ที่มา บางกอกทูเดย์
ในทันทีที่ปรากฏข่าวทุจริตโครงการชุมชนพอเพียงเกิดขึ้นรัฐบาลที่มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีได้รับรู้กันหรือไม่ว่าชาวบ้านเขารู้สึกกันอย่างไร??คนในระดับรากหญ้าโดยเฉพาะบรรดาผู้สูงวัยพากันเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก หลายคนน้ำตาคลอเบ้าว่าไม่น่าเกิดเรื่องทุจริตกับโครงการนี้เพราะคำว่า “พอเพียง” สำหรับชาวบ้านแล้ว ทุกคนฝังลึกอยู่ในจิตใจว่านี่เป็นแนวพระราชดำริของในหลวง ที่ประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่าทุกภาคส่วนเคารพเทิดทูนบูชาแล้วโครงการอันมีคำซึ่งเป็นมงคลอยู่ด้วย กลับมาเกิดการทุจริตได้อย่างไร???โจรในคราบของคนที่แฝงตัวเข้ามาทำงานโครงการนี้ เอาจิตใจส่วนไหนมาคิดถึงทำได้ขนาดนี้ทุจริตโครงการชุมชนพอเพียงไม่ใช่เป็นเพียงแค่ข่าวลือที่ว่า “ไม่มีมูลฝอยหมาไม่ขี้” แต่เป็นความจริงที่เกิดขี้กองโตเหม็นโฉ่ ประจานความฉาวให้ประจักษ์กันแล้ว
เพียงแต่ว่าบนความพยายามที่จะกวาดขยะเข้าใต้พรมด้วยการรวบรัดตัดตอนของบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องหลายคนนั้นจะสำเร็จหรือไม่???จะทำให้รัฐบาลเสียค่าโง่ซ้ำซากอีกหรือไม่???หรือว่าจะเป็นในลักษณะของ “ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิดไม่มิด”??นอกจากไม่มิดแล้ว ประชาชนยังควรจะต้องจดจำหน้าของใครก็ตามที่ถือใบบัวมาหมายจะปิดบังด้วยเพราะเรื่องนี้เป็นกรณีทุจริตที่ร้ายแรงมากในความรู้สึกของประชาชนเนื่องจากเป็นการสูบเลือดสูบเนื้อจากคนจน เป็นการฉกฉวยประโยชน์ด้วยการทุจริตจากคำว่าพอเพียง ที่มีคุณค่าทางจิตใจสูงยิ่งในสายตาประชาชนความเสียหายที่มีความพยายามจะเบี่ยงเบนประเด็นว่ามีมูลค่าทุจริตเกิดขึ้นไม่มาก ตอนนี้ตรวจพบแค่ไม่กี่สิบล้านหรือไม่กี่ร้อยล้านเท่านั้น เป็นเรื่องที่ต้องบอกว่าหากพรรคประชาธิปัตย์หรือหากนายอภิสิทธิ์เกิดรู้สึกคล้อยตามหรือเห็นด้วยกับการชงเรื่องขึ้นมาว่า เสียหายไม่มากจริงๆ ก็ต้องถือว่าผิดมหันต์แล้วแต่ก็ยังเชื่อว่าคนระดับนายอภิสิทธิ์และคนในพรรคประชาธิปัตย์ คงไม่โง่พอที่จะคล้อยตามแบบนั้นให้เสื่อมเสียสถาบันแน่เพราะความเสียหายครั้งนี้ไม่ได้นับกันแค่ตัวเงิน แต่เป็นเรื่องของจิตใจโดยตรงการทุจริตกินเลือดกินเนื้อ ฉวยโอกาสโกงคนจน คือประเด็นความร้ายแรงของเรื่องนี้ดังนั้น ไม่ว่าข้ออ้างใดๆ ก็ฟังไม่ขึ้น และไม่สามารถที่จะไปบรรเทาหรือลดทอนความรับผิดชอบของรัฐบาล ของนายกรัฐมนตรีของรองนายกรัฐมนตรี รวมไปถึงบรรดา ผู้บริหารโครงการชุมชนพอเพียง ได้เพราะต้องไม่ลืมว่าโครงการชุมชนพอเพียงมีงบประมาณตลอดโครงการสูงถึง 21,000 ล้านบาทเป็นเงินงบประมาณจากภาษีอากรของประชาชนคนไทยที่ไม่ว่าใครก็ตามซึ่งเข้ามาบริหารจัดการและดูแล ควรที่จะต้องใส่ใจ รอบคอบ และระมัดระวังการทุจริตอย่างเต็มที่และในวันนี้มีการอนุมัติไปแล้ว 8,432 ล้านบาท ซึ่งก็เพิ่งจะ
