WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, March 21, 2009

เหลิมนำทัพขยํ้าปชป.ไซฟอนเงิน

ที่มา เดลินิวส์

ชูใบเสร็จเช็ค27ฉบับ แปรธาตุงบอุดหนุน'มาร์ค'ยันทำถูกต้องส.ส.แจกของลับว่อน

“เพื่อไทย” ซัดเต็มเหนี่ยว สับปชป.ไซฟอนเงิน “เฉลิม” ดี๊ด๊าภูมิใจกระซวกรัฐบาลลากไส้เงินทีพีไอ 263 ล.ไหลลึกลับเข้าปชป. แฉเส้นทางเช็ค 27 ฉบับโอนผ่านแบงก์ โยงคนเครือญาติอดีตเลขาพรรคตัวละครสำคัญ แฉงบกกต. 29 ล้านบาทถูกยักย้าย ไม่มีธุรกรรมแท้จริง ลั่นโทษหนักมีแววยุบพรรคได้ รอดีเอสไอพิสูจน์หลักฐานลายเซ็นได้ ท้า “กรณ์” แน่จริงขึ้นภาษีแอลกอฮอล์รวมเครื่องดื่มชูกำลัง-เก็บภาษีมรดก-ที่ดิน ส่วนนายกฯยังเงียบไม่แจงเงินฉาว ปัดไม่มีส่วนรู้เห็น “จตุพร” ขุดปมหนีทหารถล่มนายกฯ ก่อนเปิดฉากดวลคำต่อคำ “สุรพงษ์” งัดเอสเอ็มเอสกระซวกนายกฯ-กรณ์ ได้ประโยชน์ ถล่มรัฐบาลบีบเอกชนเอื้อประโยชน์ นายกฯโต้สร้างวิธีสื่อสารแบบใหม่ถึงตัว “กรณ์” แจงทำอย่างเปิดเผย ส่วน “สุนัย” เปิดทุจริตอาชีวะ ซัดตั้งงบแบบตระกร้าเยี่ยมไข้ 2 รมต.ศึกษาฯต้องชี้แจง สภาวุ่นฯ ประท้วงนัว ถึงขั้นสาด “ของลับ” ใส่กัน “รณฤทธิชัย” ฉุนหวิดฟาดปาก ส.ส.เพื่อไทย

ตีระฆังซักฟอกนายกฯ

เมื่อวันที่ 19 มี.ค. ที่รัฐสภา เวลา 09.30 น. มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญทั่วไป นัดพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล จำนวน 5 คน ได้แก่ นายกษิต ภิรมย์ รมว. การต่างประเทศ นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย และ นาย บุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย โดยมีนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ท่ามกลาง ครม. ที่มานั่งรับฟังการประชุมกันอย่างคึกคัก

จากนั้น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน ในฐานะประธาน ส.ส. ของพรรคเพื่อไทย ได้เริ่มอภิปรายเป็นคนแรก โดยระบุว่า การยื่นญัตติอภิปรายนายอภิสิทธิ์ ถือว่าตนติดลบศูนย์ตั้งแต่ออกมาจากบ้านแล้ว ตนทุกข์ใจที่ต้อง อภิปรายคนที่รัก คนที่ชอบ แต่มีความจำเป็นถือว่าเป็นการทำหน้าที่ เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ มีพฤติกรรมและการกระทำที่จงใจฝ่าฝืนกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง

กางหลักฐานบี้เงินทีพีไอ

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า โดยนายอภิสิทธิ์มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ปกปิด ซ่อนเร้น ไม่เปิดเผยการรับเงินสนับสนุนพรรคการเมืองจากบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ รวมทั้งไม่จ่ายเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้และรับรองงบดุล งบการเงินของพรรคประชาธิปัตย์อันเป็นเท็จ ยื่นต่อกกต. ซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวเป็นการฉ้อราษฎร์บังหลวง รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดกฎหมายพรรคการเมือง

พร้อมกันนี้ ร.ต.อ.เฉลิม ยังได้นำแผ่น ชาร์ตมาแสดงถึงที่มาที่ไปของเส้นทางเงินที่นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานกรรมการ บริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด นำเงินจากตลาดหลักทรัพย์ 263 ล้านบาท จ่ายให้กับกลุ่มคนในพรรคประชาธิปัตย์ ผ่านบริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทรับทำธุรกิจโฆษณาที่ไม่มีโรงพิมพ์ โรงงาน ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 108/12 หมู่ 11 กิโลเมตร 7 อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ด้วยทุนจดทะเบียนเพียง 1 ล้านบาทเศษ รวมทั้งนำสำเนาเช็คการจ่ายเงินให้กับบุคคลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และบุคคลในพรรคประชาธิปัตย์มาแสดงอย่างละเอียด

แฉจ่ายเช็ค27ฉบับเข้าบัญชี

ร.ต.อ.เฉลิม ระบุว่า หากสิ่งที่ตนอภิ ปรายไปไม่มีอะไรตนก็พร้อมที่จะลาออก โดยขอกล่าวหานายกฯว่า 1.นายกฯได้แจ้งบัญชีงบดุลประจำปี ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2547 และ 31 ธ.ค. 2548 อันเป็นเท็จ มีการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระถึง 2 ครั้ง โดยในปี 2547 บริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด ซึ่งจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ได้จ่ายเงินสนับสนุนให้กับพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานกรรมการฯ เซ็นชื่อลงนามจ่ายเช็คเพียงคนเดียวโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากกรรมการบริษัทฯ 9 คน ถือเป็นการนำเงินของประชาชนผู้ถือหุ้นมาจ่ายให้กับพรรคและกลุ่มคนของพรรคประชาธิปัตย์ มิใช่เอาเงินของบริษัท ทีพีไอโพลีน มาจ่าย

ร.ต.อ.เฉลิม ระบุต่อว่า จากหลักฐานพบว่ามีการจ่ายเช็ค 27 ฉบับ ผ่านเข้าธนาคารต่าง ๆ รวม 75 ครั้ง ภายใน 84 วัน โอนเข้าบัญชีบริษัท เมซไซอะ จากนั้นก็แยกย่อยกระจายเช็คไปยังบุคคลต่าง ๆ 4 กลุ่ม คือ 1.เข้าบัญชีนายประจวบ สังขาว กรรมการบริษัทเมซไซอะ 21,269,300 บาท ซึ่งเคยมีกรรมการบริษัทชื่อน.ส.สุพัชรี ธรรมเพชร ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ และนายไทกร พลสุวรรณ รวมอยู่ด้วย 2.เข้าบัญชีกลุ่มคนใกล้ชิดนายประดิษฐ์ในขณะนั้นรวม 33,728,000 บาท 3.เข้าบัญชีกลุ่มของนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้น 13,600,000 บาท และ 4.เข้าบัญชีนายประพร เอกอุรุ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้รวม 43,409,740 บาท ส่วนที่เหลือไม่สามารถหาหลักฐานได้เนื่องจากมีคน ในรัฐบาลไปสั่งให้เจ้าหน้าที่ระงับการให้เอกสารเหล่านั้น

