ที่มา Thai E-News
โดย จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา นิตยสารแนวร่วมREDรายสัปดาห์ ฉบับวางแผงล่าสุด
14 สิงหาคม 2552
๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๖ , ๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๙, พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๕ เป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยภายในกรอบของระบอบอำมาตยาธิปไตย แต่พุทธศักราช ๒๕๔๙ เป็นต้นมาจนกระทั่งบัดนี้ คือการต่อสู้ครั้งแรกที่ระบอบประชาธิปไตยสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตยโดยตรงครับ
ขึ้นต้นตรงๆ เลยว่า แกนนำหรือมวลชนคนใดที่ยังนึกภาพความสำเร็จของ “พฤษภาทมิฬ” ไว้ในใจ ยังฝันว่าการเผชิญหน้าใน พ.ศ.๒๕๕๒ จะออกมาในรูปเดียวกัน นั่นคือฝ่ายประชาธิปไตยได้ “ภาพ” แห่งความสำเร็จในการไล่เผด็จการมากกกอดจนถึงทุกวันนี้ จะผิดหวังมาก
เหตุการณ์ในปี พ.ศ.๒๕๕๒ คล้ายคลึงกับเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๕ เพียงประเด็นเดียวคือ ความตั้งใจของมวลชนที่จะโค่นล้มเผด็จการ ส่วนเกม และผู้เล่นครั้งนี้แตกต่างจากครั้งนั้นราวฟ้ากับเหว
ถ้าหมกมุ่นให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย โดยเอาพฤษภามาเป็นตัวกำหนด อาจพาฝ่ายประชาธิปไตยทั้งมวลไปสู่ความพ่ายแพ้ย่อยยับได้
ผมร่วมอยู่ในเหตุการณ์ต่อต้านอำมาตยาธิปไตยมาตั้งแต่ต้น และขยับตัวเองมาทำงานในที่ที่จะทำอะไรได้มากและลึกซึ้งขึ้นในขณะนี้ รู้สึกว่าต้องพูดกันสักทีแล้วครับ เพราะแกนนำของเราหลายคนออกจะหมกมุ่นกับเหตุการณ์ขับไล่ รสช. เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๕ ที่เกี่ยวข้องกับการ “พาคนไปตาย” เพื่อแลกกับความสำเร็จที่ไม่ใช่ของเรา แต่เป็นเล่ห์กลที่ฝ่ายอำมาตย์เขาเล่นหลอกเรา
แล้วเราบางคนก็เชื่อว่าฝ่ายประชาธิปไตยเก่งจริง
ในเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๕ นั้น ผมเป็นข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศและต้องประสานงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยข่าวกรองของหลายประเทศ จึงรู้บ้างว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นฝ่ายประชาธิปไตยถูกกำหนด “บท” หรือ “script” ให้เล่นอย่างไร และจบลงด้วยผลประโยชน์ของเขา โดยไม่ใช่ของประชาชนอย่างไร
เรื่องแรกที่สุด เหตุการณ์พฤษภา ’๓๕ ไม่ใช่การเผชิญหน้ากันระหว่างฝ่ายอำมาตย์กับประชาชนเหมือนครั้งนี้ แต่เป็นความขัดแย้งและความไม่ไว้วางใจกันในหมู่ลูกน้องของฝ่ายอำมาตย์เอง โดยดึงประชาชนเข้าไปเสียบไว้ตรงกลางระหว่างแนวกระสุนจนล้มตายหรือหายสาบสูญไปเป็นจำนวนมาก
เมื่อนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้ารุ่นที่ ๕ อย่างพลเอกสุจินดา คราประยูร พลเอกอิสรพงศ์ หนุนภักดี พลอากาศเอกเกษตร โรจนนิล เป็นต้น ได้อำนาจเต็มมือจากการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลประชาธิปไตยของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ฝ่ายอำมาตย์ที่เป็นคนใช้เขาทำงานนี้เองกลับรู้สึกไม่ไว้วางใจ เพราะปีต่อมากลุ่ม จปร. ๕ ทำท่าจะไม่คืนอำนาจที่ตัวยึดมา ในประโยคเท่ๆ ที่พลเอกสุนทร คงสมพงศ์พูดเกี่ยวกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า “สุไม่เอาก็ให้เต้”
สุ คือ สุจินดา คราประยูร
เต้ คือ เกษตร โรจนนิล
เขาก็เดินแผนเอานักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าอีกรุ่นหนึ่งที่ไม่ชอบกันคือ จปร. ๗ โดยเฉพาะพลตรีจำลอง ศรีเมือง ผู้เป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรีของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มาเป็นหัวหอกต่อต้าน “เผด็จการ รสช.” ที่เขาสร้างขึ้นมาเองกับมือ ร่วมกับแกนนำฝ่ายประชาธิปไตยหลายคนที่อาจจะไม่รู้สร้อยสนกลใน
ไม่รู้ว่างานนี้คนสร้าง รสช. ขึ้นมากับมือ และคนที่จ้องทำลาย รสช. ก็คือคนเดียวกัน
พูดอย่างไม่เกรงใจคือเป็นจิ้งหรีดในกระดานเดียวกันที่เขาจับขึ้นมากัดกันจนตายไปข้างหนึ่ง
