ที่มา บางกอกทูเดย์
แม้ว่าจะไม่อยากเชื่อ แต่สุดท้ายความจริงก็ต้องเป็นความจริงว่า รัฐบาลเทพประทานของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้น มีความสามารถโดดเด่นเป็นที่สุดในเรื่องของการทำเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ให้กลายเป็นเรื่องขึ้นมาจนได้ก็ดูเพียงแค่เรื่องของการลาไปราชการต่างประเทศของพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ปกติพื้นๆ ธรรมดาๆ...ที่ไม่ควรมีอะไรเลยก็เหมือนกับเวลาที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีต้องไปราชการต่างประเทศนั่นแหละการตั้ง รองนายกรัฐมนตรี คนใดคนหนึ่งขึ้นมารักษาราชการแทนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร นายอภิสิทธิ์หรือไม่ว่านายกรัฐมนตรีคนใดก็ทำกันนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว การตั้งรองนายกฯ มารักษาการแทนไม่เคยวุ่นวายเป็นเรื่องครึกโครมแต่ทำไมการแต่งตั้งรักษาราชการแทน ผบ.ตร. ให้มาทำหน้าที่แทนแค่ไม่กี่วัน จึงได้ถูกทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตได้ขนาดนี้??มองในแง่กลางๆ ก็คือเป็นภาพชัดอีกครั้งของการทำงานไม่เป็นแต่ถ้ามองในแง่ลบก็ไม่แปลกที่จะมีคนสงสัยว่า จะต้องมีวาระซ่อนเร้นบางอย่างอยู่ลึกๆ ในก้นบึ้งของจิตใจนายอภิสิทธิ์อย่างแน่นอน???แม้ไม่อยากจะเชื่อหรือเห็นด้วยเช่นนั้น แต่ร่องรอยการกระทำ
มันก็สามารถทำให้คล้อยตามไปเช่นนั้นได้ไม่ยากคนที่รู้ดีที่สุดว่ามีวาระซ่อนเร้นหรือไม่ ก็คือตัวนายอภิสิทธิ์เองนั่นแหละแต่ก็เป็นสไตล์นายอภิสิทธิ์อีกเช่นกัน ที่ไม่ยอมรับอะไรก็ตามซึ่งจะทำให้ภาพลักษณ์หมองมัว ฉะนั้นจึงปฏิเสธเสียงแข็งคอเป็นเอ็นมาตลอดว่า ไม่มีอะไร…ไม่มีวาระซ่อนเร้นฉะนั้น ก็เลยเจอเต็มๆ กับเสียงเย้ยหยันว่า ถ้างั้นก็เป็นเด็กที่ทำงานไม่เป็นนั่นเองเพราะต้องไม่ลืมว่า เรื่องนี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณรองนายกรัฐมนตรี แจ้งอย่างชัดเจนให้นายอภิสิทธิ์ทราบว่าพล.ต.อ.พัชรวาท ได้ยื่นหนังสือลาไปราชการต่างประเทศมีผลตั้งแต่วันที่ 5 ส.ค.เป็นต้นไปโดยลาตั้งแต่วันที่ 5-14 สิงหาคมแถมนายสุเทพก็บอกชัดเจนว่า พล.ต.อ.พัชรวาท ได้ระบุด้วยว่าจะขอกลับมาในช่วงวันที่ 11-12 สิงหาคม เพราะมีพระราชพิธีและมีงานสำคัญก็แปลง่ายๆ ว่าไปราชการต่างประเทศแค่ไม่เกิน 10 วันและยิ่งเมื่อจะกลับมาให้ทันงานสำคัญของประเทศชาติ คือวันที่ 12 สิงหาคม ก็ยิ่งเท่ากับว่าลาไปอย่างมากที่สุดไม่เกิน5 วันราชการเท่านั้นแหละแต่เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องแบบนี้ นายอภิสิทธิ์กลับทำให้เป็นเรื่องได้เพราะทำให้การแต่งตั้งรักษาราชการแทน บานปลายไปจนถึงขนาดลือกันไปต่างๆ นานา และสื่อบางฉบับที่มีปัญหาถูกพล.