ซัดปชป.เข้าข่ายไซฟอนเงิน

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า การโอนเงินดังกล่าวจากนายประชัย เป็นช่วงเวลาเดียวกับช่วงใกล้เลือกตั้งพอดี ที่สำคัญเมื่อคืนวันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา มีฝ่ายรัฐบาลไปบังคับข้าราชการเพื่อไปขอคำให้การในคดีดังกล่าว จึงอยากถามว่าหากแน่จริงจะกลัวอะไร โดยทุกอย่างเกี่ยวโยงกับนายธงชัย ดลศรีชัย ซึ่งเป็นน้องชาย เป็นลูกพี่ลูกน้องของนายประดิษฐ์ ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.พิจิตร และนายธงชัยก็เป็นคนพาไปเจอกับนายประจวบ ซึ่งเป็นผู้จัดการบริษัท เมซไซอะ จนทำให้เกิดการ “ไซฟอน” (ฟอกเงิน) ขึ้น

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังพบว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้กระทำการไซฟอนเงินที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก กกต. จำนวน 29 ล้านบาท ไปว่าจ้างบริษัท เมซไซอะจำนวน 23,314,200 บาท โดยอ้างว่าเป็นค่าจ้างจัดทำป้ายโฆษณา แต่ไม่มีการทำธุรกรรมอย่างแท้จริง เนื่องจากไม่มีการวางบิล เก็บเงิน แบ่งงวดงานตามที่ น่าจะเป็นจริงเพราะมีการเรียกเก็บเงินเพียงครั้งเดียว ทั้งที่บริษัท เมซไซอะ ไม่น่าจะมีเงินสำรองขนาดนั้นได้ โดยพบว่าก้อนแรกของเงินจำนวนนี้โอนต่อเพื่อจ้างทำป้าย ตามหลักฐานการยื่นภาษี ภ.ง.ด.53 ของพรรคประชาธิปัตย์แสดงต่อสรรพากร พบว่ามีการส่งบิลผ่านไปยังบุคคลอื่น ก่อนไปถึง 2 บริษัทที่รับงานไปทำจำนวน 2 ล้านบาท เศษ และ 8 หมื่นบาท

ลั่นเอาผิดถึงขั้นยุบพรรคได้

กรณีดังกล่าว จึงขอกล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์และผู้บริหารบางส่วนได้กระทำผิดฐานรับเงินสนับสนุนพรรคการเมืองโดยไม่เปิดเผย และไม่จ่ายเงินที่ได้รับการสนับสนุนจาก กกต. ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด แต่นำเงินบางส่วนมาฟอกในบริษัท เมซไซอะ เพื่อนำไปใช้โดยไม่รายงานต่อ กกต. ซึ่งจะมีโทษรุนแรงถึงขั้นยุบพรรคได้ ทั้งนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้บรรจุเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษไปแล้ว เพราะนายประจวบได้ไปให้การกับตำรวจไว้แล้ว หากสามารถ พิสูจน์ลายน้ำหมึกได้ว่าเพิ่งมีการเซ็นชื่อเมื่อปลายปี 2551 ไม่ใช่ปี 2547 นายอภิสิทธิ์ก็ต้องเข้าคุก เพราะไม่ได้แจ้งเรื่องการบริจาคเงินและพรรค ประชาธิปัตย์ก็ต้องถูกยุบเพราะแจ้งงบดุลเท็จ

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนยืนยันว่านายบัญญัติ บรรทัดฐาน อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เกี่ยวเพราะคนที่รับรองงบดุลทั้ง 2 ปีคือนายอภิสิทธิ์ เบื้องต้นตนแนะนำให้ปลดนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ในฐานะที่เป็นเหรัญญิกในขณะนั้นแต่ไม่ยอมตรวจสอบไม่รู้จักดับเบิลเช็ค ก่อนที่จะให้นายเซ็น

“เหลิม”ท้า“กรณ์”ขึ้นภาษี

จากนั้น ร.ต.อ.เฉลิม ได้อภิปรายถึงความไม่ชอบธรรมในการตั้งรัฐบาล โดยตั้งคำถามนายกฯถึงเรื่องการไม่ใช้ยศทหารนำหน้าชื่อ พร้อมอภิปรายความไม่เหมาะสมการตั้งนายกษิต ภิรมย์ เป็นรมว.การต่างประเทศ ที่มีการแจ้งความเรื่องการร่วมกับพันธมิตรฯยึดสนามบิน รวมทั้งท้านายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ให้ออกกฎหมายการเก็บภาษีมรดก ภาษีที่ดิน และให้กล้าขึ้นภาษีเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือเครื่องดื่มชูกำลัง แทนที่จะไปขึ้นภาษีชา กาแฟ

สำหรับนายชวรัตน์ รมว.มหาดไทย นั้น ร.ต.อ.เฉลิม ปฏิเสธข่าวที่ระบุว่า มีใบสั่งจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ให้เพิ่มรายชื่ออภิปรายเข้ามานั้น ไม่เป็นความจริง และเมื่อนายชวรัตน์มาเป็น มท.1 ก็ทำตัวเป็น “เจ้าพระยา” ทั้ง ๆ ที่เป็น “พ่อค้า” เขาให้ไปบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ไม่ใช่ไปบำบัดสุข บำรุงทุกข์ ส่วนนายบุญจง รมช.มหาดไทย นั้นเจอข้อหาน่าหมั่นไส้ในการทำงาน เพราะบริหารราชการแบบไฮเปอร์ ไปบอกข้าราชการในกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น (สถ.) ว่าการจัดสรรงบประมาณถ้าจัดเสร็จแล้วก็จัดไป แต่ถ้ายังเหลือก็ให้เอามาจัดสรรใหม่ ตรงนี้ถือว่าทำงานไม่สอดคล้องกับกฎเหล็ก 9 ข้อ ที่นายกฯได้วางไว้

นายกฯแจงไม่ใช้ยศนำหน้า

หลังจากที่ ร.ต.อ.เฉลิม อภิปรายเสร็จ นายอภิสิทธิ์ ได้ลุกขึ้นชี้แจงทันที เริ่มด้วยการชี้แจงข้อกล่าวหากรณีการไม่ใช้ยศทหารนำหน้าชื่อ โดยนายกฯ ระบุว่า เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2517 พล.อ.ครวญ สุทธานินทร์ รมว.กลาโหม ในขณะนั้นได้ออกประกาศคำชี้แจงเรื่องการใช้ยศทหารนำหน้าชื่อบุคคล โดยในการปฏิบัติราชการฝ่ายพลเรือน ผู้มียศทหารสามารถใช้ยศหรือไม่ใช้ยศนำหน้าชื่อก็ได้ สำหรับตนเมื่อมาทำงานการเมือง จึงไม่ใช้ยศทหารนำหน้าชื่อ เพราะหากมีการโจมตี ความเป็นทหารต้องไม่ถูกโจมตีไปด้วย

นายกฯ ชี้แจงอีกว่า ส่วนเรื่องที่บอกว่าตนดีใจที่ได้กู้เงินหลังจากเดินทางกลับจากประเทศญี่ปุ่นนั้น ความจริงตนไม่ได้ดีใจอะไร แต่เมื่อทางญี่ปุ่นตอบรับให้เรากู้สร้างรถไฟฟ้าสายสีแดง จึงได้มาแจ้งให้ประชาชนทราบเท่านั้น ซึ่งการกู้เงินก็ต่อเนื่องมาจากรัฐบาลที่แล้ว ส่วนที่ท้าทายตนให้เพิ่มการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น ตนได้มอบนโยบายให้กับกระทรวงการคลังไปแล้วว่า หากมีความจำเป็น ภาษีที่จะจัดเก็บเพิ่มตัวแรกคือภาษีเหล้า เบียร์ รวมทั้งได้ชี้แจงถึงการตั้งนาย กษิต ภิรมย์ เป็น รมว.การต่างประเทศ ทั้งที่เป็น ผู้ต้องหาคดีปิดสนามบินว่า ช่วงเกิดเหตุปิดสนามบิน มีการแจ้งความร้องทุกข์ 2-3 คดี แต่ไม่มีชื่อนายกษิตเลย เมื่อมีการตั้งนายกษิตเป็น รมว.การต่างประเทศจึงมีการแจ้งความนายกษิต เพิ่มเติม จึงถือเป็นเรื่องการเมือง

