในพรรคประชาธิปัตย์ว่า พบการกระทำความผิด นายอภิสิทธิ์ 2 ครั้ง ร้ายแรงต่อประชาธิปไตย กรณีแรกขอกล่าวหาว่า นายอภิสิทธิ์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ปกปิด ซ่อนเร้นไม่เปิดเผยการรับเงินสนับสนุนพรรคการเมืองจากบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในการรายงานงบดุลต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อ 31 มีนาคม 2548 ตอนนั้นนายอภิสิทธิ์เข้ามาเป็นหัวหน้าพรรค เป็นผู้เซ็นรับรองงบดุล มีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯขณะนี้ เป็นเหรัญญิกพรรค พบว่ามีการแจ้งงบดุลเป็นเท็จ ผิดอาญามาตรา 137 และผิดตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง มาตรา 51 แจ้งบัญชีไม่ตรงยอดบริจาค มีบทลงโทษ จำคุก 3 ปี ปรับ 3 เท่า ของทรัพย์สินที่รับบริจาคมา หรือทั้งจำทั้งปรับ และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกำหนด 5 ปี ซัด"ประดิษฐ์"ตั้งญาติไซฟ่อนเงิน
ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ในพรรคประชาธิปัตย์มีขบวนการเอาเงินจากบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์คือ ทีพีไอ มายังบริษัท เมซไซอะ โดยจ่ายเช็ค 27 ฉบับ เข้าธนาคาร 75 ครั้ง ตั้งแต่ 11 พฤศจิกายน 2547 ถึง 4 กุมภาพันธ์ 2548 ก่อนวันเลือกตั้ง 6 กุมภาพันธ์ 2548 รวม 202,002,870 บาท มีนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรคขณะนั้น เป็นคนอยู่เบื้องหลัง โดยให้นายธงชัย คลศรีชัย หรือ ทีซีŽ ซึ่งเป็นน้องชาย และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ (แม่ของนายธงชัย เป็นน้องสาวพ่อของนายประดิษฐ์) กำกับการแสดง โดยยักย้ายถ่ายเทผ่านตัวเอง ไปยังคน 4 กลุ่ม กลุ่มแรกคือบริษัท เมซไซอะ ซึ่งมีนายประจวบ สังข์ขาว เป็นเจ้าของ กลุ่มสอง กลุ่มนายประดิษฐ์ กลุ่มสามคือ นายนิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.สัดส่วน กลุ่ม 4 นายประพร เอกอุรุ ส.ส.สงขลา เพื่อเอาไปใช้ในการเลือกตั้งของพรรค 6 กุมภาพันธ์ 2548
ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า กรณีที่สองเงินสนับสนุนจาก กกต. จำนวน 29 ล้านบาท ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ใช้จัดแผ่นป้ายประชาสัมพันธ์ 10 ล้านบาท และการจัดทำแผ่นป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ 19 ล้านบาท พรรคประชาธิปัตย์ได้ใช้วิธีเดิมกับที่ทำกับทีพีไอ โดยนายธงชัยมอบงานโฆษณาทั้งสองรายการให้บริษัท เมซไซอะ โดยพรรคประชาธิปัตย์ได้ออกเช็คธนาคารกรุงไทย จากนั้นนายประจวบได้นำเช็คไปเข้าบัญชีก่อนกระจายเงินไปยังบัญชีของบุคคลต่างๆ กลุ่มเดียวกับที่ทำกับบริษัท ทีพีไอ เป็นเช็คทั้งหมด 11 ฉบับ รวม 18,803,700 บาท โดยมีบิล 3 ใบ แต่ไม่มีการว่าจ้าง
"ธงชัย"เคยนั่งรองโฆษกหูกวาง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธงชัย คลศรีชัย ที่ ร.ต.อ.เฉลิมอภิปรายถึงนั้น เป็นญาติผู้น้องของนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยคลัง และมีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินบริจาคพรรคประชาธิปัตย์นั้น จากการตรวจสอบพบว่า นายธงชัยเคยเป็นรองโฆษกกระทรวงคมนาคม เมื่อครั้งนายประดิษฐ์เป็นรัฐมนตรีช่วยกระทรวงคมนาคม สมัยที่รัฐบาลชวน 2