เพียงแค่ประมาณ 40% ของโครงการเท่านั้นแต่ก็ยังทุจริตฉาวโฉ่กันหนักหนาสาหัสแล้ว หากเต็มโครงการ21,000 ล้าน ไม่รู้ว่าจะทุจริตกันบานตะเกียงอีกสักเพียงใดเพราะเงื่อนงำขณะนี้ส่อให้เห็นว่า มีการทุจริตอย่างเป็นขบวนการอย่างแน่นอนเพียงแต่ว่ามีผู้สมรู้ร่วมคิดมากน้อยแค่ไหน???มีกลุ่มคนที่มีอิทธิพลเหนือชั้นคอยบงการหรือชักใยอยู่เบื้องหลังมากน้อยเพียงใด???ตรงนี้น่าคิด เพราะพวกปลาซิวปลาสร้อยที่กำลังโดนกันกลายเป็นระดับปฏิบัติการ อย่างเจ้าหน้าที่เขต เจ้าหน้าที่อำเภอที่ยอมลงนามในเอกสารตรวจรับงาน ตรวจรับโครงการทั้งหลายนั่นแหละบรรดาปลาซิวปลาสร้อยทั้งหลาย น่าที่จะต้องถึงเวลาคิดให้มากๆ ว่า จะยอมเป็นแพะรับบาป หรือว่าจะหันกลับมาเป็นฝ่ายประชาชนแล้วแฉโพยความจริง หรืออาจจะแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องที่ทำให้หลงเชื่อเซ็นชื่อไปก็ได้เพราะขนาดเท่าที่ปูดๆ ออกมายังขนาดนี้ ถ้าคำนวณรวมพื้นที่ทั้งหมดทั่วประเทศว่ารั่วไหล ถูกสูบถูกดูดเลือดทั้งหมดมิปาเข้าไปถึง 3,000-4,000 ล้านบาทได้จริงๆ อย่างที่คณะทำงานตรวจสอบของพรรคเพื่อไทยประเมินหรอกหรือ??“บางกอกทูเดย์” ถึงได้ย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ และเป็นเรื่องที่ผู้ที่เกี่ยวข้องสมควรจะต้องแสดงความรับผิดชอบอย่าง นายสุมิท แช่มประสิทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานโครงการชุมชนพอเพียง ที่ออกมายอมรับว่า ขณะนี้ได้อนุมัติโครงการตามกรอบปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปแล้ว 31,582ชุมชน ทั่วประเทศ เป็นเงิน 8,432 ล้านบาทและได้โอนเงินให้ชาวบ้านเพื่อไปดำเนินการตามโครงการแล้วกว่า 20,000 ชุมชน จากทั้งประเทศที่มีกว่า 80,000 ชุมชนส่วนที่เหลือกว่า 50,000 ชุมชน ที่ยังไม่ได้รับการอนุมัติงบและต้องล่าช้า เนื่องจากชุมชนที่ได้รับอนุมัติงบแล้วมีการร้องเรียนการทุจริตในโครงการฯ โดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือจากการชักนำของผู้ไม่หวังดีนำเงินในโครงการไปใช้ผิดวัตถุประสงค์แถมอ้างว่าสาเหตุหลักเกิดจากชาวบ้านไม่ใช้สิทธิ์ของตนเองในการบริหารจัดการงบประมาณที่ได้รับและยังว่าชุมชนที่ถูกร้องเรียนส่วนใหญ่อยู่ใน เขตพื้นที่
ภาคอีสาน ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบของคณะกรรมการฯฟังแล้วยังมองไม่เห็น สำนึกของความรับผิดชอบ นอกจากความพยายามที่จะโยนบาปไปให้ประชาชนว่าไม่ใช้สิทธิ์ดูแลเงินเอง!!ซึ่งไม่รู้ว่านายสุมิทนั้นมีการใช้สิทธิ์และหน้าที่จากการได้รับเงินเดือนอยู่ทุกเดือนนั้น ปกป้องเงินหลวง ปกป้องโครงการ ซึ่งก็บอกเองว่าทำขึ้นมาตามกรอบปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมากน้อยเพียงใด??และจนบัดนี้ได้คิดหรือมีจิตสำนึกที่จะแสดงความรับผิดชอบใดๆบ้างหรือไม่??