ยันไม่เกี่ยวเรื่องงบการเงิน

“สำหรับข้อกล่าวหาว่าผมสมรู้ร่วมคิด มีความผิดตามกฎหมายพรรคการเมืองนั้น เป็นเหตุการณ์ในช่วงปลายปี 2547 ถึงวันเลือกตั้ง 6 ก.พ. 2548 ซึ่งช่วงนั้นผมเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อยู่ มีนายบัญญัติ เป็นหัวหน้าพรรค และนายประดิษฐ์ เป็นเลขาธิการพรรค ซึ่งนาย บัญญัติยืนยันว่าไม่ได้มอบหมายให้ผมรับผิดชอบเรื่องการเงิน ขอยืนยันว่าผมไม่ได้สมรู้ร่วมคิดไปพบปะกันที่โรงแรมกับบริษัททีพีไอฯ เลย แต่ถ้าคิดว่าผมเกี่ยวข้องก็ขอให้แสดงเอกสารหลักฐาน ให้ชัดเจน” นายกฯ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ ยังชี้แจงว่า อย่างไรก็ตามเมื่อตนมาเป็นนายกฯ ก็ไม่เคยเข้าแทรกแซง กระบวนการสอบสวนขององค์กรใด ๆ เลย โดยเฉพาะการสอบสวนคดีพิเศษของบริษัทดังกล่าวก็ดำเนินการต่อไป และที่ว่าเมื่อคืนวันที่ 18 มี.ค. ตนไปทำอะไรเหมือนกับเกรงกลัวอะไรนั้น ยืนยันว่าไม่มี ตนนอนหลับสบายอยู่ที่บ้าน

เผยลงนามรับรองถูกต้อง

นายอภิสิทธิ์ ยังชี้แจงถึงการทำหน้าที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ว่า ตนเข้ามาทำหน้าที่หัวหน้าพรรคตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค. 2548 ซึ่งมีเรื่องที่เกี่ยวกับตน 2 ส่วนคือ 1.เงินบริจาคเข้าพรรคที่ต้องแจ้งกับ กกต. แทบทุกเดือน ตนก็ได้ทำอย่างสมบูรณ์และรายงานต่อ กกต. ครบถ้วน 2.การรับรองงบดุลบัญชีปี 2547 ที่ตนต้องรับรองในช่วงปี 2548 โดยเรื่องนี้ได้ผ่านการตรวจสอบหลายขั้นตอน

นายกฯ กล่าวอีกว่า กรณีดังกล่าวได้ให้ผู้สอบบัญชีเข้ามาตรวจสอบ โดยได้รับการรับ รองแล้ว จึงมีการส่งให้นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เหรัญญิกในขณะนั้นลงนาม จากนั้นจึงเสนอให้ ตนลงนาม ซึ่งเมื่อตนเห็นว่าได้มีการตรวจสอบแล้วจึงได้ลงนามรับรอง ส่วนการรับรองงบดุลปี 2548 ที่ต้องรับรองในปี 2549 ซึ่งเป็นการใช้เงินในช่วงเลือกตั้ง ทางพรรคก็ได้รายงานให้ กกต. ตรวจสอบ ซึ่ง กกต. ก็ได้ซักถามกลับมาในหลายประเด็น แต่ไม่มีประเด็นที่ได้มีการอภิปรายในสภาในครั้งนี้ จึงยืนยันว่าตนได้ทำหน้าที่หัวหน้าพรรคในการรับรองงบดุลอย่างถูกต้อง

อ้างกกต.ตรวจสอบถูกต้อง

นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯ ลุกขึ้นชี้แจงในฐานะเหรัญญิกในขณะนั้นว่า ก่อนที่จะมีการรับรองงบดุลในช่วงนั้น ได้มีการผ่าน กระบวนการตรวจสอบหลายขั้นตอนก่อนที่จะส่งให้ตนและหัวหน้าพรรคเซ็นรับรอง โดยในปี 2548 เป็นช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์มีกรรมการบริหารพรรค 2 ชุด ซึ่งในวันที่ 21 เม.ย. 2548 ได้ส่งเอกสารให้ กกต. ตรวจสอบทุกรายการ โดย กกต. ก็มีหนังสือสอบถามมาเมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2548 โดยไม่ได้มีเรื่องที่เกี่ยวกับการอภิปรายครั้งนี้ เมื่อผ่านการตรวจสอบของ กกต. แล้ว จึงกล้าลงนามในงบดุลของพรรคและส่งให้หัวหน้าพรรคเซ็นรับรองต่อไป

นายประพร เอกอุรุ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ใช้สิทธิพาดพิง โดยชี้แจงว่า น.ส. ประภาพร เอกอุรุ น้องสาวของตน ปัจจุบันอายุ 43 ปี โดยช่วงที่เกิดเหตุปี 47-48 มีอายุ 37-38 ปี ถือว่าบรรลุนิติภาวะแล้ว การกระทำธุรกรรม ใด ๆ จึงไม่ต้องมาปรึกษาตน ถือเป็นการทำธุรกิจส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องการเมือง ไม่เกี่ยวข้องกับตน ไม่เกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ หรือการบริหารราชการของรัฐบาลแต่อย่างใด

“เหลิม”ตีปีกอภิปรายปึ้ก

จากนั้นเวลา 12.30 น. ร.ต.อ.เฉลิม ได้แถลงข่าวทันทีหลังอภิปรายแล้วเสร็จ ที่ห้องวิปฝ่ายค้าน โดยนำแผ่นชาร์ตข้อมูลมาแสดงและแจงรายละเอียดต่อสื่อมวลชนอีกครั้ง พร้อมระบุว่ารู้สึกพอใจการนำเสนอข้อมูลของตนเองมากที่สุด เพราะไม่เคยคิดว่าจะนำเสนอข้อมูลได้ดีขนาดนี้ และยืนยันว่าข้อมูลที่นำเสนอเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ในส่วนสำเนาเช็คสั่งจ่ายเงินก็ต้องอาศัยฤทธิ์เดชสมัยเป็นสารวัตรกองปราบ ที่พอรู้จักคนทำงานในธนาคาร ตนก็ไปขอร้องและให้เห็นแก่บ้านเมือง ตัวละครบางรายตนถึงกับแอบส่งคนไปติดตามดูว่าความจริงมีอาชีพอะไร

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า หากนายอภิสิทธิ์ชี้แจงไม่ได้และพรรคเพื่อไทยหมดคนอภิปราย ตนจะอภิปรายซ้ำอีกครั้ง แต่มันจบแล้วนายอภิสิทธิ์ไม่ชี้แจงเรื่องที่ตนอภิปราย แต่ไปชี้แจงเรื่องไม่ใช้ยศทหาร คนฟังก็จะก่ง ก๊ง ตนยังมีหลักฐานอีก จะรอให้เขาฟ้องให้ศาลเรียก อย่างไรก็ตามไม่มั่นใจว่าหลักฐานของตนเป็นหลักฐานเดียวกับของ ดีเอสไอหรือไม่ และยืนยันว่าตนไม่เคยพบกับนายประจวบ ไม่รู้จักและไม่อยากยุ่งเกี่ยว แต่ทราบมาว่านายประจวบโกรธมากที่มีนักการเมืองคนหนึ่งเอากระดาษเปล่า 40 แผ่นมาให้เซ็นชื่อเพื่อหวังจะเอาไปทำใบเสร็จ

