ที่มา Thai E-News
คนอื่นจะเป็นอย่างไรผมไม่รู้ แต่สำหรับผม เมื่อยืนอยู่บนรถนำคนเสื้อแดงคันที่ 1 บุกหน้าทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 24 กุมภาฯ ร่วมกับคุณจักรภพ เพ็ญแข และณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ในวัยของคนที่เคยผ่านเวทีการต่อสู้เช่นนี้มาก่อนหลายครั้งนับแต่ยุค 14 ตุลาคม 2516 เป็นต้นมา อธิบายอารมณ์ความรู้สึกได้ดังนี้ครับ..
ไม่รู้สึกสนุกสนาน ตื่นเต้น เร้าใจ คึกคะนองเหมือนวัยหนุ่ม ห่วงใยชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนมากเพิ่มขึ้น เหน็ดเหนื่อยกับภารกิจเก่าๆที่ซ้ำซาก ไม่ท้อแท้ ไม่สิ้นหวัง หากกลับเชื่อมั่นในมวลชนมากขึ้น แต่เศร้าสลดและสงสารพี่น้องประชาชน ชนชั้นผู้ต้อยต่ำจนน้ำตาซึมโดยไม่บอกใคร ยิ่งย้อนคิดถึงคำพูดดูถูกดูแคลนแกมเยาะเย้ยเหยียดหยามรากหญ้าว่าโง่เง่าและถูกซื้อมาก็ยิ่งแค้นใจ จนอดคิดถึงวันเวลาที่เคยใช้อาวุธต่อสู้ในป่าเขาไมได้
“หนี้เลือดเดือดแดง ทารุณของเผด็จการ หลายปีที่ผ่านทับถมตลอดมา”
บทเพลงของจิตร ภูมิศักดิ์ ปลุกเร้าวิญญาณการต่อสู้อยู่กึกก้อง คุณเข้าใจไหมว่า ประชาชนที่ต่อสู้ด้วยความเข้าใจว่า เขาต่อสู้เพื่ออะไร มีเป้าหมายอย่างไร นั้น เขาต่อสู้ด้วยความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญขนาดไหน
จุดที่เราต้องฝ่าข้ามไปให้ได้คือ ด่านกั้นตรงตีนสะพานชมัยมรุเชษฐ์ที่เลี้ยวเข้าไปยังถนนด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ผมนึกไม่ออกว่า เราจะฝ่าข้ามไปได้อย่างไร ในเมื่อด่านที่ขวางกั้นนั้นแน่นหนาด้วยสิ่งกีดขวางซ้อนทับกันหลายชั้น เริ่มตั้งแต่ แท่งคอนกรีตขนาดใหญ่สูงราวหัวเข่าคล้องโซ่ร้อยติดกันไว้หลายอัน ต่อด้วยรั้วเหล็ก ลวดหนาม ถัดไปเป็นรถบดถนนจอดปิดทางติดต่อกันอีกสามสี่คัน เลยรถบดเป็นรถบรรทุกน้ำของ ก.ท.ม.ขวางกั้นไว้อีกสองสามคัน หลังจากนั้นยังมีรถตำรวจคันใหญ่ที่เขียนคำว่า “police” จอดกั้นไว้อีกสามคัน มีรายละเอียดที่ควรเล่าเพิ่มเติมก็คือ รถบดถนนนั้นเขาถอดแบตเตอรี่ออก คิดล่วงหน้าว่าอาจมีพวกเราบางคนขับได้ ส่วนรถตำรวจ และรถน้ำของ ก.ท.ม. ปิดประตูรถ ล็อคกุญแจไว้เรียบร้อย
