ที่มา เดลินิวส์
"สุเทพ"ออกหน้าแทนนายกฯรับเป็นคนสั่ง ผบ.ตร.ลงไป 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเร่งสางคดีสำคัญที่ค้างอยู่หลายคดีและดูแลความพร้อมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ยัน ตั้ง “วิเชียร” รักษาการแทนได้ขณะ ผบ.ตร. ไปปฏิบัติหน้าที่ ตจว.นาน 7-8 วัน ฉุนสื่อซักขอให้หยุดอย่าไปเชื่อข่าวลือ ขณะที่ “อภิสิทธิ์” ย้ำทำถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง ส่งกระเช้าดอกไม้เบิร์ธเดย์เคลียร์ใจ “ประวิตร” พร้อมกับนั่งถกกันสองคนพักใหญ่ก่อนประชุม ครม. แล้ว รมว. กลาโหม ลุกออกจากห้องประชุมไม่กลับมาอีกเลย แต่นายกฯ ปัด ไม่ได้คุยเรื่องปัญหา “บิ๊กป๊อด” แค่อวยพรวันเกิด ส่วนโผโยกย้ายตำรวจส่อเค้า วุ่น อาจเลื่อนประกาศโครงสร้างใหม่ สตช.ในราชกิจจาฯ ออกไปอีก รองนายกฯ ชี้ รอถก ก.ตร. ว่าหากเลื่อนจะผิดกฎหมายหรือไม่ เพื่อไทย จะตั้งกระทู้สดถามนายกฯ ว่าขัดกับ ผบ.ตร. เรื่องการทำโผโยกย้ายเพราะสองฝ่ายเห็นไม่ตรงกันใช่หรือไม่ ด้านคดียิง “สนธิ” ชุดสืบสวนยึดรถเก๋งเชฟโรเลตซาฟิร่าจากบ้านแม่ยายผู้หมู่วรวุฒิ เป็นรถของกลางคดียาเสพติดที่ดีเอสไอจับกุมได้ “อัศวิน” ให้ผู้ต้องหารีบเข้ามอบตัวโดยเร็ว เพราะ หมากระเป๋าที่ฝากแม่ยายเลี้ยงคิดถึงมาก
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้ ผบ.ตร. ลงไปปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังจาก ผบ.ตร.เพิ่ง ลาพักร้อนไปต่างประเทศ แต่เดินทางกลับมาก่อนกำหนด ว่า เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 11 ส.ค. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการทำบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจว่า ขณะนี้ตนได้นัดประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ในตอนบ่ายวันที่ 13 ส.ค.นี้ เพื่อพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้งร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เมื่อถามถึงข้อเท็จจริงในการให้ ผบ.ตร. ไปปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนมีคำสั่งให้ ผบ.ตร. ไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ภาคใต้ เพราะมีคดีสำคัญ ๆ หลายคดีที่ตนต้องการเร่งรัดสะสาง และมีเรื่องของการเตรียมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนจึงขอให้ผบ.ตร.ลงพื้นที่เพื่อเตรียมการเรื่องนี้ด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม มีความไม่พอใจที่น้องชายถูกส่งลงพื้นที่ 3 จังหวัดหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า สื่อคิดไปเอง อย่าไปคิดอะไรให้มันมากเกินเหตุ อย่าไปตั้งข้อสงสัยที่ทำให้เกิดปัญหา มันมีงานที่จะต้องทำก็ต้องไปทำเท่านั้น เมื่อถามว่า ได้ชี้แจงกับ พล.อ.ประวิตร หรือไม่ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนชี้แจงกับผู้สื่อข่าว พล.อ.ประวิตร ไม่ได้สงสัยตน แต่ผู้สื่อข่าวสงสัย ตนจึงต้องชี้แจง
