ฝ่ายค้านเปิดฉากซักฟอกนายกฯกับ 5 รัฐมนตรีดับเครื่องชน 2 เรื่อง 2 รส แต่ ทว่าปัญหาภายในดูจะใหญ่กว่าทั้งสนามบินกับงบท้องถิ่นที่มีเพื่อนเนวินเป็นตัวยืน ร่องรอยอย่างนี้มีแต่พังลูกเดียว
ข่าว “เขย่าขวด” สุดสัปดาห์นี้แม้ดูว่ารัฐบาลจะมีเสถียรภาพของการบริหารประเทศมากขึ้น แต่ดูเหมือนว่าปัญหาขัดแย้งภายใน กำลังเริ่มก่อตัวขึ้นมาแล้ว
เพียงแต่ว่าจะหยุดมันได้อย่างไร หรือจะ ต้องแตกหักกัน
อย่างไรก็ดี ก่อนจะไปถึงจุดนั้นพรรคเพื่อไทย ในฐานะฝ่ายค้าน ได้เริ่มปฏิบัติการด้วยการยื่นถอดถอนนายกฯและ 5 รัฐมนตรี รวมถึงการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ในฐานะนายกฯ
5 รัฐมนตรีคือ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง และนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
เป็นของประชาธิปัตย์ 3 คน ภูมิใจไทย 2 คน รวมใจไทยชาติพัฒนา 1 คน
แต่กว่าจะตกลงกันได้ ปรากฏว่าเกิดปัญหาขัดแย้งภายในพอสมควร ตั้งแต่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย จะเล่นงานรัฐมนตรีคนไหนบ้าง หรือแม้แต่การเสนอชื่อ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นนายกฯ
ต้องชักเข้าชักออกกันหลายตลบกว่า จะลงตัวได้
เท่าที่ดูจากเป้าหมายแล้วแน่นอนว่านายกฯเป็นตัวหลัก เพราะหากเจอทีเด็ดฝ่ายค้านจนอยู่ในตำแหน่งไม่ได้ รัฐบาลชุดนี้ก็ต้องไปทันที
แต่องค์ประกอบจริงๆและคาดว่าจะเกิดผลน่าจะมี 2 เรื่องคือ เงินบริจาค 250 กว่าล้าน และปัญหาที่กระทรวงมหาดไทยที่เกี่ยวกับเรื่อง การใช้อำนาจและงบประมาณ
การที่ต้องยื่นซักฟอกนายประดิษฐ์ก็คงจะเกี่ยวเนื่องกับเงินบริจาค เพราะเกิดขึ้นสมัยที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์
ที่กระทรวงมหาดไทย ก็คือกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ซึ่งมีงบประมาณมหาศาลและกำลังจะมีการอนุมัติงบก้อนใหญ่
ทำให้เกิดปัญหาขัดแย้งและต้องย้ายอธิบดี จนมีการแฉแหลกว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น เชื่อว่าฝ่ายค้านคงได้ข้อมูลเพียบ
ถึงที่สุดแม้รัฐบาลจะชนะเพราะเสียงมากกว่า แต่คงจะช้ำพอดู
เหนืออื่นใด อย่างที่เกริ่นตั้งแต่แรกว่า ปัญหาขัดแย้งภายในรัฐบาลนั้นกำลังก่อตัว โดยเฉพาะเรื่องสนามบินและการบินไทย การใช้งบประมาณและอำนาจครอบงำข้าราชการที่มหาดไทย
นั่นก็คือประชาธิปัตย์โดยเฉพาะตัวนายกฯ กับพรรคภูมิใจไทยที่มีนายเนวิน ชิดชอบ อยู่ เบื้องหลังและมีพลังไม่ธรรมดา
พูดกันว่าจะเป็นตัวแปรชี้ขาดการอยู่หรือไม่ของรัฐบาลมากกว่าฝ่ายค้านเสียอีก
ปัจจัยสำคัญของปัญหาก็คือการที่พรรคภูมิใจไทยต้องการให้การบินไทยกลับสู่สุวรรณภูมิ รวมถึงสายการบินอื่นด้วย เหตุผลที่อ้างก็คือลดขาดทุน ทำให้สุวรรณภูมิเป็นฮับในภูมิภาคนี้
แต่มุมมองตรงข้ามบอกว่าควรจะมี 2 สนามบิน ที่ต้องการให้มีแห่งเดียวก็เพราะหวังผลประโยชน์ของร้านค้า การต่อเติมด้วยการสร้างรันเวย์ที่ 3 สร้างอาคารใหม่ ฯลฯ
จะมีผลประโยชน์ก้อนใหญ่ที่นั่น
บรรดารัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องยังไม่มีใครกล้าแสดงความเห็นต่อกรณีนี้ ทำให้มีการยืนยัน ว่าวันที่ 29 มี.ค. การบินไทยจะย้ายกลับทันที
มีแต่นายกฯคนเดียวที่ดูท่าว่าไม่เห็นด้วย และต้องการให้มี 2 สนามบินมากกว่า ถึงกับ ประกาศเองว่าตัวเลขที่การบินไทยบอกว่าจะขาดทุน 400 ล้านนั้นน่าจะมั่วมากกว่า และขอเวลา 2 สัปดาห์เพื่อตัดสินใจ
นี่คงสะท้อนภาพความขัดแย้งเป็นรูปธรรมชัดเจน เมื่อนายกฯกำลังทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลอง หากแก้ไม่ดีหาทางออกไม่สมดุล
ก็นับถอยหลังได้เลย
หรือเรื่องที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นน่าจะอยู่ที่ว่านายกฯจะจัดการอย่างไร เพราะวันนี้ก็น่าจะมีข้อมูลและรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น
นายกฯจะยอมปล่อยให้มีการเขมือบ “ก้อนใหญ่” โดยทำไม่รู้ไม่ชี้ได้หรือ และนอกเหนือจากนี้แล้วยังมีอีกหลายเรื่องที่กำลังรอคิว
หรือว่าบุญพาวาสนาส่งได้แค่นี้เอง!!!
ลิขิต จงสกุล