มันไม่อาจต้านแรงมหาประชาชนได้หรอกครับ พี่น้องเสื้อแดงช่วยกันเอาลวดสลิงคล้องลากแท่งคอนกรีตออกไปก่อน จากนั้นก็ตัดโซ่เคลื่อนรั้วเหล็กและลวดหนามออกให้พ้นทาง ศึกใหญ่อยู่ที่รถบดถนนอันหน่วงหนักนี่แหละครับ ที่ต้องปล้ำฟัดลากออกด้วยรถหกล้อบวกแรงคน ต้องทำด้วยความระมัดระวังเพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับพี่น้องเรา ลากรถบดพ้นเปิดทางให้คนข้ามเข้าได้ เหลือรถน้ำกับรถตำรวจก็ไม่อยากเกินพลังคนจะร่วมแรงกันผลักดันออกไปเพื่อเปิดทางให้รถแกนนำคันที่ 1 ผ่านเข้าไปได้ ร่วมสองชั่วโมงแหละครับ ชุมชนคนเสื้อแดงจึงผ่านเข้ายึดพื้นที่ถนนหน้าทำเนียบรัฐบาลได้ ประชาชนฟังแกนนำและกระทำการอย่างมีระเบียบวินัย ไม่มีความเสียหายใดๆเกิดขึ้นกับทรัพย์สิ่งของของทางราชการ ทุกอย่างอยู่ในสภาพเรียบร้อยเป็นปกติ
แดดเปรี้ยงปานหัวแตกเผาผิวผ่าวร้อนจนเกรียมไหม้ หัวใจเต้นถี่แรงเร็วด้วยอ่อนเพลีย รู้สึกเหมือนจะเป็นลมจนต้องควักยาดมออกมาสูด ท้องว่างหวิวหิวระโหย คิดขึ้นได้ว่าแต่เช้ามายังไม่มีอะไรตกถึงท้อง จึงคว้าหาน้ำมาดื่มอักๆลงไปพอไม่ให้ท้องว่าง เรี่ยวแรงพลังใจนั้นเปี่ยมล้น หากแต่ร่างกายและสังขารวันเวลานี้อ่อนโรยชราลงนักแล้ว ผมรับไมโครโฟนจากหมอเหวงและจักรภพ ช่วยพูดสลับไปในบางครั้ง เมื่อเราเปิดสิ่งกีดขวางออกได้แล้ว ประชาชนก็เริ่มทยอยเดินผ่านเข้าไปยังถนนหน้าทำเนียบรัฐบาลหน้าตึกไทยคู่ฟ้า และเมื่อเปิดทางกว้างพอ รถนำคันที่หนึ่งของพวกเราก็ค่อยๆเคลื่อนตัวไปตามถนนรอบทำเนียบ
เวลานั้นดวงอาทิตย์หงายแจ้งจรัสฟ้า ผมประกาศลงไปในไมโครโฟนว่า นับเป็นวาระอันสำคัญที่พี่น้องเราได้มาร่วมกันเวียนเทียนรอบทำเนียบรัฐบาลท่ามกลางสุริยันอันกระจ่างฟ้า แสดงว่าเราเคยทำบุญร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน ซึ่งในชาตินี้ได้มาเวียนเทียนรอบทำเนียบรัฐบาล เราก็จะได้รับผลบุญร่วมกันให้ร่ำรวย มีสุข ร่มเย็นวัฒนาถาวรสืบต่อไป.