ต่อข้อถามว่าเวลานี้ ผบ.ตร. ปฏิบัติหน้าที่ อยู่ภายในประเทศ เหตุใดจึงตั้งรักษาการ ผบ.ตร. มาทำหน้าที่ นายสุเทพ กล่าวว่า เวลาเขาไม่อยู่ก็ต้องมีการตั้งรักษาการ ผบ.ตร.ขึ้นมาทำหน้าที่ และเวลาเขาไปต่างจังหวัดก็ต้องมีการตั้งรักษาการ ขึ้นมาทำหน้าที่ทุกครั้ง ถือเป็นเรื่องปกติ ตนไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ตนขอให้ ผบ.ตร. ลงไปสะสางงานที่ภาคใต้ให้ตน และเข้าใจว่าต้องไป 7-8 วัน อย่างนี้ต้องมีคนปฏิบัติราชการแทนที่กรุงเทพฯ เป็นเรื่องปกติไม่มีอะไรพิเศษมากกว่านั้น ตนจะลงไปพื้นที่ด้วยในวันที่ 13 ส.ค. นี้ แต่จะเดินทางแบบไป-กลับ ไม่ได้อยู่ยาว ส่วนข้อถามว่า เรื่องนี้จะบานปลายไปถึง พล.อ.ประวิตร พี่ชายของ ผบ.ตร.หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า อย่าไปเชื่อข่าวลือ ไม่มีอะไรบานปลายทั้งสิ้น เมื่อถามว่าส่วนตัวได้ให้คำปรึกษากับนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างหรือไม่ เพราะประชาชนสงสัยว่ารัฐบาลใช้กฎหมายฉบับใดบริหารราชการแผ่นดิน นายสุเทพ กล่าวว่า ก็ใช้กฎหมายฉบับปกติที่บริหารกันมาทุกรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากได้พูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร แล้ว รมว.กลาโหม ยังติดใจเรื่องน้องชายอยู่หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวปฏิเสธว่า ไม่มี ตนเพิ่งเจอกันเมื่อสองวันนี้เอง ไม่เห็น รมว.กลาโหม เคยบ่นอะไรตั้งแต่ทำงานด้วยกันมา 7-8 เดือน ยืนยันว่าไม่มีกรณีที่ รมว.กลาโหม จะไขก๊อกลาออกแน่นอน ทุกคนอยู่ช่วยกันทำงานให้ชาติบ้านเมือง ไม่มีปัญหาอะไร
ขณะเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ตนได้ส่งกระเช้าอวยพรวันเกิด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว. กลาโหม พี่ชาย ผบ.ตร. ไปแล้ว เมื่อถามถึงปัญหาคาใจกรณีของ ผบ.ตร. พล.อ.ประวิตร เข้าใจหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มีอะไร ก็นั่งคุยกันตามปกติ และก่อนการประชุม ครม. ตนเพียงอวยพรวันเกิด พล.อ.ประวิตร อย่างเดียว
ผู้สื่อข่าวถามว่านายกรัฐมนตรีเป็นผู้สั่งให้ ผบ.ตร. ไปภาคใต้ใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนไม่ได้สั่งอะไร ตนได้รับรายงานว่า ผบ.ตร.จะไปปฏิบัติภารกิจที่ภาคใต้ แต่ตนยังไม่ทราบว่าลงไปปฏิบัติภารกิจใด เข้าใจว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รายงานขึ้นมา ต่อคำถามว่า เหตุใดจึงต้องตั้งรักษาการผบ.ตร.ทำหน้าที่แทน ทั้งที่ ผบ.ตร.ปฏิบัติราชการ ภายในประเทศ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนยังไม่ ได้เห็นเรื่อง โดยนายสุเทพ จะเป็นคนรายงาน มาเป็นทางการอีกครั้ง ทั้งนี้นายสุเทพ บอกว่า เป็นการปฏิบัติกันทั่วไปว่า ถ้าไปปฏิบัติภารกิจแล้วไม่สามารถที่จะปฏิบัติราชการได้ก็ทำกันอยู่
ผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐบาลใช้ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินฉบับใด เพราะตอนนี้สังคม ข้าราชการงงกันไปหมด นายอภิสิทธิ์ กล่าวสวนทันทีว่า ใช้ตามกฎหมายทุกฉบับ ยืนยันว่าทุกอย่าง เป็นไปตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน เมื่อถามอีกว่า ดูเหมือนปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้เป็นเพราะนายกรัฐมนตรีไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรให้เด็ดขาดจึงโยนเรื่องกันไปมา นายอภิสิทธิ์ กล่าว ว่า ไม่มีใครโยนอะไร ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยดี โดยช่วงนี้จะเห็นว่าคดีลอบสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล มีความคืบหน้าและมีการออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องเพิ่ม