นายกฯโยน"ประดิษฐ์-บัญญัติ"แจง
เวลา 12.30 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ลุกขึ้นชี้แจงสาเหตุที่ไม่ใช้ยศทหารนำหน้าชื่อว่า พล.อ.ครวญ สุทธานินทร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกระเบียบเมื่อ 30 เมษายน 2517 ว่า ให้ยศทหารในการปฏิบัติราชการฝ่ายพลเรือนเท่าที่จำเป็น เหตุที่ไม่ใช้ยศเพราะเข้าสู่อาชีพการเมือง จึงไม่อยากใช้ให้ถูกโจมตี แม้ ร.ต.อ.เฉลิมบอกเป็นเรื่องเล็ก แต่ถือเป็นสาระ เพราะอาจกล่าวหาพาดพิงถึงสถาบัน
ส่วนการรับเงินบริจาค 258 ล้านบาท จากบริษัท เมซไซอะ นายอภิสิทธิ์ชี้แจงว่า ขณะนั้นเป็นรองหัวหน้าพรรค มีนายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรค นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เป็นเลขาธิการ ทั้งสองคนก็พร้อมชี้แจง หน้าที่ตนมี 2 อย่าง คือ 1.การแจ้งเงินบริจาคเข้าสู่พรรคการเมืองให้ กกต.ทราบ 2.รับรองงบดุล ปี 2547
จากนั้นเวลา 12.48 น. นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นชี้แจงว่า ในฐานะเป็นเหรัญญิกพรรคประชาธิปัตย์ ช่วงปี 2549 ขอยืนยันว่าการยื่นบัญชีทรัพย์สินพรรคต่อ กกต.เป็นไปอย่างโปร่งใส และเมื่อพรรคได้ทำเรื่องชี้แจงรายละเอียดบางส่วน กกต.ก็ยุติเรื่องในเวลาต่อมา
ขณะที่นายประพร เอกอุรุ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ชี้แจงว่า การที่ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวพาดพิงถึงน้องสาวตน ซึ่งไม่ได้เป็น ส.ส.นั้น น้องสาวตนบรรลุนิติภาวะแล้ว การทำธุรกิจจึงไม่ต้องปรึกษาตน เรื่องนี้จึงไม่มีความเกี่ยวข้องกับพรรค และการบริหารราชการแผ่นดินของนายกฯ "เฉลิม"ปลื้มผลงานตัวเอง
จากนั้นเวลา 12.30 น. ร.ต.อ.เฉลิมเปิดแถลงข่าวทันทีหลังอภิปรายแล้วเสร็จ โดยนำแผ่นชาร์ตข้อมูลมาแสดงและแจงรายละเอียดต่อสื่อมวลชนอีกครั้ง พร้อมระบุว่ารู้สึกพอใจกับการนำเสนอข้อมูลของตนเองมากที่สุด เพราะไม่เคยคิดว่าจะนำเสนอข้อมูลได้ดีขนาดนี้ และยืนยันว่าข้อมูลที่นำเสนอเป็นเรื่องจริงทั้งหมด บริษัท เมซไซอะฯ คือนายประจวบ และนายประจวบ คือพรรคประชาธิปัตย์ เอกสารที่ได้มาส่วนหนึ่งเพราะข้าราชการระอาพรรคประชาธิปัตย์ที่โยกย้ายตามอำเภอใจ นอกจากนี้ยังได้ข้อมูลจากอดีตอธิบดีกรมตำรวจ คนที่ 3 รวมทั้งมีคนของพรรคประชาธิปัตย์ให้ประเด็นและข้อมูลคร่าวๆ ส่วนสำเนาเช็คสั่งจ่ายเงิน ก็ต้องอาศัยฤทธิ์เดชสมัยเป็นสารวัตรกองปราบฯ ที่พอรู้จักคนทำงานในธนาคารก็ไปขอร้อง ตัวละครบางรายตนถึงกับแอบส่งคนไปติดตามดูว่าความจริงมีอาชีพอะไร "ปูด"ดวงดาวขู่ข้าราชการ
มันจบแล้ว เมื่อนายอภิสิทธิ์ไม่ชี้แจงเรื่องที่ผมอภิปราย แต่ไปชี้แจงเรื่องไม่ใช้ยศทหาร คนฟังก็จะก่ง ก๊ง เลือกตอบเฉพาะสิ่งที่ตัวเองตอบได้ ผมยังมีหลักฐานอีก จะรอให้เขาฟ้องให้ศาลเรียก แต่ก็กลัวว่าจะไม่ฟ้อง" ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว และว่า ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีคนไปข่มขู่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่เรื่องเอกสารทั้งหลาย ซึ่งหน่วยงานนั้นไม่กล้าเก็บจึงส่งไปให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) "เธอคือดาวดวงนั้น ดาวดวงน้อย ที่ยุ่งมาก เอาไม้ตายไปข่มขู่เขา ผมหมายถึงอะไรและใครสื่อคงจะรับทราบกันดี" ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว
"จตุพร"ซัด"กษิต"ผู้ร้ายสากล
ส่วนในห้องประชุมสภา นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กรณีการแต่งตั้งนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ (กต.) และการหนีทหารของนายอภิสิทธิ์ โดยระบุว่าที่มาของรัฐบาลชุดนี้ไม่มีความสง่างาม มีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน ล็อบบี้แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ตอบแทน การแต่งตั้งนายกษิตทั้ง ที่เป็นบุคคลที่อยู่ในกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บุกยึดทำเนียบ ยึดสุวรรณภูมิ มีสถานะเป็นผู้ต้องหา เป็นผู้ร้ายสากล ทำให้ประเทศชาติเสียหาย แถมยังมีการแก้กฎหมายและบทลงโทษในการยึดท่าอากาศยานแห่งชาติ จากโทษประหารชีวิต เหลือเพียงโทษปรับ 500-10,000 บาทเท่านั้น ชี้ให้เห็นเจตนาที่ต้องการจะช่วยเหลือกลุ่มพันธมิตร ไม่ยึดหลักนิติรัฐในการบริหารงาน
นอกจากนี้นายกษิตเข้ามารับตำแหน่งทำให้ประเทศเสียดินแดนจากการที่กัมพูชาตัดถนนระยะทาง 25 เมตรเข้ามาในพื้นที่ทับซ้อน แม้กองกำลังสุรนารีจะทำหนังสือถึง กต.8 ฉบับ เพื่อให้ทำหนังสือประท้วงรัฐบาลกัมพูชา แต่นายกษิตกลับไม่สั่งการใดๆ ทั้งที่ก่อนรับตำแหน่ง นายกษิตพูดหนักแน่นว่าพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม.เป็นของประเทศไทย เป็นไปได้ว่าการดำเนินการดังกล่าวเพื่อแลกกับการให้กัมพูชาร่วมประชุมอาเซียนซัมมิทที่ไทยเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์
"มาร์ค"โชว์ส.ด.9ไม่ได้หนีทหาร
นายจตุพรกล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ยังมีปัญหาเรื่องการหนีการเกณฑ์ทหารอย่างชัดเจน มีการจัดทำเอกสารเท็จเพื่อหลบเลี่ยงความผิด ขณะที่กองทัพก็ไม่แสดงความจริงใจในการจัดการกับนายกฯ ทั้งที่รัฐธรรมนูญมาตรา 102 เปิดช่องให้จัดการได้ ทั้งปลดจากตำแหน่ง เรียกคืนทรัพย์ ซึ่งไม่แน่ใจว่าอาจจะเป็นแผนการของฝ่ายทหารที่จะต่อรองเพื่อของบฯจัดซื้ออะไรก็ทำได้ง่ายขึ้น
"กำลังสร้างค่านิยมใหม่ให้กับชายไทยที่อายุครบ 21 ปี ไม่ให้เข้ามาเกณฑ์ทหาร เพราะขนาดนายกฯยังหนีได้"นายจตุพรกล่าว และว่า นอกจากนี้ การเข้าทำหน้าที่เป็น ส.ส.ครั้งแรกของนายอภิสิทธิ์ เมื่อปี 2535 ก็พบว่ามีความไม่ชอบมาพากลในเรื่องคุณสมบัติ เนื่องจากปรากฏข้อมูลว่านายอภิสิทธิ์เพิ่งสมัครเป็นสมาชิกพรรค หลังจากที่เป็น ส.ส.แล้ว 3 เดือน
นายอภิสิทธิ์ขอใช้สิทธิกล่าวชี้แจงว่า ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้ช่วยเหลือกลุ่มบุคคลที่เข้าไปบุกยึดสนามบินแต่อย่างใด เพราะมีนโยบายชัดเจนที่จะปกป้องสนามบินไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนในอดีต ส่วนการออกกฎหมายใหม่มาใช้นั้นจะไม่มีผลย้อนหลังแต่อย่างใด ใครที่ทำความผิดก่อนหน้านี้ยังต้องถูกลงโทษตามกฎหมายเดิม ส่วนที่อ้างว่าพบข้อมูลเป็นสมาชิกพรรคหลังได้รับเลือกเป็น ส.ส.แล้ว ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ ตนมีหลักฐานยืนยันว่าสมัครเป็นสมาชิกพรรคตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2535