ก็มันร้อนจริงๆครับ เล่นเอาพวกเราแขนไหม้จมูกลอกไปตามๆกัน เห็นอกเห็นใจพี่น้องประชาชนที่อดทนกันทั่วหน้า
การเดินทางปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลครั้งนี้ เราสั่งสมประสบการณ์การชุมนุมอย่างสันติสงบไว้ได้อีกครั้งอย่างงดงาม อาจมีคนเสื้อแดงที่ออกมาร่วมชุมนุมทุกครั้งอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย หรือออกมาหนึ่งครั้งหรือมากกว่านั้น ทุกคนมีพี่น้องเพื่อนพ้องญาติมิตร ทุกคนสามารถอธิบายขยายผลไปตามสัจจะความเป็นจริงที่ได้เห็น เห็นความแตกต่างอย่างแจ่มชัดระหว่างการเคลื่อนไหวของสีแดงกับสีเหลือง
สร้างสมกำลัง รอคอยโอกาส เราเดินมาถูกทางแล้ว ไม่ต้องรีบร้อน ฝึกปรือประชาชนให้เรียนรู้การชุมนุมอย่างสันติสงบท่ามกลางการปฏิบัติที่เป็นจริง วันเดียวกลับบ้านเป็นอย่างไร ยืดเยื้อข้ามคืนต้องเตรียมการอะไรบ้าง กำลังหลัก กำลังรอง กำลังสมทบ เราเอาบทเรียนที่เป็นจริงหยิบยื่นให้ประชาชนได้เรียนรู้ และให้ประชาชนจัดตั้งกันขึ้นเอง มีบางคนเป็นห่วง อะไรก็จะให้แกนนำส่วนบนนำพาไปเสียทั้งหมด ลัทธิสั่งการจากหัวก่อความผิดพลาดมาแล้วในอดีต ฝนเทียมหรือจะสู้พายุฝนคะนองตามธรรมชาติได้ ความรุนแรงหนักหน่วงย่อมต่างกันราวฟ้ากับดิน บทเรียนการลุกขึ้นสู้ของประชาชนเกือบทุกครั้งตามประวัติศาสตร์ล้วนสุกงอม จนผลไม้ปลิดขั้วร่วงหล่นลงจากลำต้น
สิบสี่ตุลาคม 2516 เป็นพลังธรรมชาติที่สู้โดยบริสุทธิ์ แม้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็ไม่ได้นำการต่อสู้ครั้งนั้น หากแต่เป็นแนวร่วมต่อสู้ในบางส่วน เช่นเดียวกับทหารใหญ่ที่ไม่เอากับรัฐบาลทราราชถนอม-ประภาสก็มิได้เป็นผู้นำการต่อสู้เช่นกัน หากแต่ร่วมก่อการสนับสนุนสมทบ เพราะเห็นด้วยกับขั้วประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตย หลังเหตุการณ์สิบสี่ตุลาฝ่ายนักศึกษาประชาชนผู้ชนะจึงมิได้จัดตั้งพรรคการเมือง ไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกลไกอำนาจ ปล่อยให้พรรคอำมาตยาอย่างประชาธิปัตย์ เป็นรัฐบาลที่ทำอะไรไม่ได้เลยสมยอมให้ทหารปราบปรามนักศึกษาประชาชนอย่างเหี้ยมโหดป่าเถือน และถูกทหารทำรัฐประหารในที่สุด เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519
กรณีดังกล่าวต่างจากเหตุการณ์หลังเดือนพฤษภาคม 2535 ที่ทหารยึดอำนาจและประชาชนต่อสู้จนทหารใหญ่กลุ่ม พล.อ.สุจินดา คราประยูร พ่ายแพ้ แต่กลุ่มพลตรีจำลอง ศรีเมืองซึ่งต่อสู้คัดค้านเผด็จการร่วมกับประชาชนอย่างแข็งขัน จัดตั้งพรรคการเมืองชื่อ “พลังธรรม” ขึ้นมา เข้าสู่กลไกเลือกตั้งตามระบบรัฐสภา ก็จะเหมือนกับที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อันมี พลตรีจำลอง ศรีเมืองเข้าร่วมด้วยเช่นกันกำลังคิดจะตั้งพรรคชื่อ “เทียนแห่งธรรม” ขึ้น นี่คือความต่างที่อาจต้องวิเคราะห์รายละเอียดกันต่อไป