ต่อข้อถามว่าการจัดทำบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายตำรวจระดับรอง ผบก. ลงไปควรต้องให้ผบ.ตร.คนใหม่ทำหน้าที่นี้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก.ตร.จะเป็นผู้วินิจฉัยเรื่องนี้ ตามขั้นตอน เราจะต้องประกาศโครงสร้าง สตช.ใหม่ในราชกิจจานุเบกษา จากนั้นจึงจะสามารถนำเอารายชื่อระดับนายพลขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายและเมื่อมีการโปรดเกล้าฯ จึงจะสามารถออกคำสั่งในระดับ รองลงมาได้ ไม่สามารถที่จะปรับเป็นอย่างอื่นได้ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทางตำรวจก็ไม่ต้องการให้เกิดสุญญากาศ จึงต้อง เตรียมทุกอย่างให้พร้อม จากนั้นจะเป็นคนเสนอมาว่าจะสามารถประกาศได้เมื่อใด เท่าที่ตนทราบในการโยกย้ายนายตำรวจระดับรองลงมาที่มีการประชุมใน ก.ตร.ครั้งที่แล้ว พบว่ามีจำนวนมากที่คุณสมบัติยังไม่ตรงตามกฎหมาย ซึ่งจะต้องขอยกเว้นจาก ก.ตร.และต้องเป็นการขอยกเว้นเฉพาะรายด้วย ดังนั้นต้องมีการประชุม ก.ตร.อีกครั้ง เพื่อที่จะมีบัญชีของคนที่จะมาขอยกเว้นคุณ สมบัติ กรอบเวลาจะเกี่ยวพันกันหมด โดยตนมอบหมายให้ ก.ตร.เป็นผู้บริหารจัดการว่าต้องการ จะทำอย่างไร
เมื่อถามว่าแสดงว่าตอนนี้ความพร้อมจัดทำโครงสร้างใหม่ สตช. ในราชกิจจาฯ อาจไม่ทันในวันที่ 16 ส.ค. นี้ ใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นายสุเทพ กำลังจะไปสรุปและปรึกษากับ ก.ตร.อีกครั้งว่าจะทำทันหรือไม่ เพราะมี ประเด็นเรื่องคุณสมบัติเข้ามาด้วย ทั้งหมด ก.ตร. จะเป็นคนตัดสิน ต่อข้อถามว่า เรื่องราวทั้งหมดเป็นเพราะไม่ต้องการให้ ผบ.ตร. ยุ่งเกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องเลย ทั้งนี้ ตนขอเท้าความว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้น เพราะมีการพูดถึงว่ามีปัญหาอุปสรรคในเรื่องของคดีของนายสนธิ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ตัว ผบ.ตร. แต่อาจเป็นคนแวดล้อมก็ได้ โดยตนหารือกับ ผบ.ตร. แล้ว ผบ.ตร. เป็นผู้เสนอทางออกเอง แต่ตอนหลังที่มาวิพากษ์วิจารณ์กันเรื่องโยกย้ายแต่งตั้งนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องที่มีการพูดคุยกันมาก่อนเลย
มีรายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งมาด้วยว่า ก่อนเริ่มการประชุมครม. พล.อ.ประวิตร รมว.กลาโหม พี่ชาย ผบ.ตร. ได้เดินทางเข้าไป ในห้องประชุมครม. และทันทีที่ พล.อ.ประวิตร นั่งเก้าอี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ลุกจากที่นั่งของตัวเองไปนั่งพูดคุยกับ พล.อ. ประวิตร เพียง 2 คน นาน 15 นาที ก่อนที่จะเริ่มการประชุม ครม. หลังจากนั้น พล.อ.ประวิตร ได้ลุกเดินออกจากห้องประชุม ครม.ไป และไม่ ได้กลับมาเข้าร่วมประชุม ครม.อีก
ที่พรรคเพื่อไทย นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี รองโฆษกพรรค กล่าวถึงความขัดแย้งระหว่าง นายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรี กับ ผบ.ตร. ว่า รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ว่าเล่นการเมืองมากไปหรือไม่ ตนได้รับการบอกเล่าจากนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่นายหนึ่งว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากโผโยกย้ายที่ไม่ลงตัวระหว่างคน 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเป็นของ นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ส่วนอีกฝ่ายเป็นของนายกฯ จึงเป็นที่มาของการบีบ ผบ.