ส่วนการรับราชการทหาร นายอภิสิทธิ์ชี้แจงว่า ไม่มีการหนีทหาร ตนได้ขอผ่อนผันและได้ขึ้นทะเบียในเดือนกรกฎาคม 2529 ซึ่งมีต้นขั้วยืนยันได้ นอกจากนี้ ช่วงกลางปี 2530 ได้เข้ารับราชการทหารด้วยการสอนที่ ร.ร.นนายร้อย แต่ไม่มียศเพราะยังไม่ได้ผ่านการฝึก แต่จะมีการจัดหลักสูตรฝึกเหมือน ฝึก รด. และหลังฝึกเสร็จได้ขอพระราชทานยศจึงมีการขอเอกสารหลักฐาน รวมทั้ง ส.ด. 9 ที่ทำหาย โดยขอใบแทน จนได้ยศ ร.ต. จากนั้นช่วงปลายปี 2531 ได้ไปเรียนต่อจึงทำเรื่องลาไปปฏิบัติภารกิจและได้รับอนุมัติให้ลาออก ซึ่งถูกต้องทุกประการ มีการรับราชการทหารเกิน 1 ปี ซึ่งการรับราชการทหารตามระเบียบ ตามวุฒิคือ 1 ปี
"ผมทำถูกตามกฎหมาย ไม่ได้ขาดคุณธรรม จริยธรรม หรือสร้างมาตรฐานใหม่ให้ประเทศไทย ทุกเรื่องไม่มี 2 มาตรฐาน" นายอภิสิทธิ์กล่าว
ปชป.เผย"เฉลิม"แค้นส่วนตัว
เวลา 15.30 น. นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวนายกรัฐมนตรี เปิดแถลงข่าวว่า อยากถาม ร.ต.อ.เฉลิมว่ามีอะไรกับนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อดีตประธานทีพีไอ โพลีน หรือไม่ เพราะเคยมีคนบอกว่าครั้งหนึ่ง ร.ต.อ.เฉลิมนัดนายประชัย ผ่านคอลัมนิสต์ ที่ห้องอาหารจีน โรงแรมเดอะแกรนด์ฯ เพื่อขอเงินนายประชัยไปฟื้นฟูพรรคมวลชน แต่นายประชัยปฏิเสธ ทำให้ ร.ต.อ.เฉลิมมีอะไรคาใจนายประชัยหรือไม่ หากเรื่องนี้เป็นจริง ร.ต.อ.เฉลิมไม่ควรใช้ความแค้นส่วนตัวมาระบายในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรอันทรงเกียรติ
โฆษกทบ.เยาะข้อมูลเก่า
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ข้อมูลที่ฝ่ายค้านนำมาอภิปรายเรื่องการหนีทหารของนายอภิสิทธิ์เป็นข้อมูลเก่า กองทัพบกไม่จำเป็นต้องตรวจสอบ เพราะไม่ได้มีประเด็น และการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ผู้บัญชาการทหารบก ก็ไม่ได้สั่งให้ติดตาม เพราะการเมืองต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของการเมืองที่จะต้องดำเนินการกันไป
น้อง"บิ๊กป๊อก"กำข้อมูลทหาร
แหล่งข่าวจากกองทัพบกเปิดเผยว่า ข้อมูลการหนีทหารของนายกรัฐมนตรีที่นายจตุพรอภิปรายได้มาจากกรมจเรทหารบก แต่ไม่ค่อยตรงกับข้อเท็จจริง เพราะต้องมาจากหน่วยบัญชาการกำลังสำรอง ต้นสังกัดที่ดูแลเการเกณฑ์ทหารโดยตรง ทั้งนี้ ผู้รู้ข้อเท็จจริง คือ พล.ต.ธนดล เผ่าจินดา รองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการกำลังสำรอง น้องชายแท้ๆ ของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งขณะนั้น พล.ต.ธนดล เป็น ผอ.กองสัสดี และสรุปรายงานเสนอผู้บัญชาการทหารบกสมัยนั้น คือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ทั้งนี้ พล.ต.ธนดลเสนอข้อมูลที่เกี่ยวกับการเกณฑ์ทหารของนักการเมือง มีอยู่ 2 คน คือ นายอภิสิทธิ์ เ และนายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ บุตรชายของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์
ท้าพท.ยื่นป.ป.ช.สอบเอสเอ็มเอส