ข้อสังเกตุนี้ต้องการชี้ให้เห็นว่า เราควรแยกพลังการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอันบริสุทธิ์ของประชาชน ออกจากแกนนำการต่อสู้บางคนที่อาจมีเป้าหมายอำนาจการเมืองเฉพาะกลุ่มแฝงซ่อนอยู่ การต่อสู้ของประชาชนไม่มีจุดสิ้นสุด เพราะต่อสู้เพื่อสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง ส่วนการต่อสู้ของแกนนำอาจหยุดเพียงแค่ตนเองได้มีอำนาจ พบเจอสภาพการณ์เยี่ยงนี้บ่อยครั้งเข้า ประชาชนก็ได้บทเรียน และพัฒนาพลังต่อสู้อันบริสุทธิ์ของตนให้เข้มแข็งยิ่งๆขึ้น
ดูได้จากความเข้มแข็งของพี่น้องประชาชนในปัจจุบันที่ขยายตัวเติบใหญ่ จัดตั้งก่อแกน ขยายผลกระจัดกระจายไปทั่วทุกจังหวัด คิดค้นระดมทุน ดำเนินการกันเอง ประสานองค์กรย่อยร้อยรัดลุกลามเป็นประกายไฟน้อยๆที่ค่อยๆไหม้ลามทุ่งไปเรื่อยๆ กลายไปเป็นครอบครัวสีแดงที่ฆ่าไม่ตายทำลายไม่หมด แดงทั้งแผ่นดิน รอพร้อมระดมพลครั้งยิ่งใหญ่ซึ่งจะเป็นไปตามธรรมชาติ
ขอนแก่น อยุธยา จันทบุรี เชียงราย เชียงใหม่ และ อีกมากมายหลายอำเภอหลายจังหวัด คือการเตรียมพร้อมของเรดอาร์มี่ กองทัพแดง การเคลื่อนไหวของกองทัพมวลชนคนเสื้อแดงเหล่านี้จะเป็นไปตามธรรมชาติแห่งพลัง ดั่งสายน้ำ ดั่งแสงเพลิง ดั่งคลื่นมหาสมุทร และแน่นอนว่าพลังธรรมชาติย่อมยิ่งใหญ่เหนือพลังอื่นใด แผ่นดินจะไหว ภูเขาไฟจะระเบิด ไม่มีอะไรห้ามได้ ผมเชื่อมั่นว่าการชุมนุมคนเสื้อแดงครั้งใหญ่เที่ยวนี้จะมากมายมหาศาลยิ่งกว่าที่เคยมีมาทุกครั้งในประวัติศาสตร์
โดย วิสา คัญทัพ
20 มีนาคม 2552
ข้อสังเกตนี้ต้องการชี้ให้เห็นว่า เราควรแยกพลังการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอันบริสุทธิ์ของประชาชน ออกจากแกนนำการต่อสู้บางคนที่อาจมีเป้าหมายอำนาจการเมืองเฉพาะกลุ่มแฝงซ่อนอยู่ การต่อสู้ของประชาชนไม่มีจุดสิ้นสุด เพราะต่อสู้เพื่อสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง ส่วนการต่อสู้ของแกนนำอาจหยุดเพียงแค่ตนเองได้มีอำนาจ พบเจอสภาพการณ์เยี่ยงนี้บ่อยครั้งเข้า ประชาชนก็ได้บทเรียน และพัฒนาพลังต่อสู้อันบริสุทธิ์ของตนให้เข้มแข็งยิ่งๆขึ้น
คนอื่นจะเป็นอย่างไรผมไม่รู้ แต่สำหรับผม เมื่อยืนอยู่บนรถนำคนเสื้อแดงคันที่ 1 บุกหน้าทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 24 กุมภาฯ ร่วมกับคุณจักรภพ เพ็ญแข และณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ในวัยของคนที่เคยผ่านเวทีการต่อสู้เช่นนี้มาก่อนหลายครั้งนับแต่ยุค 14 ตุลาคม 2516 เป็นต้นมา อธิบายอารมณ์ความรู้สึกได้ดังนี้ครับ..