ตร. ให้พ้นตำแหน่ง จริงไม่จริงไม่รู้ ต้องไปถาม นายศิริโชค โสภา ส.ส. สงขลา พรรค ประชาธิปัตย์ คนสนิทนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้การเปิดประชุมสภาในวันที่ 13 ส.ค.นี้ ตนจะตั้งกระทู้ถามสด นายอภิสิทธิ์ ถึงประเด็นดังกล่าว เพราะไม่อยากให้ระบบราชการอยู่ใกล้การเมืองมากเกินไป วันนี้นายสุเทพและผบ.ตร. จะเอาอย่าง แต่นายอภิสิทธิ์จะเอาอีกอย่าง ถามว่า แล้วประเทศจะเดินไปได้อย่างไร นายอภิสิทธิ์ ต้องออกมาชี้แจงต่อสาธารณะให้ชัดเจน
ก่อนหน้านั้น ตอนเช้าวันเดียวกัน ที่สำนัก งานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ผบ.ตร. เดินทางมาที่สำนักงาน ผบ.ตร. ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสและทักทายผู้สื่อข่าวอย่างเป็นกันเอง แต่ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์เรื่องที่ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเรื่องการจัดทำบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ โดย ผบ.ตร. กล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า เพิ่งกลับจากไปทำบุญกับ พล.อ.ประวิตร พี่ชาย ที่วัดพระศรีมหาธาตุ
เวลาไล่เลี่ยกัน พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ที่ปรึกษา สบ10 ได้เข้าพบ ผบ.ตร. ที่สำนักงาน ผบ.ตร. เป็นเวลา 20 นาที จากนั้น พล.ต.อ. วิเชียร เปิดเผยว่า ผบ.ตร. เรียกตนเข้าไปพบเพื่อพูดคุยกันเรื่ององค์กร โดย ผบ.ตร. ฝากตนไว้ว่า หากนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ตนรักษาราชการแทน ให้ดูแลการชุมนุมของกลุ่ม เสื้อแดงที่จะมีขึ้นในวันที่ 17 ส.ค. นี้ อย่าให้เกิดความวุ่นวาย เมื่อถามว่า เรื่องการจัดทำบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ ระดับ รองผบก. ลงไปมีใครเป็นผู้รับผิดชอบ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า คนที่เป็นผบ.ตร. ก็ต้องรับผิดชอบ ต่อข้อถามว่า นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้รักษาราชการแทน ถึง 2 ครั้ง คิดว่าจะได้ เป็น ผบ.ตร. หรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องแล้วแต่การพิจารณาของผู้บังคับบัญชา และอยู่ที่การ ทำงาน ขอให้ดูเอาเองแล้วกัน
ขณะเดียวกัน มีกลุ่มนักเรียนเตรียมทหาร รุ่น 9 ทั้ง 4 เหล่าทัพ นำโดย พล.อ.สุรพันธ์ พุ่มแก้ว เสนาธิการทหารบก พร้อมเพื่อนร่วมรุ่น ตท. 9 กว่า 30 คน พากันนำแจกันดอกไม้เข้ามอบให้กับ ผบ.ตร. เพื่อเป็นกำลังใจในการทำงานในช่วงสถานการณ์เช่นนี้ ขณะที่ ผบ.ตร. รับมอบแจกันดอกไม้ด้วยความปลาบปลื้มและมีสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมทั้งเชิญเพื่อนร่วมรุ่นรับประทานอาหารเช้าพร้อมกันภายในห้องประชุมสำนักงาน ผบ.ตร.
พล.อ.สุรพันธ์ เปิดเผยว่า ที่เดินทางมาครั้งนี้เพื่อให้กำลังใจ ผบ.ตร. ในการทำงานรักษา ความเป็นผู้นำขององค์กร โดยตำแหน่ง ผบ.ตร. เป็นอันดับหนึ่งของตำรวจ รับผิดชอบภารกิจมากมาย ดูแลภาวะบ้านเมืองให้รอด พ้นจากวิกฤติ พวกเรามั่นใจในภาวะผู้นำของ ผบ.ตร. ตั้งแต่เรียนเตรียมทหารมาด้วยกัน ว่าจะสามารถฝ่าฟันเหตุการณ์ช่วงนี้ไปได้