จากนั้นเวลา 15.30 น. นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายนายอภิสิทธิ์ กรณีส่งข้อความสั้น (เอสเอ็มเอส) ขอบคุณประชาชน โดยพาดพิงถึงนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีคลัง ว่า มีโทรศัพท์จากบุคคลหนึ่งติดต่อไปยัง 3 บริษัทมือถือ เพื่อขอความร่วมมือส่งข้อความจากนายอภิสิทธิ์ โดยในช่วงเช้าวันที่ 16 ธันวาคม 2551 นายจิรายุ ตุลยานนท์ นักวิชาการคณะทำงานผู้นำฝ่ายค้าน เชิญผู้บริหารทั้ง 3 บริษัทเข้าประชุมที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ โดยมีนายกรณ์เข้าร่วมด้วย และได้รับทราบว่าการส่งเอสเอ็มเอสนั้นผู้รับต้องมีความประสงค์รับ รวมทั้งการส่งมีค่าใช้จ่ายครั้งละ 1 บาท นายจิรายุจึงขอร้องให้ทั้ง 3 บริษัทส่งเอสเอ็มเอส แล้วจะส่งจดหมายขอความร่วมมือให้ภายหลัง จากนั้น เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ประชาชนได้ร้องเรียนไปยังบริษัทมือถือทั้ง 3 แห่ง ทำให้ลดการส่งเอสเอ็มเอส 50 ล้านเลขหมาย เหลือ 5 ล้านหมายเลข จึงขอตั้ง 7 ข้อกล่าวหา ได้แก่ ผู้ใต้บังคับบัญชาใช้อำนาจหน้าที่มิชอบ มีการเรียกรับผิดประโยชน์เกิน 3,000 บาท เป็นต้น
จากนั้นนายอภิสิทธิ์ และนายกรณ์ชี้แจงว่า การส่งข้อความสั้นไม่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ส่วนตัว ถือเป็นการเชิญชวนประชาชนให้มามีส่วนร่วมทางการเมือง และการตอบกลับนั้นเป็นความสมัครใจของเจ้าของโทรศัพท์เอง และดีใจหากฝ่ายค้านยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อตรวจสอบ เพื่อที่จะได้ชัดเจนว่ารัฐบาลได้ทำตามกฎกติกาหรือไม่ และสังคมจะได้ประโยชน์หรือไม่
ฮาครืน"ชัย"ให้ระวังเกือกร่อน
เวลา 16.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย อภิปรายพาดพึงถึงกลุ่มพันธมิตรจับมือพรรคประชาธิปัตย์ล้มรัฐบาล โดยมีหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตัวจริงกำกับอยู่ข้างนอก เป็นหัวหน้าพรรคกิตติมศักดิ์ตลอดกาล ฉะนั้น นายกฯจึงได้อำนาจมาจากการฆาตกรรมทางการเมือง เสมือนบุคคลที่เป็นอาชญากรทางประชาธิปไตย เพราะที่ผ่านมาพฤติกรรมของพันธมิตรและนายอภิสิทธิ์ แยกกันไม่ออก พันธมิตรเคลื่อนไหวข้างนอกอย่างไร นายอภิสิทธิ์ก็เคลื่อนไหวในสภาเช่นนั้น ทำให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ประท้วงกันวุ่นวาย โดยบอกให้นายสุนัยพูดว่าหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตัวจริงชื่ออะไร จนนายชัย ชิดชอบ ที่ทำหน้าที่ประธานการประชุม ต้องขอร้องให้สมาชิกสงบสติอารมณ์ โดยให้เหตุผลว่าไม่อย่างนั้นอาจเกิดเหตุการณ์เกือกร่อนเหมือนสภาเกาหลีได้ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตัวจริงคือ "ฯพณฯ ประสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ทำให้ที่ประชุมเฮกันลั่น
แฉซื้อครุภัณฑ์อาชีวะมิชอบ
จากนั้นนายสุนัยอภิปรายต่อว่า การจัดซื้อครุภัณฑ์ของสำนักงานการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่มีการจัดสรรงบฯไม่ถึง 2 ล้านบาทเท่ากันทุกแห่ง เพื่อเลี่ยงการประมูลถึง 404 แห่ง รวม 750 ล้านบาท แต่จะมีคนคอยบงการว่าต้องซื้ออะไรบ้าง โดยมีหนังสือส่งไปถึงอาชีวศึกษาจังหวัดทุกจังหวัดให้ตอบกลับด่วนภายในวันเดียวว่าจะเลือกชุดครุภัณฑ์แบบใดจาก 3 แบบ ราคา 1.9, 1.8 และ 1.5 ล้านบาท หากอาชีวะใดไม่เลือกก็จะไม่ได้รับการจัดสรรงบฯ ถือเป็นความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการฮั้วมาตรา 4, 12 และ 13 และเข้าข่ายผิดกฎหมายแข่งขันทางการรค้ามาตรา 27 อีกด้วย การกระทำที่เร่งรีบเสนอซื้อส่อให้เห็นว่ามีการร่วมมือกับพ่อค้าชื่อ "ปัญญา" หากอยากทราบว่าเป็นใคร ต้องถามนางนาถยา เบ็ญจศิริวรรณ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ที่รู้จักนายปัญญาคนนี้ดี และนายกฯก็รู้เรื่อง เพราะต้องพึ่งคนเหล่านี้ แต่น้ำท่วมปาก