ไม่รู้สึกสนุกสนาน ตื่นเต้น เร้าใจ คึกคะนองเหมือนวัยหนุ่ม ห่วงใยชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนมากเพิ่มขึ้น เหน็ดเหนื่อยกับภารกิจเก่าๆที่ซ้ำซาก ไม่ท้อแท้ ไม่สิ้นหวัง หากกลับเชื่อมั่นในมวลชนมากขึ้น แต่เศร้าสลดและสงสารพี่น้องประชาชน ชนชั้นผู้ต้อยต่ำจนน้ำตาซึมโดยไม่บอกใคร ยิ่งย้อนคิดถึงคำพูดดูถูกดูแคลนแกมเยาะเย้ยเหยียดหยามรากหญ้าว่าโง่เง่าและถูกซื้อมาก็ยิ่งแค้นใจ จนอดคิดถึงวันเวลาที่เคยใช้อาวุธต่อสู้ในป่าเขาไมได้
“หนี้เลือดเดือดแดง ทารุณของเผด็จการ หลายปีที่ผ่านทับถมตลอดมา”
บทเพลงของจิตร ภูมิศักดิ์ ปลุกเร้าวิญญาณการต่อสู้อยู่กึกก้อง คุณเข้าใจไหมว่า ประชาชนที่ต่อสู้ด้วยความเข้าใจว่า เขาต่อสู้เพื่ออะไร มีเป้าหมายอย่างไร นั้น เขาต่อสู้ด้วยความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญขนาดไหน
จุดที่เราต้องฝ่าข้ามไปให้ได้คือ ด่านกั้นตรงตีนสะพานชมัยมรุเชษฐ์ที่เลี้ยวเข้าไปยังถนนด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ผมนึกไม่ออกว่า เราจะฝ่าข้ามไปได้อย่างไร ในเมื่อด่านที่ขวางกั้นนั้นแน่นหนาด้วยสิ่งกีดขวางซ้อนทับกันหลายชั้น เริ่มตั้งแต่ แท่งคอนกรีตขนาดใหญ่สูงราวหัวเข่าคล้องโซ่ร้อยติดกันไว้หลายอัน ต่อด้วยรั้วเหล็ก ลวดหนาม ถัดไปเป็นรถบดถนนจอดปิดทางติดต่อกันอีกสามสี่คัน เลยรถบดเป็นรถบรรทุกน้ำของ ก.ท.ม.ขวางกั้นไว้อีกสองสามคัน หลังจากนั้นยังมีรถตำรวจคันใหญ่ที่เขียนคำว่า “police” จอดกั้นไว้อีกสามคัน มีรายละเอียดที่ควรเล่าเพิ่มเติมก็คือ รถบดถนนนั้นเขาถอดแบตเตอรี่ออก คิดล่วงหน้าว่าอาจมีพวกเราบางคนขับได้ ส่วนรถตำรวจ และรถน้ำของ ก.ท.ม. ปิดประตูรถ ล็อคกุญแจไว้เรียบร้อย
มันไม่อาจต้านแรงมหาประชาชนได้หรอกครับ พี่น้องเสื้อแดงช่วยกันเอาลวดสลิงคล้องลากแท่งคอนกรีตออกไปก่อน จากนั้นก็ตัดโซ่เคลื่อนรั้วเหล็กและลวดหนามออกให้พ้นทาง ศึกใหญ่อยู่ที่รถบดถนนอันหน่วงหนักนี่แหละครับ ที่ต้องปล้ำฟัดลากออกด้วยรถหกล้อบวกแรงคน ต้องทำด้วยความระมัดระวังเพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับพี่น้องเรา ลากรถบดพ้นเปิดทางให้คนข้ามเข้าได้ เหลือรถน้ำกับรถตำรวจก็ไม่อยากเกินพลังคนจะร่วมแรงกันผลักดันออกไปเพื่อเปิดทางให้รถแกนนำคันที่ 1 ผ่านเข้าไปได้ ร่วมสองชั่วโมงแหละครับ ชุมชนคนเสื้อแดงจึงผ่านเข้ายึดพื้นที่ถนนหน้าทำเนียบรัฐบาลได้ ประชาชนฟังแกนนำและกระทำการอย่างมีระเบียบวินัย ไม่มีความเสียหายใดๆเกิดขึ้นกับทรัพย์สิ่งของของทางราชการ ทุกอย่างอยู่ในสภาพเรียบร้อยเป็นปกติ