จากนั้น เมื่อเวลา 15.00 น. วันเดียวกันนี้ ผบ.ตร. ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่ สตช. ถึงกรณีลงไปปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดภาคใต้ ว่า หลังวันที่ 12 ส.ค.นี้ ตนจะลงไปปฏิบัติราชการที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อถามว่าเต็มใจไปเองหรือถูกการเมืองบังคับให้ไป ผบ.ตร. กล่าวว่า ตนตั้งใจจะลงไปภาคใต้อยู่แล้ว จะไปตรวจและประเมินผลการปฏิบัติราชการทั้งการรักษาความปลอดภัยการประชุมผู้นำอาเซียนที่ผ่านมาแล้วด้วย เป็นความตั้งใจของตนเอง ส่วนข้อถามว่า ใครจะเป็นผู้ทำบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับ รองผบก.ลงไป ผบ.ตร. กล่าวว่า เป็นไปตามกฎหมาย
รายงานข่าวแจ้งว่า ผบ.ตร. จะเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดภาคใต้ ในเวลา 09.40 น. วันที่ 13 ส.ค.นี้ ด้วยสายการบินไทย เที่ยวบิน TG 233
ส่วนการทำบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับรอง ผบก.ไปจนถึงชั้นประทวนนั้น มีรายงานข่าวแจ้งว่า เจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ก.ตร.ได้โทรศัพท์แจ้งกับ ก.ตร. ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ก.ตร. ได้มอบหมายให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายก รัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ประชุมแทนในฐานะประธาน ก.ตร. ในเวลา 13.00 น. วันที่ 13 ส.ค. นี้ โดยไม่แจ้งวาระการประชุมล่วงหน้า แต่จะส่งหนังสือให้ภายหลัง
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีการนำบัญชีรายชื่อนายตำรวจที่จะได้รับการแต่งตั้งโยกย้ายในครั้งนี้เข้าประชุมพิจารณา คาดว่าการประชุม ก.ตร. ในวันที่ 13 ส.ค.นี้ เป็นการหารือเพื่อขอมติเรื่อง การเลื่อนการประกาศโครงสร้างตำรวจใหม่ในพระราชกิจจานุเบกษา จากวันที่ 15 ส.ค. ไปก่อนว่า จะผิดกฎหมายหรือไม่ เนื่องจากหากประกาศพระราชกิจจาฯโครงสร้างตำรวจใหม่ไปแล้วจะมีผลบังคับใช้ทันที บัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายพลตำรวจ 152 ตำแหน่ง ที่ผ่าน ก.ตร. แล้วพร้อมทำงานได้ ขณะที่ บัญชีแต่งตั้งระดับ รองผบก.ลงไป ยังไม่เสร็จสิ้น ทำให้ไม่มีเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน หากตำรวจรายใดปฏิบัติ หน้าที่จะไม่มีกฎหมายรองรับ
ส่วนความคืบหน้าคดีลอบสังหาร นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้สื่อข่าวรายงานมาว่า เมื่อตอนเที่ยงวันเดียวกันนี้ พ.ต.อ.ขจรศักดิ์ ปานสาคร รอง ผบก.น.5 พ.ต.ต.วีระพล หอมจันทร์ สว.สส. สน.บางเขน พร้อมกำลังจำนวนหนึ่งเข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 72/264 ซอยลาดปลาเค้า 72 แยก 12 ซอย 6 ถนนลาดปลาเค้า แขวงอนุสาวรีย์ เขต บางเขน พร้อมยึดรถเก๋งยี่ห้อ เชฟโรเลต ซาฟิร่า สีบรอนซ์เทา หมายเลขทะเบียน ศว 8051 กรุงเทพมหานคร ของ ส.ต.อ.วรวุฒิ มุ่งสันติ ผู้ต้องหาในคดีลอบยิงนายสนธิ โดยบ้านหลังนี้เป็นของ นางสมส่วน ศิริเจริญยิ่ง อายุ 48 ปี แม่ยายของ ส.ต.อ.วรวุฒิ ที่ตอนนี้ บช.ปส. อายัดบ้านไว้ตรวจสอบเกี่ยวกับคดียาเสพติด นางสมส่วน เปิดเผยว่า รถคันดังกล่าว ส.ต.อ.วรวุฒิ ลูกเขย ใช้มานานแล้ว แต่หลังจากถูกออกหมายจับได้เอารถมาฝากไว้ ที่บ้านก่อนจะเอาสุนัขกระเป๋า มาฝากไว้อีกตัว แล้วพา นางอุบล กองกุหลาบ ภรรยาของ ส.ต.อ.วรวุฒิ ออกจากบ้านหายตัวไปเป็นเดือนแล้ว