"นายปัญญามีบิดาเป็นพ่อค้าไม้แถวภาคตะวันออก สนิทกับพ่อค้าไม้ใหญ่ที่มีลูกเป็นคนดังอยู่ที่ จ.ฉะเชิงเทรา หากถาม น.ส.นริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ก็จะทราบดี ตนได้เตรียมเอกสารทั้งหมดไปยื่นต่อ ป.ป.ช.แล้ว" นายสุนัยกล่าว
"นริศรา"ย้อน"ศรีเมือง"ตั้งงบฯ
ด้าน น.ส.นริศราชี้แจงทันทีว่า งบฯที่นายสุนัยระบุนั้นตั้งไว้ตั้งแต่ปี 2551 สมัยที่นายศรีเมือง เจริญศิริ เป็นรัฐมนตรี ศธ. จึงไม่สงสัยว่าทำไมนายสุนัยจึงรู้ข้อมูลละเอียด ขอชี้แจงว่างบจัดซื้อคุรุภัณฑ์ของอาชีวศึกษานั้น เดิมตั้งไว้ที่ 1.9, 1.8 และ 1.5 ล้านบาท อยู่แล้วโดยไม่มีรายละเอียดของคุรุภัณฑ์ สำนักงานอาชีวศึกษาจึงทำหนังสือสอบถามไปยังสำนักงบประมาณ แล้วปฏิบัติตามนั้นทุกประการ ยินดีให้ฝ่ายค้านนำไปยื่นให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ
ขณะที่นางนาถยาลุกขึ้นชี้แจงว่า ตนไม่รู้จักนายปัญญาที่นายสุนัยกล่าวถึง และสามีของตนก็ไม่ได้ชื่อปัญญาแต่ชื่อศิรินทร์
"ขอยืนยันว่า ครอบครัวดิฉันไม่ทำอย่างที่คุณสุนัยพูดแน่ เพราะกลัวลูกดิฉันโง่ รู้ดีว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญต้องให้ความจริงใจ"
จากนั้นนายสุนัยได้ลุกขึ้นขอให้นางนาถยา ยืนยันชื่อของสามีกลางที่ประชุมอีกครั้ง เพราะตนมีเอกสารการจดทะเบียนบริษัทและพร้อมมอบให้กับประธาน ส่วน น.ส.นริศราที่บอกว่าไม่ได้เป็นตัวแทนของใคร อยากถามว่าที่ได้เป็นรัฐมนตรีมาได้เป็นตัวแทนจากพรรคไหน ทำให้นายรณฤทธิชัย คานเขต ส.ส.ยโสธร กลุ่มบ้านริมน้ำ พรรคเพื่อแผ่นดิน ลุกขึ้นประท้วงว่า รู้จักนายสุนัยดี ขอให้อภิปรายตรงไปตรงมาอย่าเสียดสีออกนอกลู่นอกทางเพราะไม่เกิดประโยชน์
พผ.-พท.ให้ของลับกลางที่ประชุม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายรณฤทธิชัยยังพูดไม่จบประโยค นายสุรเชษฐ์ ชัยโกศล ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นกล่าวสวนทันทีว่า นายรณฤทธิชัย คานเขต ส.ส.เพื่อแผ่นดิน ลุกขึ้นมาประท้วงหรืออภิปราย หากอยากเป็นรัฐมนตรีให้รอปรับ ครม.รอบหน้าก่อน นายรณฤทธิชัยจึงตอบโต้ว่า "สมัยนี้แหละ" เมื่อนายรณฤทธิชัยกล่าวจบ นายสุรเชษฐ์ก็ตะโกนด่าให้ของลับลั่นห้องประชุม พร้อมชูนิ้วกลางให้ ทำให้นายรณฤทธิชัยตะโกนสวนให้ของลับกลับไปเช่นเดียวกัน นายสุรเชษฐ์จึงได้ด่ากลับอีกครั้ง พร้อมกับตะโกนถ้าว่า ถ้าแน่จริงให้ไปเจอกันหลังห้องประชุม และแจกของลับสำทับอีกครั้ง ทำให้ทั้งสองซึ่งยืนอยู่คนละฟากของห้องประชุมเดินปรี่เข้าหากัน โดยนายรณฤทธิชัยกำหมัดและตะโกนถามว่า "เฮ้ย เมื่อกี้มึงพูดอะไรŽ ทำให้เพื่อน ส.ส.หลายพรรคต้องเข้ามาแยกทั้งคู่ออกจากกัน ขณะที่นายสุนัยทำสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว เหตุชุลมุนเกิดขึ้นกว่า 20 นาที ก่อนที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย จะพานายสุรเชษฐ์ออกจากห้องเพื่อสงบสติอารมณ์ และให้นายนที สุทินเผือก ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย หรือ กรุง ศรีวิไล เพื่อนนักแสดงนั่งประกบนายรณฤทธิชัย
"เฉลย22 มี.ค.ใครหัวหน้าปชป.