แดดเปรี้ยงปานหัวแตกเผาผิวผ่าวร้อนจนเกรียมไหม้ หัวใจเต้นถี่แรงเร็วด้วยอ่อนเพลีย รู้สึกเหมือนจะเป็นลมจนต้องควักยาดมออกมาสูด ท้องว่างหวิวหิวระโหย คิดขึ้นได้ว่าแต่เช้ามายังไม่มีอะไรตกถึงท้อง จึงคว้าหาน้ำมาดื่มอักๆลงไปพอไม่ให้ท้องว่าง เรี่ยวแรงพลังใจนั้นเปี่ยมล้น หากแต่ร่างกายและสังขารวันเวลานี้อ่อนโรยชราลงนักแล้ว ผมรับไมโครโฟนจากหมอเหวงและจักรภพ ช่วยพูดสลับไปในบางครั้ง เมื่อเราเปิดสิ่งกีดขวางออกได้แล้ว ประชาชนก็เริ่มทยอยเดินผ่านเข้าไปยังถนนหน้าทำเนียบรัฐบาลหน้าตึกไทยคู่ฟ้า และเมื่อเปิดทางกว้างพอ รถนำคันที่หนึ่งของพวกเราก็ค่อยๆเคลื่อนตัวไปตามถนนรอบทำเนียบ
เวลานั้นดวงอาทิตย์หงายแจ้งจรัสฟ้า ผมประกาศลงไปในไมโครโฟนว่า นับเป็นวาระอันสำคัญที่พี่น้องเราได้มาร่วมกันเวียนเทียนรอบทำเนียบรัฐบาลท่ามกลางสุริยันอันกระจ่างฟ้า แสดงว่าเราเคยทำบุญร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน ซึ่งในชาตินี้ได้มาเวียนเทียนรอบทำเนียบรัฐบาล เราก็จะได้รับผลบุญร่วมกันให้ร่ำรวย มีสุข ร่มเย็นวัฒนาถาวรสืบต่อไป.
ก็มันร้อนจริงๆครับ เล่นเอาพวกเราแขนไหม้จมูกลอกไปตามๆกัน เห็นอกเห็นใจพี่น้องประชาชนที่อดทนกันทั่วหน้า
การเดินทางปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลครั้งนี้ เราสั่งสมประสบการณ์การชุมนุมอย่างสันติสงบไว้ได้อีกครั้งอย่างงดงาม อาจมีคนเสื้อแดงที่ออกมาร่วมชุมนุมทุกครั้งอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย หรือออกมาหนึ่งครั้งหรือมากกว่านั้น ทุกคนมีพี่น้องเพื่อนพ้องญาติมิตร ทุกคนสามารถอธิบายขยายผลไปตามสัจจะความเป็นจริงที่ได้เห็น เห็นความแตกต่างอย่างแจ่มชัดระหว่างการเคลื่อนไหวของสีแดงกับสีเหลือง
แดงตะโกนเตือนจิต มิตรสหาย
อย่าทำผิดกฎหมายนะพี่น้อง
อหิงสามั่นไว้ด้วยไตร่ตรอง
ใฝ่ปองสันติพบสงบงาม
เหลืองตะโกน ฆ่ามัน เฮ้ย..ฆ่ามัน
ยั่วอารมณ์ปลุกปั่นไม่มีห้าม
ยุให้รบ ให้รุก อยู่ทุกยาม
ยุให้ข้ามขืนขัดขึ้นซัดมัน
แดงมีสองมือเปล่าเดินก้าวขา
กับหัวใจศรัทธาอันมุ่งมั่น