ต.อ.พัชรวาท ฟ้องร้องอยู่ในขณะนี้ ถึงกับเอาไปพาดหัวข่าวว่าเป็นการปลดเงียบ ผบ.ตร. ไปโน่นเลยเลยทำให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ที่ปรึกษา (สบ 10)ทำหน้าที่รักษาราชการแทน ที่นายอภิสิทธิ์ยื่นมือเข้ามาเป็นคนแต่งตั้งนั้น ตกอยู่ในภาวะที่ลำบากใจอย่างที่สุด เพราะไม่เพียงเป็นหนังหน้าไฟให้สังคมมองแต่ยังกลายเป็นตกอยู่ในระหว่างสถานการณ์กลางเขาควายไปเต็มๆ
ทั้งๆ ที่การรักษาราชการแทนมีผลแค่วันที่ 5 ส.ค. จนถึงวันที่พล.ต.อ.พัชรวาท กลับมาเท่านั้น นั่นคือรักษาราชการแทนแค่เฉพาะช่วงที่ ผบ.ตร. เดินทางไปต่างประเทศนั่นแหละซึ่งใน มาตรา 72 แห่ง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547ระบุไว้ชัดเจนว่า ในกรณีตำรวจ ข้าราชการตำรวจในส่วนราชการหรือหน่วยงานใดใน สตช. ว่างลง หรือผู้ดำรงตำแหน่งใดไม่สามารถปฏิบัติราชการได้ ให้ผู้บังคับบัญชาดังต่อไปนี้สั่งให้ข้าราชการตำรวจซึ่งเห็นสมควรรักษาราชการแทนในตำแหน่งนั้นได้(1) นายกรัฐมนตรี สำหรับตำแหน่ง ผบ.ตร. ในกรณีที่ไม่มีการแต่งตั้งให้ข้าราชการตำรวจผู้ใดรักษาราชการแทน ให้ผู้มีอาวุโสตามที่กำหนดในระเบียบ ก.ตร. เป็นผู้รักษาราชการแทนง่ายๆ เท่านี้เอง ต่อให้เป็นเด็กๆ ที่ทำงานเป็น อ่านหนังสือออกเข้าใจภาษาไทย ก็ต้องรู้ว่า มาตรานี้มีความหมายอะไร...และควรทำอย่างไรแต่ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะการเลือกที่จะตั้ง พล.ต.อ.วิเชียรมารักษาราชการแทน ผบ.ตร.ช่วงนี้ ไม่เพียงถูกมองว่าเป็นความพยายามของฝ่ายการเมืองที่ต้องการลดกระแสสังคมที่กำลังจับตาดูการแต่งตั้งว่า ใครจะมาคุมงานตำรวจแทนพล.ต.อ.พัชรวาทเพราะหากเลือก พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.ที่ทำคดีคนร้ายยิง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายใหญ่กลุ่มพันธมิตรฯก็มีหวังเสี่ยงกับภาพลักษณ์รัฐบาล โดยเฉพาะตัวนายอภิสิทธิ์เป็นอย่างมากเมื่อเป็น พล.ต.อ.วิเชียร แม้จะพ้นบ่วงเรื่อง พล.ต.อ.ธานีแต่ก็มาติดบ่วงเรื่องของความอาวุโสตาม มาตรา 72 เข้าให้เต็มๆเมื่อโดนทั้งสังคมและ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์รอง ผบ.ตร. ซึ่งปัจจุบันถือว่าอาวุโสเป็นอันดับหนึ่ง ทวงถามเรื่องความอาวุโสเพราะจากฐานข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ อาวุโสที่สุด และเคยได้รับมอบให้รักษาราชการแทน ผบ.ตร.มาถึง 21–22 ครั้งแล้ว