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า บรรยากาศในห้องประชุมยังวุ่นวาย เมื่อนายอภิชาติ สุภาแพ่ง ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นทวงคำตอบจากนายสุนัยว่า ใครคือหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตัวจริงที่อยู่นอกสภา แต่นายสุนัยยังโยกโย้และใช้สัญลักษณ์ โดยเอามือลูบหัวที่มีผมสีขาว พร้อมกับบอกว่า ให้รอฟังโฟนอินวันที่ 22 มีนาคม จนนายชัยต้องปรามทั้งสองฝ่ายด้วยน้ำเสียงดุดันว่า ให้พูดเฉพาะเรื่องอภิปราย ไม่ใช่พูดดเรื่องไร้สาระ
"อภิสิทธิ์"โต้หัวหน้าตัวจริง
จากนั้นนายสุนัยอภิปรายอีกครั้งโดยยืนยันว่า คนที่ทำเรื่องนี้เป็นข้าราชการสำนักงบประมาณซึ่งเป็นนครศรีธรรมราช และชอบไปนั่งประชุมกันที่ร้านอาหารเบียร์หิมะ ย่านประชาชื่น ซึ่งรู้กันในชื่อว่า เป็นขบวนการเบียร์หิมะ จากนั้นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ชี้แจงว่า หากมีรัฐมนตรีเข้าไปเกี่ยวข้องทำไมไม่ยื่นฟ้องรัฐมนตรีดังกล่าวด้วย ส่วนการกล่าวหาว่า เป็นหัวหน้ารัฐบาลตัวจริงหรือตัวปลอมขอยืนยันว่า จะตั้งใจทำงาน ในสิ่งที่ถูกต้อง และจะทำหน้าที่ต่อไป เพราะตนเป็นของจริง
ยื่นปปช.ถอด "จุรินทร์-นริศรา"
ส่วน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงว่า ไม่ได้กำกับดูแลกรมอาชีวศึกษาโดยตรง แต่ในฐานะรัฐมนตรีว่าการก็ต้องตรวจสอบ ยอมรับว่ามีการแตกลูกเป็น 1.9 ล้าน ตามที่อภิปราย แต่เกิดก่อนมารับตำแหน่ง สั่งให้รัฐมนตรีช่วยไปตรวจสอบ
เวลา 19.30 น. นายสุนัยเปิดแถลงข่าวว่า จะยื่นคำร้องถึง ป.ป.ช. เพื่อถอดถอนนายจุรินทร์ และ น.ส.นริศรา เกี่ยวกับงบฯจัดซื้อครุภัณฑ์ สำนักงานอาชีวะศึกษาต่อไป
วุ่น"เชาวริน"โชว์รูปตัดคอทหาร
เวลา 19.20 น. ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นกล่าวอภิปรายโจมตีกรณีที่นายอภิสิทธิ์นำเหรียญที่ระลึกฉลอง 25 พุทธศตวรรษ มาประดับโดยไม่มีสิทธิ และการไม่ปรากฏข้อมูลตุ้มหูเพชรของภริยา มูลค่ากว่า 6-7 แสนบาท ในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. พร้อมทั้งนำรูปนายอภิสิทธิ์ และภริยา ที่ตัดเค้กแต่งงานมาโชว์ โดยระบุให้ตรวจสอบว่าตุ้มหูดังกล่าวยังอยู่ แต่ไม่ได้แจ้ง หรือขายแล้ว
ร.ต.ท.เชาวรินยังอภิปรายโจมตี การแก้ไขปัญหาภาคใต้ ที่มีเจ้าหน้าที่ทหารถูกลอบสังหารไปจำนวนมาก ด้วยวิธีการฆ่าตัดคอ และเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมทั้งนำภาพทหารถูกตัดคอ ที่เซ็นเซอร์ภาพบ้างส่วนมาแสดง จนทำให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์หลายคน ยกมือประท้วงว่า ไม่เหมาะสม พร้อมโต้แย้งว่า รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นต้นเหตุความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ส่งผลให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยหลายคนไม่พอใจยกมือประท้วง และให้ถอนคำพูด ก่อนจะโต้เถียงกันอย่างรุนแรง จนนายเจะอามิง โตะตาหยง ส.ส.นราธิวาส พรรคประชาธิปัตย์ เดินออกไปจากห้องประชุม ทำให้การประชุมหยุดชะงักกว่า 10 นาที ก่อนประธานการประชุมจะวินิจฉัยว่าจากนี้ไปหากใครจะนำภาพถ่ายวีซีดีมาเป็นหลักฐานประกอบจะต้องผ่านการตรวจสอบก่อน
"ประดิษฐ์"ถกปชป.ก่อนซักฟอก
สำหรับการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศ โดยรัฐมนตรีที่มีรายชื่อถูกอภิปรายต่างเดินทางมาก่อนเวลา ยกเว้นนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่ากระทรวงการต่างประเทศ ที่ไม่ได้เข้าทางประตูด้านอาคารรัฐสภา
ทั้งนี้ ก่อนการอภิปราย เวลา 08.30 น.ที่ห้องรับรองนายกรัฐมนตรี อาคารรัฐสภา 2 รัฐมนตรีที่ถูกอิปราย อาทิ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เข้าร่วมหารือกับนายอภิสิทธิ์ มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมหารือด้วย เพื่อซักซ้อมและเตรียมข้อมูลในการชี้แจง กรณีเงินบริจาคให้พรรคประชาธิปัตย์ จำนวน 258 ล้านบาท เพื่อป้องกันการชี้แจงทับซ้อนระหว่างนายประดิษฐ์และนายอภิสิทธิ์