เคารพกฎกติกาเยี่ยงสามัญ
ความเป็นธรรมเท่ากันต้องเกิดมี
เหลืองรุกรบเต็มกำลังไม่ยั้งหยุด
รุนแรงถึงที่สุดสู้ไม่หนี
ทั้งอาวุธพร้อมครบเข้ารบตี
บุกขยี้ยุยั่วไม่กลัวใคร
คงเห็นความแตกต่างที่ปรากฎ
ว่าแดงนั้นงามงดขนาดไหน
ส่วนเหลืองนั้นอัปยศปรากฎไป
ดังรู้เห็นแก่ใจทุกสายตา
สร้างสมกำลัง รอคอยโอกาส เราเดินมาถูกทางแล้ว ไม่ต้องรีบร้อน ฝึกปรือประชาชนให้เรียนรู้การชุมนุมอย่างสันติสงบท่ามกลางการปฏิบัติที่เป็นจริง วันเดียวกลับบ้านเป็นอย่างไร ยืดเยื้อข้ามคืนต้องเตรียมการอะไรบ้าง กำลังหลัก กำลังรอง กำลังสมทบ เราเอาบทเรียนที่เป็นจริงหยิบยื่นให้ประชาชนได้เรียนรู้ และให้ประชาชนจัดตั้งกันขึ้นเอง มีบางคนเป็นห่วง อะไรก็จะให้แกนนำส่วนบนนำพาไปเสียทั้งหมด ลัทธิสั่งการจากหัวก่อความผิดพลาดมาแล้วในอดีต ฝนเทียมหรือจะสู้พายุฝนคะนองตามธรรมชาติได้ ความรุนแรงหนักหน่วงย่อมต่างกันราวฟ้ากับดิน บทเรียนการลุกขึ้นสู้ของประชาชนเกือบทุกครั้งตามประวัติศาสตร์ล้วนสุกงอม จนผลไม้ปลิดขั้วร่วงหล่นลงจากลำต้น
สิบสี่ตุลาคม 2516 เป็นพลังธรรมชาติที่สู้โดยบริสุทธิ์ แม้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็ไม่ได้นำการต่อสู้ครั้งนั้น หากแต่เป็นแนวร่วมต่อสู้ในบางส่วน เช่นเดียวกับทหารใหญ่ที่ไม่เอากับรัฐบาลทราราชถนอม-ประภาสก็มิได้เป็นผู้นำการต่อสู้เช่นกัน หากแต่ร่วมก่อการสนับสนุนสมทบ เพราะเห็นด้วยกับขั้วประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตย หลังเหตุการณ์สิบสี่ตุลาฝ่ายนักศึกษาประชาชนผู้ชนะจึงมิได้จัดตั้งพรรคการเมือง ไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกลไกอำนาจ ปล่อยให้พรรคอำมาตยาอย่างประชาธิปัตย์ เป็นรัฐบาลที่ทำอะไรไม่ได้เลยสมยอมให้ทหารปราบปรามนักศึกษาประชาชนอย่างเหี้ยมโหดป่าเถือน และถูกทหารทำรัฐประหารในที่สุด เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519
กรณีดังกล่าวต่างจากเหตุการณ์หลังเดือนพฤษภาคม 2535 ที่ทหารยึดอำนาจและประชาชนต่อสู้จนทหารใหญ่กลุ่ม พล.อ.สุจินดา คราประยูร พ่ายแพ้ แต่กลุ่มพลตรีจำลอง ศรีเมืองซึ่งต่อสู้คัดค้านเผด็จการร่วมกับประชาชนอย่างแข็งขัน จัดตั้งพรรคการเมืองชื่อ “พลังธรรม” ขึ้นมา เข้าสู่กลไกเลือกตั้งตามระบบรัฐสภา ก็จะเหมือนกับที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อันมี พลตรีจำลอง ศรีเมืองเข้าร่วมด้วยเช่นกันกำลังคิดจะตั้งพรรคชื่อ “เทียนแห่งธรรม” ขึ้น นี่คือความต่างที่อาจต้องวิเคราะห์รายละเอียดกันต่อไป