วิปรัฐบาลเซ็งพท.อภิปราย

นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานคณะกรรมการประสานงาน (วิป) พรรคร่วมรัฐบาล กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯโดย ร.ต.อ. เฉลิมว่า เท่าที่ประเมินเบื้องต้น เห็นว่าการ อภิปรายของฝ่ายค้านไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย และไม่มีน้ำหนักอะไรโดยตรง ไม่สามารถที่จะโยงเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินได้ และเท่าที่วิปรัฐบาลได้ประเมินว่าเหมือนกับการจัดงานแล้วแขกไม่มาเลยต้องมาเตรียมเก็บถ้วยชามรอ อย่างไรก็ตามคงต้องติดตามประเด็นในการสรุปอีกครั้ง

ผู้สื่อข่าวถามว่า มองว่าจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความชอบธรรมในการบริหารประเทศหรือไม่ เพราะไม่มีความโปร่งใสจากเรื่องเงินบริจาคที่เข้าพรรค นายชินวรณ์ กล่าวว่า ไม่มีบทพิสูจน์ว่าไม่มีความโปร่งใส ทั้งนี้ กระบวนการที่ถูกอ้างมาก็ชี้ไม่ชัดว่ามีการไซฟอนเงิน แต่ เป็นกระบวนการธรรมดาในการทำธุรกิจเพียงแต่ ร.ต.อ.เฉลิม จับแพะชนแกะ ถ้าประชาชนที่ไม่ ได้ติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น อาจเข้าใจผิดว่า นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง มาเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งที่นายประดิษฐ์ ไม่ได้เป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์แล้ว เรื่องดังกล่าวก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตำแหน่ง รมช.คลัง อย่างไรก็ตาม ในแง่ของตัวบุคคล นายประดิษฐ์ก็ต้องชี้แจงเรื่องนี้เอง ไม่เกี่ยวกับนายอภิสิทธิ์

“ตู่” ขึ้นสับตั้ง “กษิต” ได้ดี

ต่อมาเวลา 13.15 น. นายจตุพร พรหม พันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า การจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้ประชาชนรู้ดีว่า เป็นเพราะทหารเรียกนักการเมืองเข้าไปบ้านพัก ร.1รอ. เพื่อบีบบังคับเป็นการสมคบกันระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ พันธมิตรฯและกองทัพ ซึ่งไม่เป็นประชาธิปไตยและแต่งตั้ง ส.ส. ที่ไปสมคบกับพันธมิตรฯที่ยึดทำเนียบรัฐบาล สนามบินสุวรรณภูมิ อย่างนายกษิต ภิรมย์ มาเป็น รมว.การต่างประเทศแต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ความคืบหน้าในการดำเนินคดีใด ๆ ทั้งนายอภิสิทธิ์ และนาย กษิตให้สัมภาษณ์และอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลชุดที่แล้วอย่างรุนแรงว่า เป็นตัวการที่จะทำให้ประเทศ เสียดินแดน เสียอธิปไตย แต่วันนี้มาเป็นรัฐบาลกลับปล่อยให้ทหารกัมพูชาบุกรุกเข้าในเขตประเทศไทย 250 เมตร เพื่อสร้างถนนขึ้นเขาพระวิหาร

นายจตุพร กล่าวว่า เรื่องนี้กองกำลัง สุรนารีได้ทำหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาลให้ประท้วงการบุกรุกของทหารกัมพูชา ถึง 9 ครั้งแต่ไม่มีการตอบสนอง และนายกษิตแทงเรื่องนี้เป็นเรื่องลับทำให้ไม่มีใครรู้ การที่นาย กษิตเคยบอกก่อนหน้านี้ว่า พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นของไทยโดยไม่ต้องมีการพิสูจน์ วันนี้ทำไมถึงไม่ทำเรื่องอุทธรณ์ไปยังศาลโลกเพื่อขอรักษาสิทธิตรงนี้ไว้ วันนี้จึงพิสูจน์ ได้ว่าคนที่ทำให้เสียดินแดนจริง ๆ คือพวกท่าน ซึ่งใบเสร็จที่ชัดที่สุดคือ สิ่งที่รัฐบาลจะออก พ.ร.บ. ลดโทษให้กับผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรประเทศที่บุกยึดสนามบินให้เหลือโทษปรับเพียง 500 บาท ถ้าเป็นเช่นนี้ก็คงมีการยึดกันได้อีก 5 รอบ ชี้ให้เห็นว่า นายกฯไม่ได้ยึดหลักนิติธรรม นิติรัฐแล้ว

ขุดปมหนีทหารยำนายกฯ

นายจตุพร ได้อภิปรายต่อถึงปัญหาการสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ของนายกฯ หลังได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. โดยข้อมูลระบุว่านายอภิสิทธิ์สมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์วันที่ 15 มิ.ย. 2535 แต่การเลือกตั้งเกิดขึ้นเดือน มี.ค. 2535 เป็นข้อน่าสังเกตว่าหลังจากได้รับเลือกตั้งแล้ว 3 เดือนจึงมาสมัครเป็นสมาชิกพรรค ทั้งที่ช่วงนั้นใช้รัฐธรรมนูญปี 2534 ที่ระบุว่าผู้สมัครจะต้องสังกัดพรรคการเมือง

นอกจากนี้ เรื่องการเกณฑ์ทหารปรากฏ ว่าตั้งแต่ปี 2524 มีอายุครบ 17 ปี ย่าง 18 ปี ไม่ได้ไปขึ้นทะเบียนทหารกองเกินแต่ไปขึ้นตอนอายุ 22 ปี ในวันที่ 4 ก.ค. 2529 ถือว่าเลยเกณฑ์ไปแล้ว 1 ปี แต่สัสดีพระโขนงกลับแจ้งลงบัญชีเป็นทหารกองเกินโดยไม่มีการปรับและตามหลักแล้วปีต่อไปนายอภิสิทธิ์จะต้องไปเลือกตามหมายเรียก จึงอยู่ในฐานะหนีทหารและเอกสารของทางราช การในปี 2535 ก็ยังอยู่ในบัญชีของคนขาด ทั้งที่ช่วงนั้นเป็น ส.ส. แล้ว และต่อมาเมื่อนายอภิสิทธิ์ไปสมัครรับราชการที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ต้องแสดงหลักฐานทางทหารคือ สด.9 หากไม่มีต้องมีหลักฐานผ่อนผัน แต่มีการไปขอใบแทนเพื่อนำมาประกอบกับใบ สด.43 จนมีการสร้างหลักฐาน ซึ่งกระทรวงกลาโหมไม่มีสิทธิ บรรจุเข้ารับราชการ และมีการประท้วงจนมีการลงโทษบุคคลที่เกี่ยวข้องไปแล้ว