พ.ต.อ.ขจรศักดิ์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบที่บ้านหลังนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ไม่พบรถ เนื่องจาก น้องสาวของ นางอุบล ภรรยาของ ส.ต.อ.วรวุฒิ นำรถออกไปใช้ วันนี้ตำรวจจึงเข้าตรวจยึดมาไว้ที่ สน.บางเขน แล้ววันที่ 13 ส.ค.จะส่งให้กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) ตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง เนื่องจากยังไม่รู้ว่ารถคันนี้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ลอบยิง นายสนธิ หรือไม่ พร้อมทั้งนำนางสมส่วน ไปสอบปากคำอย่างละเอียดอีกด้วย สำหรับ รถคันดังกล่าวเป็นรถของกลางในคดียาเสพติดที่ ดีเอสไอ ยึดมาจากผู้ต้องหา แล้ว ส.ต.อ.วรวุฒิ นำมาใช้ก่อนจะถูกออกหมายจับ โดยมีพยานพบเห็นว่า ส.ต.อ.วรวุฒิ ขับรถคันนี้ เข้าไปจอดไว้ในโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่งใน จ.นนทบุรี ด้วย
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกรณีตำรวจยึดรถเก๋งเชฟโรเลต ซาฟิร่า รถของกลางของดีเอสไอ จากบ้านแม่ยายของ ส.ต.อ.วรวุฒิ ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานว่ารถที่ตำรวจยึดไปเป็นรถที่ใช้ก่อเหตุหรือไม่ ส่วนกรณีที่ ส.ต.อ.วรวุฒิ นำรถของกลางไปใช้นั้น ถือเป็นเรื่องปกติที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) จะอนุมัติให้หน่วยราชการนำรถยนต์ของกลางไปใช้ได้ แต่การนำรถของกลางไปใช้ในภารกิจส่วนตัวต้องสอบถามไปยัง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีดีเอสไอ ว่า อนุมัติได้อย่างไร
ขณะที่ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยว่า ได้ตรวจสอบที่มาของรถที่ตำรวจยึดจากบ้านแม่ยายของ ส.ต.อ.วรวุฒิ แล้ว พบว่า เป็นรถของกลางในคดียาเสพติดรายใหญ่ที่ดีเอสไอจับกุมและยึดเงินสดได้กว่า 10 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่า สำนักคดีใดทำเรื่องไปขอยืมใช้รถของกลางคันดังกล่าวจากสำนักงาน ป.ป.ส. และผู้บัญชาการสำนัก คดีใดเป็นผู้อนุมัติให้ ส.ต.อ.วรวุฒิ นำรถของกลางคันดังกล่าวไปใช้ และใช้ในภารกิจใด
พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวภายหลังเรียกประชุมชุดสืบสวนคดียิงนายสนธิ ว่า รถยนต์เชฟโรเลต ซาฟิร่า สีบรอนซ์เทา ติดป้ายทะเทียน ศว 8051 กรุงเทพมหานคร จากการตรวจสอบพบว่าเป็นทะเบียนปลอม หมาย เลขทะเบียนจริงคือ กษ 3737 เชียงใหม่ ผู้ครอบครองชื่อ นายชาญณรงค์ มูเซอ ผู้ต้องหาคดีค้าเฮโรอีนที่ดีเอสไอจับกุมได้เมื่อ 20 มี.ค.ที่ผ่านมา พร้อมของกลางเฮโรอีน 780 กรัม ถูกอายัดทรัพย์มูลค่า 117 ล้านบาท หลังจากหน่วยปราบปรามยาเสพติดดีอีเอของสหรัฐอเมริกาประสานมายังดีเอสไอ เนื่องจาก นายชาญณรงค์ เคยถูกดีอีเอจับกุมดำเนินคดีที่สหรัฐจนพ้นโทษกลับมาประเทศไทยแล้วยังคงค้าเฮโรอีนส่งออกไปยังสหรัฐอีก ซึ่งหลังจากเราตรวจสอบรถแล้วยังไม่พบว่าเกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาคนอื่น ๆ
พล.ต.ท.อัศวิน กล่าวด้วยว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าคดีนี้นอกจากมีตำรวจ ทหารแล้ว ยังมีพลเรือนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ แต่ยืนยันว่ายังทำคดีอย่างต่อเนื่องไม่หยุด และคดีมีความคืบหน้าไปมาก สำหรับ ส.ต.อ.วรวุฒิ ผู้ต้องหา ที่หนีไปกับภรรยาไม่ได้เอาหมากระเป๋าที่เลี้ยงไว้ไปด้วย ตอนนี้หมากระเป๋าที่ฝากให้แม่ยายเลี้ยงมันคิดถึงเจ้าของมาก ถ้าคิดถึงหมาก็ขอให้มามอบตัวสู้กับความจริง ตนรับรองว่าจะได้รับความเป็นธรรมแน่นอน.