ข้อสังเกตุนี้ต้องการชี้ให้เห็นว่า เราควรแยกพลังการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอันบริสุทธิ์ของประชาชน ออกจากแกนนำการต่อสู้บางคนที่อาจมีเป้าหมายอำนาจการเมืองเฉพาะกลุ่มแฝงซ่อนอยู่ การต่อสู้ของประชาชนไม่มีจุดสิ้นสุด เพราะต่อสู้เพื่อสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง ส่วนการต่อสู้ของแกนนำอาจหยุดเพียงแค่ตนเองได้มีอำนาจ พบเจอสภาพการณ์เยี่ยงนี้บ่อยครั้งเข้า ประชาชนก็ได้บทเรียน และพัฒนาพลังต่อสู้อันบริสุทธิ์ของตนให้เข้มแข็งยิ่งๆขึ้น
ดูได้จากความเข้มแข็งของพี่น้องประชาชนในปัจจุบันที่ขยายตัวเติบใหญ่ จัดตั้งก่อแกน ขยายผลกระจัดกระจายไปทั่วทุกจังหวัด คิดค้นระดมทุน ดำเนินการกันเอง ประสานองค์กรย่อยร้อยรัดลุกลามเป็นประกายไฟน้อยๆที่ค่อยๆไหม้ลามทุ่งไปเรื่อยๆ กลายไปเป็นครอบครัวสีแดงที่ฆ่าไม่ตายทำลายไม่หมด แดงทั้งแผ่นดิน รอพร้อมระดมพลครั้งยิ่งใหญ่ซึ่งจะเป็นไปตามธรรมชาติ
ขอนแก่น อยุธยา จันทบุรี เชียงราย เชียงใหม่ และ อีกมากมายหลายอำเภอหลายจังหวัด คือการเตรียมพร้อมของเรดอาร์มี่ กองทัพแดง การเคลื่อนไหวของกองทัพมวลชนคนเสื้อแดงเหล่านี้จะเป็นไปตามธรรมชาติแห่งพลัง ดั่งสายน้ำ ดั่งแสงเพลิง ดั่งคลื่นมหาสมุทร และแน่นอนว่าพลังธรรมชาติย่อมยิ่งใหญ่เหนือพลังอื่นใด แผ่นดินจะไหว ภูเขาไฟจะระเบิด ไม่มีอะไรห้ามได้ ผมเชื่อมั่นว่าการชุมนุมคนเสื้อแดงครั้งใหญ่เที่ยวนี้จะมากมายมหาศาลยิ่งกว่าที่เคยมีมาทุกครั้งในประวัติศาสตร์
มากมายขยายตัว
จนแดงทั่วทั้งปฐพี
คือ เรด แฟมมิลี่
ครอบครัวนี้เป็นสีแดง
ขอนแก่นแดนอีสาน
สามหมื่นผ่านมิเคลือบแคลง
อยุธยาไม่น่าแซง
เฉียดสามหมื่นก็ชื่นใจ
จันทบุรีเมืองเจ้าตาก
นักสู้มาก - น้อยเมื่อไร
หมื่นห้า เกินขึ้นไป
จากสายตาว่าตามตรง
สามเมืองร่วมเจ็ดหมื่น
ผู้คนตื่นขึ้นชูธง
ประชาธิปไตยคง
ลุกขึ้นสู้กับหมู่มาร
ยังอีกหลายจังหวัด
ก็ชี้ชัดโดยเชี่ยวชาญ
เกินแสนสร้างตำนาน
ชนบทพร้อมเข้าล้อมเมือง
ครอบครัวนี้สีแดง
อุทัยแสงทองประเทือง
ฟ้าผ่องอำไพเรือง
สว่างแจ้งแดงทั่วไทย.