“มาร์ค”โต้ทุกปมกล่าวหา

นายอภิสิทธิ์ ได้นำเอกสารหลักฐานมาแสดงพร้อมชี้แจงว่า โดยปฏิเสธว่ารัฐบาลไม่ได้ออกกฎหมายลดโทษเพื่อช่วยเหลือผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการยึดสนามบินมาก่อนหน้านี้ เพียงแต่เห็นว่ามีการปกป้องและเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยของสนามบินมากขึ้น ส่วนกรณีที่ระบุว่าตนแสดงเอกสารเท็จในการเข้ารับราชการทหารในการเป็นอาจารย์นักเรียนนายร้อยนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะหากไม่เข้าหลักเกณฑ์ทางโรงเรียน จปร. จะรับไปได้อย่างไร การรับราชการถ้าไม่ผ่านการเกณฑ์ทหารก็ยังมีอีกหลายรูปแบบที่ได้รับการยกเว้นคือการเป็น ร.ด. การเป็นครู รวม ทั้งระเบียบข้าราชการทหารปี 2511

นายกฯ กล่าวว่า ยอมรับว่าตนเข้ารับการตรวจเลือกเพื่อเกณฑ์ทหารล่าช้าเนื่องจากไปศึกษาที่ต่างประเทศ ขณะนั้นอายุ 23 ปี แต่อยู่ในการดูแลของ ก.พ. ซึ่งได้ทำเรื่องผ่อนผันทหารในปี 2530-2531 ในการเข้าเป็นข้าราชการทหารในช่วงแรกปี 2530 ก็เป็นข้าราชการกลาโหมพลเรือน หลังจากนั้นตนได้ฝึกหลักสูตรตามระเบียบทหารทุกอย่าง และฝึกเสร็จเมื่อปี 2531 ก็เป็นขั้นตอนขอพระราชทานยศ ซึ่งเอกสาร สด.9 หายไปจึงได้ไปขอใบแทน ซึ่งก็ไม่ได้มีผลต่อการรับราชการทหารและรับพระราชทานยศแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามเมื่อมหาวิทยาลัยที่ตนจะไปศึกษาต่อได้ประสานมา จึงได้ทำเรื่องขอลาเพราะยังต้องการสอนอยู่ และทำสองอย่างพร้อมกัน แต่ในที่สุดก็ได้ขอลาออก ตนเข้ารับราชการเกิน 1 ปี ตามระเบียบที่กำหนดให้รับราชการ อย่างน้อย 1 ปี

ตอก “จตุพร” สับสนข้อมูล

นายกฯ กล่าวอีกว่า สำหรับข้อกล่าวหาว่าตนทำเอกสารเท็จในปี 2531 แต่ตนไปสมัครเข้ารับราชการในปี 2530 มันจะเป็นไปได้ อย่างไรท่านคงเกิดความสับสนบางอย่าง ดังนั้นจึงไม่มีอะไรบ่งบอกว่าตนขาดคุณลักษณะ ขาดจริยธรรมและคุณธรรมสร้างมาตรฐานใหม่ ซึ่งยืนยันว่าไม่มีสองมาตรฐาน ส่วนกรณีที่ระบุว่าการออกเอกสารเป็นเท็จจนทำให้ข้าราชการที่เกี่ยวข้อง 2 คนต้องถูกลงโทษ ตนได้ติดตามสอบถามข้อเท็จจริงปรากฏว่าบุคคลทั้งสองไม่เคยได้รับโทษตามที่กล่าวไว้แต่อย่างใด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันทีที่นายอภิสิทธิ์ ชี้แจงเสร็จ นายจตุพรได้ลุกขึ้นอภิปรายอีกหลายครั้งโดยยังย้ำถามถึงประเด็นการยื่นเอกสารเท็จในการเข้าสมัครราชการทหาร ขณะที่นายอภิสิทธิ์ได้ชี้แจงตอบโต้ทันทีว่า เอกสารหายในช่วงขั้นตอนของการขอพระราชทานยศ ซึ่งยืนยันว่าได้ใช้ใบสด.9 ในการสมัครเมื่อปี 2530 โดยมีต้นขั้วสามารถตรวจสอบได้ ส่วนที่ยังคงติดชื่ออยู่ในบัญชีที่ขาดการเกณฑ์ทหารอาจจะเป็นปัญหาภายในเกี่ยวกับการแก้ไขเอกสารของเจ้าหน้าที่ก็ได้ ทั้งนี้ นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรค ประชาธิปัตย์ ได้แถลงข่าวชี้แจงให้กับนายกฯทุกข้อกล่าวหาของนายจตุพรโดยทำเอกสารพร้อม ชี้แจงอย่างละเอียด

ถล่ม“กรณ์”เอื้อเอสเอ็มเอส

ต่อมา นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นอภิปรายนายอภิสิทธิ์ในข้อหาการมีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยมิชอบ ในเรื่องการส่งข้อความสั้นหรือเอสเอ็มเอสไปยังประชาชนหลังจากที่ได้รับตำแหน่งนายกฯได้เรียกผู้บริหารของบริษัทโทรศัพท์มือถือ 3 แห่ง มาหารือที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ เพื่อขอให้ส่งข้อความสั้นในนามของนายอภิสิทธิ์

นายสุรพงษ์ อภิปรายอีกว่า การส่งเอสเอ็มเอสนั้น นายอภิสิทธิ์ ก็ไม่ได้จ่ายค่าบริการดังกล่าวให้แก่บริษัทให้บริการ ทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากอัตราภาษีสรรพสามิต จึงก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ นอกจากนี้หากคิดค่าบริการก็ต้องเป็นเงินจำนวนมากกว่า 3 พันบาทแน่นอน การที่นายอภิสิทธิ์ไม่ได้จ่ายในส่วนนี้ก็เท่ากับได้รับประโยชน์เกินมูลค่า 3 พันบาท ยังเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างรุนแรง ส่วนนายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า สิ่งที่นายกรณ์พยายามทำในเรื่องเอสเอ็มเอสนี้ส่งผลให้นายกรณ์ได้รับตำแหน่ง รมว. คลัง ซึ่งเป็นจุดประสงค์ของนายกรณ์ที่เร่งผลักดันเรื่องนี้

แจงสร้างวิธีสื่อสารใหม่

นายอภิสิทธิ์ ชี้แจงว่า สาเหตุที่มีแนวคิดการส่งเอสเอ็มเอสเพราะบ้านเมืองขณะนั้นอยู่ในภาวะความแตกแยกสูง จึงหาวิธีที่จะสื่อสารกับประชาชนโดยตรง โดยให้หลักการว่าจะต้อง อยู่ภายใต้กฎหมาย และคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชน และเรื่องสำคัญกำชับว่าหากจะขอความร่วมมือจะต้องไม่มีเรื่องผลประโยชน์เรื่องการเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนเรื่องการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลนั้น เราไม่ได้คิดขนาดนั้น เพราะเมื่อเวลาไปงานที่ไหน ก็มีเอสเอ็มเอสต้อนรับ ถ้าพูดถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชน ต้องถามกลุ่มคนที่เอาเบอร์โทรศัพท์ตนไปประกาศตามสถานีวิทยุเพื่อให้ส่งข้อความหยาบคายเข้ามา ถือว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนมากกว่าอีก