แต่นายอภิสิทธิ์กลับจงใจเลือก พล.ต.อ.วิเชียร“การตั้งรักษาราชการแทน ผบ.ตร.ครั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้มีอาวุโสสูงสุด ซึ่งผมดูจากความเหมาะสมเป็นหลัก”นายอภิสิทธิ์พูดอย่างชัดเจน ไม่สะทกสะท้านต่อเสียงวิจารณ์ซึ่งไม่มีใครรู้จริงๆ เลยว่า อะไรคือหลักความเหมาะสมของนายอภิสิทธิ์แต่ที่แน่ๆ พล.ต.อ.วิเชียร นั่นแหละที่ซวยเต็มๆ !!ถูกสังคมมองแปลกๆ ถูก พล.ต.อ.พัชรวาท มองแปลกๆถูก พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ มองแปลกๆ และถูกคนในสำนักงานตำรวจแห่งชาติมองแปลกๆ ไปด้วยเช่นกันเพราะทุกคนไม่เชื่อว่า นี่ไม่ใช่เกมการเมืองเพราะทุกคนพลอยไม่เชื่อไปด้วยว่า พล.ต.อ.วิเชียรไม่รู้ไม่เห็นกับเกมการเมืองครั้งนี้ ทั้งๆ ที่โดยความเป็นจริงพล.ต.อ.วิเชียร อาจจะไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ ก็ได้เนื่องจากต้องเข้าใจว่า จริงๆ แล้ว พล.ต.อ.วิเชียร เป็นนายตำรวจใหญ่ที่ไม่ได้เติบโตหรือโดดเด่นมาในสายงานที่จะมารับมือกับแรงกดดันทางการเมือง ในตำแหน่ง ผบ.ตร.แต่อย่างใดแต่นายอภิสิทธิ์กลับยังจงใจเลือกเข้ามารับเคราะห์ตรงนี้ ..วันนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท กลับมาทำหน้าที่ ผบ.ตร.ตามปกติแล้ว พล.ต.อ.วิเชียร ก็ต้องกลับไปทำหน้าที่เดิมโดยพูดชัดว่า“เมื่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกลับมาทำงานผมก็พ้นสภาพจากการนั่งรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไป ถือว่าภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง ต่างคนก็ต่างทำงานตามหน้าที่ของตนเองตามปกติไม่มีปัญหาอะไร”แต่ลึกๆ ก็กลายเป็นเข้าหน้านาย เข้าหน้าเพื่อนไม่สนิท...เพราะถูกพิษการเมืองกระทำจะจงใจทำหรือเพราะการทำงานไม่เป็นต้องดูกันยาวๆเนื่องจากกันยายนนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท ก็จะต้องเกษียณอายุอย่างแน่นอนแล้วจึงไม่มีใครรู้ว่า ลึกๆ นายอภิสิทธิ์มองข้ามช็อตในเรื่องของ
การแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ ด้วยหรือไม่...ซึ่งจริงๆ ก็มีเค้าลางบอกเหตุเพราะหลุดปากกันออกมาแล้วว่า จะพิจารณาแต่งตั้งผบ.ตร.คนใหม่ ให้เสร็จภายในเดือนสิงหาคมนี้แหละผบ.ตร. เป็นตำแหน่งเดียวที่ผู้เป็นนายกรัฐมนตรีจะสามารถเข้าไปล้วงลูกแต่งตั้งได้แต่ตำแหน่งอื่นๆ โผอื่นๆ ตามกฎหมาย แม้จะเป็นนายกรัฐมนตรีก็ล้วงลูกไม่ได้ซึ่งบังเอิญมีร่องรอยของการเมืองพยายามที่จะวุ่นวายกับโผตำรวจระดับ นายพล 152 นาย มาหมาดๆ และพล.ต.อ.พัชรวาท ก็ถูกมองว่าเป็น “ตอ” ขวางการเมืองไม่ให้ล้วงลูก ได้ถนัดใจพอดี...แบบนี้จะให้สังคมไม่สงสัยว่ามีวาระซ่อนเร้นโยงใยลึกซึ้งซับซ้อนซ่อนเงื่อนในเรื่องนี้ได้อย่างไร???แม้จะมีการออกตัวว่าทั้งหลายทั้งปวง มาจากที่นายอภิสิทธิ์เป็นห่วงคดีลอบยิง นายสนธิ ลิ้มทองกุล อยากให้เสร็จเรียบร้อยโดยเร็วเป็นพิเศษแต่ก็เกิดคำถามตามมาว่า จริงๆ แล้วในเมืองไทยมีคดีลอบยิงลอบฆ่ามากมายก่ายกอง ทำไมนายอภิสิทธิ์จึงให้ความสำคัญกับคดีนี้เป็นพิเศษเป็นเรื่องของบุญคุณต้องตอบแทนหรือไม่?