ขณะเดียวกันที่ชั้น 2 อาคารรัฐสภา นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานพรรคร่วม (วิป) รัฐบาล เรียกประชุมคณะทำงานเพื่อรับมือการป่วนและเล่นเกมการเมืองของฝ่ายค้าน ส่วนพรรคภูมิใจไทยเรียกประชุมรัฐมนตรีและ ส.ส.ที่ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 3 ขณะที่พรรคเพื่อไทยนัดที่ห้องวิปฝ่ายค้าน ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 1 แต่มี ส.ส.เข้าร่วมไม่กี่คน
"มาร์ค"มั่นใจสอบผ่าน
ก่อนเข้าร่วมประชุม นายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์เมื่อถามว่า ร.ต.อ.เฉลิมระบุว่าหลังการอภิปราย นายกฯอาจถึงขั้นเอาปี๊บคลุมหัว นายอภิสิทธิ์หัวเราะอย่างอารมณ์ดี พร้อมกล่าวว่า "ผมไม่เคยทำอะไรในชีวิตที่ต้องทำอย่างนั้น ไม่กลัวหมัดเด็ด เพราะผมรู้ว่าผมทำอะไร และทำงานทางการเมืองมาก็ด้วยความสุจริตใจมาตลอด ยึดถือประโยชน์ส่วนรวม เพราะฉะนั้น ตรงนี้เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าทำให้ผมสบายใจ แต่ถ้าคุณเฉลิมมีข้อมูลอะไรก็เสนอมา ถ้าข้อมูลคลาดเคลื่อน ผมจะชี้แจง แต่ถ้าข้อมูลมีน้ำหนัก จะดูว่ามีเรื่องอะไร แต่ผมมั่นใจว่าไม่มีอะไร และยังยึดหลัก 9 ข้อ"
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่ติดใจที่ ส.ส.เพื่อแผ่นดิน 12 คน กลุ่ม พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ส.ส.สัดส่วน จะงดออกเสียงสนับสนุนนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพราะที่ผ่านมาพรรคนี้แบ่งกันชัดเจนอยู่แล้ว
"ชี้ดีเอสไอไม่เรียก"บัญญัติ"แจง
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังไม่ได้รับรายงานกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ส่งเรื่องกรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาทให้กับพรรคประชาธิปัตย์ แก่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อให้พิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์ เข้าใจว่าดีเอสไอสอบในประเด็นของบริษัท ส่วนจะพาดพิงพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่นั้นยังไม่ทราบ เข้าใจว่าดีเอสไอยังไม่มีการเชิญผู้บริหารพรรคขณะนั้นไปชี้แจง ทั้งนี้ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ส.ส.สัดส่วน ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้นก็พร้อมชี้แจง
"แม้ว"คุมเกม-พท.ตัดปมแม่นายกฯ
แหล่งข่าวจากแกนนำพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า แกนนำพรรคเพื่อไทย คือนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ หัวหน้ากลุ่มวังบัวบาน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน พร้อมด้วยอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลสมชาย พร้อมทีมยุทธศาสตร์พรรค ได้ตั้งวอร์รูม ติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่ห้องประชุมพรรคเพื่อไทย ชั้น 10 อาคารบีบีดี บิวดิ้ง ถนนพระราม 4 โดยประสานงานกับนายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน ที่ตั้งวอร์รูมที่ห้องวิปฝ่ายค้าน ชั้น 3 อาคารรัฐสภาอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งประสานงานเป็นระยะกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ติดตามการถ่ายทอดสดการอภิปรายไม่ไว้วางใจในต่างประเทศ ปรากฏว่า พ.ต.ท.ทักษิณพอใจการอภิปรายของ ร.ต.อ.เฉลิม เพราะนำเสนอเข้าใจง่าย และพรรคประชาธิปัตย์ชี้แจงไม่ชัดเจน วอร์รูมยุทธศาสตร์พรรคจึงให้ปรับลดจำนวน ส.ส.ที่อภิปรายลง และตัดประเด็นส่วนตัวของมารดานายกรัฐมนตรี จัดรายการ "เติมสุข" ทางสถานีวิทยุแห่งหนึ่ง โดยไม่เสียค่าเช่าเวลา เพราะอาจกลบประเด็นบริษัทเมซไซอะฯไป
พท.เสียว10งูเห่างดโหวต
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ทีมยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยยังได้วิเคราะห์ถึงการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคเพื่อไทย โดยเป็นห่วงว่าจะมี ส.ส.ในพรรคเพื่อไทย 8-10 คนงดออกเสียงหรือไม่เข้าร่วมประชุมสภาในวันลงมติอภิปราย ขณะนี้แกนกลุ่มวังบัวบานสั่งให้ ส.ส.คนสนิทจับตาดูเป็นพิเศษมาก่อนหน้านี้ และพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ ส.ส.กลุ่มเสี่ยงทั้งหมดได้เข้าใกล้ข้อมูลการอภิปรายไม่ไว้วางใจ