นายกรณ์ กล่าวว่า นายจิรายุ ตุลยา นนท์ นักวิชาการคณะทำงานผู้นำฝ่ายค้าน เป็นคนใกล้ชิดของตนและนายกฯเพราะช่วยทำงานมาหลายปี และมีการหารือที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์จริง แต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้อภิปรายจึงพยายามทำให้เป็นความลับ ทั้ง ๆ ที่การพูดคุยก็ทำโดยเปิดเผย และตนก็ไม่ได้ใช้อำนาจหน้าที่ไปบีบบังคับใด ๆ เพราะอย่างบริษัทฮัชชิสันที่ กสท ถือหุ้นใหญ่และประธาน กสท คือรองปลัดกระทรวงการคลังก็ไม่ร่วมโครงการซึ่งก็ไม่มีปัญหา อะไร นอกจากนี้ นายกรณ์ยังได้ยกตัวอย่างการส่งเอสเอ็มเอสในต่างประเทศมาอธิบายในสภาอีกด้วย แต่ฝ่ายค้านก็ตอบโต้ว่าต่างประเทศต้องจ่ายเงินทั้งนั้นไม่มีรายการฟรี

ท้าฝ่ายค้านส่ง ป.ป.ช.ตัดสิน

นายกรณ์ กล่าวว่า การส่งเอสเอ็มเอสไปจำนวน 17 ล้านเลขหมาย แต่มีประชาชนตอบกลับมา 3.4 แสนเลขหมาย ซึ่งรายได้ที่ คิดค่าบริการครั้งละ 3 บาทนั้นก็เป็นเรื่องของบริษัทที่จะได้รับและทำรายการการเสียภาษี ส่วนค่าใช้จ่ายในการส่งข้อความของนายกฯนั้น รัฐบาล ไม่ได้จ่ายค่าบริการ เพราะเป็นการขอความร่วมมือกับบริษัทเอกชน ซึ่งยินดีร่วมสร้างความสมาน ฉันท์ ส่วนเรื่องภาษีนั้น กระทรวงการคลังก็ไม่ได้ละเว้น และตนก็ไม่เคยมีส่วนร่วมทำทุจริตด้วยการแก้สัมปทานเอื้อประโยชน์ให้เจ้าของบริษัทมือถือแต่อย่างใด ตนยินดีที่ฝ่ายค้านส่งเรื่องนี้ให้ ป.ป.ช. ตัดสิน เพื่อให้เกิดความชัดเจน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการอภิปราย นายสุรพงษ์และนายสุชาติ ได้ระบุว่าสัญญาณถ่ายทอดสดของเอ็นบีทีในจังหวัดสุรินทร์ และอุบลราชธานี ไม่ชัดเจน จนนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกฯ ลุกขึ้นชี้แจงว่า ได้มอบนโยบายไปแล้วให้ถ่ายทอดการอภิปรายตลอด เว้นเฉพาะในช่วงข่าวในพระราชสำนักเท่านั้น และเท่าที่ตรวจสอบสัญญาณการรับชมทั่วประเทศชัดเจน เพียงแต่บางพื้นที่อาจรับชมผ่านดาวเทียม หรือเคเบิลทีวีท้องถิ่น ซึ่งอาจจะมีปัญหาเพราะสภาพอากาศได้

“สุนัย”สวดงบว.อาชีวะฉาว

จากนั้นในช่วงเย็นเป็นการอภิปรายของนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ที่ลุกขึ้นมาอภิปรายสำทับในประเด็นเรื่องการส่งเอสเอ็มเอส โดยมีการอภิปรายด้วยคำพูดและท่าทางที่สร้างสีสันและเหน็บแนมเป็นระยะ ทำให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์บางส่วนต้องลุกขึ้นประท้วง โดยช่วงหนึ่งนายอภิชาติ สุภาแพ่ง ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นประท้วงและระบุให้นายสุนัยระบุถึงการอภิปรายว่านายอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรคตัวปลอม และให้นายสุนัยระบุว่าใครเป็นหัวหน้าพรรคตัวจริง จนมีการตอบโต้ไปมา ในที่สุดนายชัยจึงระบุเองว่านายอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายกฯลุกขึ้นมายืนยันด้วยตัวเองและปฏิเสธด้วยอารมณ์ขันว่า ไม่ได้หน้าซีดเพราะกลัวอภิปราย แต่กลัวว่านายอภิชาติจะไปทำอะไร

ซึ่งต่อมา นายสุนัย ได้เริ่มอภิปรายในประเด็นข้อสังเกตการตั้งงบประมาณของสำนักงานอาชีวศึกษา ที่เชื่อว่าจะมีการทุจริตในวงเงิน 750 ล้านบาท โดยมีการตั้งงบประมาณแบบตัวเลขกลม ๆ และมีการตั้งงบเท่ากันหมด รวมทั้งได้แสดงหลักฐานเป็นหนังสือราชการที่สั่งการให้วิทยาลัยอาชีวะเร่งเสนอการใช้งบอย่างเร่งด่วน รวมไปถึงการเสนอราคาจากเอกชนที่พบพิรุธ นอกจากนี้ นายสุนัยยังเปิดเผยว่ามี ส.ส. ของ รัฐบาลคนหนึ่งเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องการใช้งบประมาณ ของสำนักงานอาชีวะ โดยได้แสดงหนังสือราช การเพื่อประกอบการอภิปรายอย่างต่อเนื่อง และระบุว่ามีการออกหนังสือเร่งใช้งบประมาณไปยังอาชีวะภาคซึ่งขณะนั้นยังไม่มีการตั้งหน่วยงานนี้ แต่มีหนังสือแต่งตั้งในภายหลัง โดยนายสุนัยโยงกรณีนี้ไปถึงนายกฯที่มีความบกพร่องในการบริหารราชการ

แฉเบื้องหลังบงการตั้งงบ

นายสุนัย กล่าวว่า ที่มาของนายกฯแบบนี้ทำให้เป็นเบี้ยล่างของพรรคร่วมรัฐบาลมี รมว. รมช. และมี รมต. สั่งการ เดี๋ยวนี้คอร์รัปชั่นกันง่าย รมว. และ รมช. นั่งตาใสว่าไม่ทุจริต แต่คนข้างหลังจะสั่งการให้มีพฤติกรรมเป็นไอ้เสือบุกปล้นหรือไม่ ไม่ทราบ โดยในงบประมาณจัดซื้อคุรุภัณฑ์ของสำนักการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ได้กำหนดไว้ 3 ราคาวงเงินเท่า ๆ กันคือไม่ถึง 2 ล้านบาทเพื่อเลี่ยงการประมูล โดยให้กับ 404 วิทยาลัย รวมประมาณ 750 ล้านบาท เป็นการจัดงบแบบตะกร้าของขวัญซื้อไปเยี่ยมคนไข้ งบนี้ผิด พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย เพราะมีการจัดงบกันใหม่หลังจากผ่านการพิจารณาของสภา

“นอกจากนี้ยังมีหนังสือส่งไปยังวิทยาลัย ต่าง ๆ ให้ส่งเรื่องการจัดซื้อมาภายในวันที่ 19 ก.พ. และยังมีเอกสารแนบท้ายเป็นรายการคุรุภัณฑ์ ซึ่งสอบถามไปยังกระทรวงศึกษาธิการ ได้รับคำตอบว่า ไม่ทราบว่าเป็นเอกสารอะไร แต่คงเป็นเอกสารของพ่อค้า ซึ่งผิดสังเกตเพราะกำหนดราคาได้ตรงกับราคาที่สำนักงบประมาณกำหนดไว้ ส่อเป็นการร่วมมือกับพ่อค้า พฤติกรรมนี้ชี้ว่านายกฯกำลังถูกพรรคร่วมรัฐบาลขี่คอ และโครง การนี้ส่อผิดกฎหมายฮั้ว” นายสุนัย กล่าวทั้งนี้ นายกฯได้มอบหมายให้ น.ส.นริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ รมช.ศึกษาฯชี้แจง ยืนยันว่าดำเนินการถูกต้อง ต่อมานายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว. ศึกษาฯ ได้ขออธิบายเรื่องดังกล่าวด้วยตนเอง