แกนนำสมัยพฤษภาหลายท่านจึงมั่นใจอย่างผิดๆ ว่า ทำอะไรก็ได้ ขอให้รวมมวลชนมากที่สุดมาร่วมในขบวนต่อต้านได้ก็จะได้รับชัยชนะ ทั้งนี้ก็เพราะลืมหรือแกล้งลืมว่า เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้คนบาดเจ็บล้มตายไปก่อนแล้วถึง ๓ วัน โดยไม่มีหวังว่าจะได้รับชัยชนะ
พูดอย่างไม่ต้องอ้อมค้อมคือ มวลชนในเหตุการณ์เดือนพฤษภาไปร่วมขับไล่เผด็จการอย่างกล้าหาญและตั้งอกตั้งใจ สมควรจะได้รับการจารึกไว้ แต่แกนนำบางคนในเหตุการณ์นั้นจงใจนำมวลชนไปร่วมเกมเข่นฆ่ากันระหว่างคนถืออาวุธ ๒ รุ่น จปร. เพื่อเสริมภาพให้เป็นประชาธิปไตยเท่านั้นเอง
แกนนำเหล่านี้อย่ามีหน้ามาบอกว่าตัวเองก้าวหน้ากว่ามวลชน เพราะเป็นเพียงลูกกระจ๊อกของผู้มีอำนาจเท่านั้น มวลชนใน พ.ศ.๒๕๓๕ เขามีความฮึกเหิมและมีความเคารพในตัวเองสูงกว่าท่าน
และมวลชนประชาธิปไตยในปี พ.ศ.๒๕๔๙ เป็นต้นมาจนบัดนี้ ก็ก้าวหน้าทางความคิดมากกว่าท่านอย่างเปรียบกันไม่ได้เหมือนกัน
เขายอมให้ท่านนำอยู่ในขณะนี้ เพราะเขารู้ว่าเป็นเวทีใหญ่ที่ประชาชนมารวมตัวกันมาก เนื่องจากคุณทักษิณยังโฟนอินเข้ามา เขาก็เลยใช้เป็นสถานที่ประชุมกันเพื่อทำงานการเมืองที่ก้าวหน้าลึกซึ้งกว่าเหตุการณ์บนเวทีที่ท่านจัดเท่านั้นเอง
คนเขาไปดูละครลิงเพราะมันสนุกดี ไม่ได้แปลว่าเขาจะเชื่อลิง
ใครก็ตามที่หวังว่าจัดตั้งมวลชนมาชนกัน โดยหวังให้เกิดเหตุการณ์ล้มตายนองเลือดเพื่อให้เข้ารอยพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๕ จึงถือเป็นมิจฉาชีพที่แอบแฝงเข้ามาในฝ่ายประชาธิปไตย เพราะเจตนาอันแท้จริงคือการทำลายขบวนการประชาธิปไตย ไม่ใช่เสริมสร้างขบวนการประชาธิปไตยเลย
ใครนำขบวนการประชาธิปไตยไปรับใช้ฝ่ายอำมาตยาธิปไตย จะทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม คือเหลือบที่คอยสิงสู่ทำลายขบวนการประชาธิปไตยในเนื้อ ไม่ต่างอะไรจากเซลล์มะเร็งที่ต้องขจัดออกไปจากร่างกาย
ยุทธวิธีที่ใช้อยู่ในขณะนี้ ชาวประชาธิปไตยที่มองทะลุรัฐบาลอภิสิทธิ์-สุเทพ กองทัพของอนุพงศ์-ประยุทธ์ หรือศาลของธานินทร์-ชาญชัยไปนานแล้ว เขาไม่มีความศรัทธาใดๆ เลยครับ
สงครามในครั้งนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างมหาอำมาตย์กับมหาประชาชน จะนานเท่าไหร่ก็ต้องยอม ไม่ใช่การต่อสู้เล็กๆ ระหว่างลูกน้องของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพื่อนำขบวนการทั้งหมดไปสู่ความพ่ายแพ้
แต่ทั้งหมดนี้ เราต้องแยกระหว่าง แกล้งโง่ กับ โง่ ให้ชัด
คนที่ แกล้งโง่ นั้น มีจุดประสงค์จะคัดท้ายพายเรือให้ขบวนประชาธิปไตยหมุนคว้างอยู่กลางน้ำ จนมีผู้เปี่ยมไปด้วยบุญญาบารมีเขาโยนเชือกมาให้ดึง จนเข้าฝั่งได้อย่างปลอดภัย
จากนั้นก็เป็นหนี้บุญคุณเขาไปชั่วลูกชั่วหลาน
แต่คนที่ โง่ นั้น ยังสนุกอยู่กับเกมปัญญาอ่อนที่ไม่คิดให้ครบวงรอบว่าชัยชนะของประชาชนจะมาจากไหนและโดยวิธีใด อาจพาเราไปสู่ความสะใจในระยะสั้น และประสบความปราชัยในระยะยาว
ถ้าให้ผมเลือก ผมเลือกคนโง่ เพราะแกนนำที่โง่ไม่สามารถทำลายขบวนการประชาชนทั้งหมดได้หรอกครับ มวลมหาประชาชนของเรามีมากนัก เกิดอะไรขึ้นก็ยกขบวนมาใหม่ด้วยปริมาณและคุณภาพที่มากกว่าเดิม
แบบนี้ถึงแกนนำแพ้ แต่ประชาชนไม่แพ้
ส่วนพวกที่ แกล้งโง่ และนำขบวนการไปจบลงอย่างอัปยศโดยจงใจเจตนานั้น ปล่อยไปเฉยๆ ไม่ได้
๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๖
๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๙
พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๕
เป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยภายในกรอบของระบอบอำมาตยาธิปไตย
แต่พุทธศักราช ๒๕๔๙ เป็นต้นมาจนกระทั่งบัดนี้ คือการต่อสู้ครั้งแรกที่ระบอบประชาธิปไตยสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตยโดยตรงครับ
อย่าให้พวกแกล้งโง่ พวกเนรวินภาค ๒ และพวกหากินกับการประท้วงมาชั่วชีวิต มาทำให้ประเด็นสำคัญนี้เลือนไปเป็นอันขาด.
---------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน)Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)