เป็นเรื่องที่จะให้เป็นหมากทางการเมืองในอนาคตหรือไม่?แล้วทำไมไม่สนใจเรื่องการลอบยิงลอบฆ่าใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพิเศษบ้าง?หรือคดีสะเทือนความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ คดีปาหินที่ทำให้คุณป้าที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ต้องเสียชีวิต ซึ่งบัดนี้ผ่านมาจะ 2 เดือนแล้วเช่นกัน ทำไมนายอภิสิทธิ์ไม่ใส่ใจเป็นพิเศษบ้าง?ปล่อยให้คดีลอยนวล จนแฟชั่นปาหินกำลังระบาดไปทั่วสังคม...หรือต้องรอให้มีการปาหินใส่รถรัฐมนตรีเกิดขึ้นเสียก่อนถึงจะใส่ใจเป็นพิเศษเหมือนคดีนายสนธิและเพราะความสนใจคดีนายสนธิเป็นพิเศษนี่แหละที่ก่อให้เกิดเรื่องวุ่นวายมากมาย จนทำให้นายอภิสิทธิ์เองต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวอย่างมาก รวมไปถึงคนคุมคดี คือพล.ต.อ.ธานี ก็ถูกมองไม่ดีไปด้วย
เพราะจริงๆ แล้ว ตามสายการบังคับบัญชาจะต้องรายงานความคืบหน้าคดีให้ พล.ต.อ.พัชรวาท รับทราบตลอด กลับกลายเป็นรายงานตรงให้กับนายอภิสิทธิ์แทน ทั้งๆ ที่ตามลักษณะสายงานหากจะรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบก็ได้ แต่จะต้องเป็นการรายงานคู่ คือ รายงาน ผบ.ตร. ควบคู่ไปกับรายงานนายกรัฐมนตรีถ้ากลับกัน นายอภิสิทธิ์เป็น พล.ต.อ.พัชรวาท บ้างจะรู้สึกอย่างไร???คำว่า “ข้ามหัว” คำว่า “ล้วงลูก” คำว่า “สายการบังคับบัญชา”จะไม่มีเข้ามาในจิตใจของนายอภิสิทธิ์เลยใช่หรือไม่?เรื่องนี้แม้แต่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ซึ่งไม่เพียงเป็นอดีตนายตำรวจ แต่ยังเป็นอดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยังให้สัมภาษณ์ บางกอกทูเดย์ ในลักษณะที่เป็นห่วงเป็นใย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าไม่น่าจะพลาดในเรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งรักษาราชการแทน ผบ.ตร.จนกลายเป็นเรื่องเป็นราว เรื่องการพยายามยุ่งกับโผตำรวจเรื่องการแสดงออกว่าให้ความสำคัญกับคดี นายสนธิ ลิ้มทองกุลมากเป็นพิเศษ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เสี่ยงต่อการกระทำทั้งสิ้นเพราะเรื่องเหล่านี้มีหลักการทำงานที่เป็นปกติธรรมดาๆอยู่แล้ว ทำตามหลักก็จบ ก็จะไม่มีอะไร“ผมเป็นห่วงท่านนายกรัฐมนตรีจริงๆ นะ” ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวปัญหาอยู่ที่ว่า นายอภิสิทธิ์จะรู้และเข้าใจสิ่งที่ ร.ต.อ.เฉลิมเป็นห่วงหรือไม่???เพราะสิ่งที่นักปราชญ์ นักกวีเอกของโลก เขียนเอาไว้ทุกยุคทุกสมัยก็คือ อำนาจ หน้าที่ ยศศักดิ์ มักทำให้คนแปรเปลี่ยนหากไม่หลงใหลในอำนาจ...ก็มักจะคะนองในอำนาจจนเกินพอดี!!!ก็ได้แต่หวังว่า นายอภิสิทธิ์จะไม่เป็นดังเช่นปรัชญาเมธีทั้งหลายห่วงใยก็แล้วกัน ■