ท้า“สุนัย”ไปยื่น ป.ป.ช.สอบ

น.ส.นริศรา ซึ่งดูแลสำนักงานอาชีว ศึกษา ลุกขึ้นชี้แจงว่า งบนี้ตั้งมาตอนที่นายศรีเมือง เจริญศิริ เป็น รมว.ศึกษาธิการ ทำให้นาย สุนัย รู้รายละเอียดในโครงการนี้ดี ทั้งนี้หากมี หลักฐานใดของให้นายสุนัย ส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช. เพราะงบนี้ทำโดยนายศรีเมือง ตนมีคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี มีการศึกษาพอที่จะรู้ว่ารัฐบาลนี้เข้ามาต้องแก้เรื่องที่รัฐบาลที่แล้วทำให้ตรงกับระเบียบ และความถูกต้อง ส่วนนางนาถยา เบญจศิริวรรณ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ ใช้สิทธิพาดพิง โดยชี้แจงว่า ในครอบครัวของตนไม่มีคนชื่อปัญญา และตนไม่ทำอย่างที่นายสุนัย อภิปรายแน่นอน

สภาฯป่วนสาดของลับใส่กัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุนัย ยังคงอภิปราย โดยระบุว่า การที่ น.ส.นริศรา ระบุว่าไม่ได้เป็นคนของใคร อยากถามว่าแล้วเป็นรัฐมนตรีจากไหน ทำให้นายรณฤทธิชัย คานเขต ส.ส.ยโสธร กลุ่มบ้านริมน้ำ พรรคเพื่อแผ่นดิน ลุกขึ้นประท้วงทันที โดยระบุว่าขอให้นายสุนัย อภิปรายรวบรัด พูดตรงไปตรงมา อย่าเสียดสี

ขณะที่นายรณฤทธิชัย ยังพูดไม่ทันจบ นายสุรเชษฐ์ ไชยโกศล ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นพูดสวนถามไปยังนาย รณฤทธิชัยว่า อภิปรายในฐานะอะไร ถ้าอยาก อภิปรายในฐานะรัฐมนตรี ก็ให้รอปรับครม. รอบหน้า ทำให้นายรณฤทธิชัยพูดสวนขึ้นทันทีว่า “ผมจะเอาตอนนี้แหละ” นายสุรเชษฐ์จึงตะโกนให้ของลับ พร้อมกับชูนิ้วกลางใส่

ทำให้นายรณฤทธิชัย ถึงกับคุมอารมณ์ไม่อยู่ โดยตะโกนสวนให้ของลับตอบโต้ไปมา และมีการท้ากันไปเจอกันหลังห้องประชุม เป็นเหตุให้นายรณฤทธิชัย ถึงกับเดินไปยังประตูทางออกด้านหลังห้องประชุม พร้อมกับเตรียมถอดสูท เดินออกไปนอกห้องประชุม โดยมีเพื่อน ส.ส. เข้าไปดึงกลับมาให้นั่งที่นั่งบริเวณพรรคเพื่อแผ่นดิน ขณะที่นายสุรเชษฐ์ ยังคงนั่งอยู่ในห้องประชุมโดยมีเพื่อน ส.ส. กดบ่าอยู่ ในที่สุดเพื่อน ส.ส. ต่างปรี่เข้ามาห้ามและแยกออกจากกัน ส่วนนายสุนัยยังโยกโย้ไม่ยอมตอบว่าใครเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตัวจริงตามที่มีผู้ประท้วง เพียงแต่ใช้มือลูบศีรษะที่มีผมสีขาว พร้อมกับบอกว่าให้รอฟังการโฟนอินวันที่ 22 มี.ค. จนนายชัย ต้องปรามทั้งสองฝ่ายด้วยน้ำ เสียงดุดันให้พูดเฉพาะเรื่องอภิปราย ไม่พูดเรื่องไร้สาระ

ทีพีไอลั่นฟ้องถูกพาดพิง

ขณะที่นายศิลปิน บูรณศิลปิน รองผจก.ใหญ่ ฝ่ายกิจกรรมพิเศษ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯยืนยันจะดำเนินคดีทั้งแพ่งและอาญา กับบุคคลที่อภิปรายพาดพิง กรณีเงินจำนวน 258 ล้านบาท อย่างแน่นอน ซึ่งขณะนี้ได้ให้ทีมกฎหมายติดตามและรวบรวมข้อมูลการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ในเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และพบว่ามีช่องทางที่จะดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลที่กล่าวพาดพิงบริษัทฯให้เกิดความเสียหายแล้ว ทั้งนี้ บริษัทฯยืนยันว่าไม่เคยบริจาคเงินให้กับพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งอย่างที่ถูกกล่าวหาโดยมิชอบ แต่เป็นค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขายสินค้าของบริษัทฯเท่านั้น ถือว่าเป็นการค้าทางปกติ

“เรืองไกร”ร้องสอบ“ปู่ชัย”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ยื่นคำร้องเป็นจดหมายผ่านทางไปรษณีย์ เพื่อให้กกต.ตรวจสอบการทำหน้าที่ของนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในขณะที่ยังเป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชน ที่ถูกยุบไปว่า ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยมีการส่งหลักฐานเป็นผังแสดงความเป็นสมาชิกพรรคการเมืองที่ถูกยุบมาด้วย ทั้งนี้คำร้องระบุว่า การ ที่นายชัย ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชนที่ถูกยุบไป และทำหน้าที่เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ให้ความเห็นชอบเลือกนายอภิสิทธิ์

จึงมีความเห็นและประเด็นที่ต้องพิจารณาวินิจฉัยกรณีดังกล่าวว่า การที่พรรคพลังประชาชนถูกตัดสินยุบพรรคไป และนายชัยยังไม่ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองอื่นตามสิทธิตามกฎหมาย จึงถือเป็นการเข้ามาทำหน้าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ยังเป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชนอยู่นั้น จะชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 106 (8) และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 มาตรา 20 หรือไม่ นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่ว่า หากการกระทำของนายชัย ในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎร ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การทำหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี จะถือว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

นปช.เลื่อนชุมนุมใหญ่26มี.ค.

วันเดียวกัน ที่บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด ศูนย์การค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว เวลา 11.00 น. แกนนำกลุ่ม นปช. ประกอบด้วย นายวีระ มุสิกพงษ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นพ.เหวง โตจิราการ และนายจรัล ดิษฐาอภิชัย ร่วมกันแถลงข่าวประกาศเลื่อนการชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากเดิมที่กำหนดไว้วันที่ 29 มี.ค. มาเป็นวันที่ 26 มี.ค.ว่า เนื่องจากสถาน การณ์การเมืองผันแปร ทำให้การชุมนุมประกาศเจตนารมณ์ขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ต้องเลื่อนเร็วขึ้นเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย เรียกร้องความเป็นธรรมในสังคม และเรียกร้องการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม

ดังนั้นในเช้าวันที่ 26 มี.ค.คนเสื้อแดงจากทั่วประเทศจะมารวมตัวกันที่ท้องสนามหลวง และเดินขบวนกันเต็มสองฝากถนนราชดำเนินไปปิดล้อมขับไล่รัฐบาลที่ทำเนียบรัฐบาล ส่วนการชุมนุมจะยืดเยื้อนานกี่วันนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมือง ว่ารัฐบาลจะตอบสนองข้อเรียกร้องหรือไม่ ส่วนที่มีผู้อ้างว่า คนเสื้อแดงมีแผนตากสิน โค่นล้มรัฐบาลโดยเฉพาะ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.มาให้เอาข้อมูลหลักฐานแสดงต่อสาธารณะชน ว่าคนเสื้อแดงไปเกี่ยวข้องกับแผนดังกล่าวได้อย่างไร ไม่มีมูลความจริง

“อนุพงษ์”วอน“แม้ว”ปิดวิก

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินถึงแผนตากสินที่จะล้มรัฐบาล กองทัพ และกระทบสถาบันว่า ตนยังไม่ได้ศึกษาละเอียดมากกับข้อมูลที่ได้รับ แต่จะเป็นข้อมูลถูกต้องมากน้อยเพียงใดก็กำลังศึกษาอยู่ ซึ่งตนอยากบอกสังคมว่า การที่จะคิดอะไรกับสังคมไทยในขณะนี้ และไปกระทบกระเทือนกับสถาบันหลัก ไม่ว่าจะเป็นประชาชน ชาติ ศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่เป็นสิ่งดีกับประเทศชาติ เพราะฉะนั้นเราเป็นคนไทยต้องเข้าใจ และช่วยกันประคับประคองบ้านเมืองให้ผ่านไปได้ ส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องก็ต้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของตนเอง

เมื่อถามว่า ความแตกร้าวของคนไทยได้แคบลงมาแล้วหรือยัง พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ต้องดูจากคนส่วนใหญ่ที่เป็นพลังเงียบ ทุกคนเบื่อหน่ายสถานการณ์ที่ไม่ได้ช่วยกันฝ่าฟันเศรษฐกิจ หรือจะทำให้ชีวิตดีขึ้น เมื่อเขาเบื่อหน่ายในการปลุกปั่นอะไรก็ไม่ได้ผลมากนัก ตนคิดว่าถ้าคนพวกนี้ออกมาช่วยสังคมก็น่าจะดีขึ้น เมื่อถามว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังควรจะยุติบทบาทเช่นกันใช่หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า น่าจะยุติบทบาทตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ เพราะเป็นการทำร้ายประเทศชาติและคนไทยด้วยกัน

แดงเหนือนัดรวมพลัง

ที่ จ.พิษณุโลก เมื่อเวลา 14.00 น. นายบุญเลิศ เรืองทิม ประธานเครือข่ายประชาชนปกป้องประชาธิปไตยแห่งชาติ กลุ่มพิษณุโลก 49 พร้อมกับพวก 10 คน เข้ายื่นหนังสือต่อ นายสุรินทร์ ฐิติปุญญา นายก อบจ.พิษณุโลก เพื่อขอใช้สนามกีฬาจังหวัด เปิดเวทีปราศรัยรายการความจริงวันนี้ในวันที่ 24 มี.ค. เวลา 14.00-24.00 น. โดยจะมีแกนนำ นปช.มาร่วมอย่างพร้อมเพรียง

ส่วนที่ จ.เชียงใหม่ เวลาเดียวกัน นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล แกนนำกลุ่มคนรัก เชียงใหม่ 51 เปิดเผยว่าในวันอาทิตย์ที่ 22 มี.ค.นี้ จะมีการจัดรายการความจริงสัญจร ณ สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี ตั้งแต่เวลา 12.00-21.00 น. โดยจะมีแกนนำคนสำคัญมาร่วมพร้อมกับการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ เชื่อว่าจะมีผู้มาร่วมงานถึง 5 หมื่นคน

ป.ป.ช.มีมติยื่นฟ้องหล่อเล็ก

นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม ป.ป.ช. ว่า ที่ประชุม ป.ป.ช. มีมติส่งเรื่องการกล่าวหานายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯกทม. ข้อหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีการทุจริตโครงการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของกรุงเทพมหานคร มูลค่า 6,200 ล้านบาท ให้สำนักงานอัยการสูงสุดดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการ เมือง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ สำนักงานอัยการสูงสุดได้ส่งสำนวนคดีดังกล่าวกลับมาให้ ป.ป.ช. ตั้งคณะทำงานร่วมกับอัยการสูงสุด เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานในคดีนี้เพิ่มเติมให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ซึ่ง ป.ป.ช. ได้รวบรวมพยานเอกสาร และพยานบุคคลครบถ้วนตามที่สำนักงานอัยการ สูงสุดต้องการแล้ว จึงให้ส่งเรื่องต่ออัยการสูงสุดในสัปดาห์หน้า เพื่อดำเนินการฟ้องผู้กระทำผิดต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับผู้ที่ถูกกล่าวหาในสำนวนความผิดที่ ป.ป.ช. ยื่นฟ้องต่อสำนักงานอัยการสูงสุด นอกจากนายอภิรักษ์แล้วยังประกอบด้วย นายโภคิน พลกุล อดีต รมว.มหาด ไทย นายประชา มาลีนนท์ อดีต รมช.มหาดไทย นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์ นายสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าฯ กทม.

คะแนนนิยมรัฐบาลยังดี

สำนักวิจัยเอแบคโพล มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เสนอผลเอแบคเรียลไทม์โพล เรื่อง ความรู้สึกนึกคิดของประชาชนต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนใน 17 จังหวัดทั่วประเทศ พบว่า ร้อยละ 76.7 ไม่ได้ติดตามชม/ฟังการอภิปราย ร้อยละ 17 ติดตามบ้าง ส่วนความน่าเชื่อถือของข้อมูล ร้อยละ 34.4 ระบุข้อมูลของ ร.ต.อ.เฉลิม มีความน่าเชื่อถือ ร้อยละ 19.4 เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ร้อยละ 46.2 ไม่เชื่อถือ เมื่อถามถึงความนิยมศรัทธาต่อพรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 27.6 ลดลง ร้อยละ 72.4 ไม่ลดลง ส่วนความศรัทธาต่อนายกฯ ร้อยละ 29.4 ลดลง และร้อยละ 70.6 ไม่ลดลง

ส่วนสวนดุสิตโพล รายงานการสำรวจในหัวข้อการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ในสายตาผู้ติดตามชมการถ่ายทอดสดถึงเวลา 18.00 น. ภาพรวมการอภิปราย ร้อยละ 46.15 ระบุว่ามีแต่เรื่องเดิม ร้อยละ 30.78 ยังไม่ชัดเจน ร้อยละ 23.07 มีแต่การตอบโต้ ส่วน 4 ผู้อภิปรายที่ประชาชนชื่นชอบ ร้อยละ 31.2 เป็นนายอภิสิทธิ์ ร้อยละ 29.32 ร.ต.อ.เฉลิม ร้อยละ 22.45 นายจตุพร และร้อยละ 17.03 นายสุนัย ส่วนสิ่งที่ไม่ชอบ ร้อยละ 57.14 ระบุว่า การขุดคุ้ยเรื่องเก่า ร้อยละ 28.57 เนื้อหาไม่ชัดเจน ร้อยละ 14.29 ประท้วงกันบ่อย ส่วนสิ่งที่คาดหวังต่อผลที่จะได้รับ ร้อยละ 53.33 รัฐบาลควรรอบคอบให้มากขึ้น ร้อยละ 26.67 ข้อมูลควรชัดเจน ร้อยละ 20 ต้องปฏิบัติตามระบอบประชาธิปไตย.