เช่นเดียวกับ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลรับผิดชอบโครงการนี้โดยตรง ก็ยังไม่ได้มีท่าทีที่จะแสดงความกระตือรือร้นในการจะรับผิดชอบในเรื่องนี้แต่อย่างใดแถมยังสบายใจพอที่จะโพสต์ผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวคือ...http://twitter.com/korbsak โดยระบุว่า...“But sleep well even while the opposition and thecoalition gang up to kick me out of the government.” “ยังหลับสบายดี ขณะที่พรรคฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาลกำลังรวมหัวกันเขี่ยผมออกจากรัฐบาล”ก็จะไม่สบายใจหลับปุ๋ยได้อย่างไร เมื่อมีคนที่เป็นนายกรัฐมนตรี ออกมาให้การการันตีขนาดนี้โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อ้างว่าที่นายกอร์ปศักดิ์เข้าไปยุ่งงานของพรรคร่วมรัฐบาลอื่นมากเกินไป ก็เนื่องจากเป็นผู้กำกับดูแลนโยบาย ดูแลงานกระทรวงต่างๆพรรคร่วมรัฐบาลแต่ละคนสามารถแสดงความคิดเห็นมาได้หากมีปัญหาอะไร แต่สุดท้าย ครม. เป็นผู้ตัดสิน ทุกอย่างเป็นความรับผิดชอบร่วมกันอยู่แล้วส่วนเรื่องชุมชนพอเพียงนั้นอยู่ที่หลักฐานข้อเท็จจริงขณะนี้อยู่ระหว่างให้รวบรวมตัวเลขมาทั้งหมดขั้นตอนที่เป็นปัญหาแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ในพื้นที่ ซึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งไปใช้วิธีการต่างๆ เพื่อให้ชุมชนเสนอโครงการอย่างที่ตัวเองต้องการ และมีความเป็นไปได้สูงที่คนเหล่านี้ไปสมคบกับบริษัทเอกชนที่ต้องการขายสินค้ากับอีกส่วนคือในสำนักงาน ต้องตรวจสอบว่าถึงระดับไหนก็ต้องว่ากันตามนั้นเบื้องต้นมีคนในสำนักงานเปลี่ยนแปลงโครงการในสำนักงาน
และเชื่อมกับส่วนพื้นที่เพื่อทำให้เกิดน้ำหนักในพื้นที่เวลานำไปกล่าวอ้างว่า ถ้าไม่เสนอโครงการแบบนี้จะไม่ได้ แต่ถ้าเสนอแบบนี้จะได้ ทำให้ไปเข้าทางคนที่ต้องการขายสินค้าที่ล็อกกันอยู่สะท้อนชัดเจนว่านายอภิสิทธิ์รู้และยอมรับว่ามีกลไกทุจริตเพียงแต่สุดท้ายจะทำอะไรหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่งเพราะนายอภิสิทธิ์ก็พูดชัดเจนเหมือนกันว่า นายกอร์ปศักดิ์จะมีความเกี่ยวข้องแค่ไหน อย่างไร ก็กำลังดูข้อมูลทั้งหมดอยู่แต่เท่าที่ติดตามเรื่องนี้เห็นว่านายกอร์ปศักดิ์เป็นคนที่ติดตามและหนักใจเรื่องนี้มาตลอด รวมทั้งมีการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด“หากมีหลักฐานพบว่ารองฯ กอร์ปศักดิ์ เกี่ยวข้องกับการทุจริตโครงการชุมชนพอเพียงจริง จะจัดการโดยไม่มีข้อยกเว้น”ก็ได้แต่เชื่อมั่นว่านายอภิสิทธิ์จะไม่ปล่อยให้เป็นมวยล้มต้มคนดู หรือปล่อยให้มีการ “ตัดตอน” กันอย่างที่กำลังพูดกันให้แซ่ดไปหมดในขณะนี้ที่เชื่ออย่างนั้นก็เพราะอย่างน้อยนายอภิสิทธิ์ได้ให้สัมภาษณ์ชัดเจนว่า รู้สึกเสียใจที่เกิดปัญหากับโครงการอย่างนี้ และไม่พอใจอย่างมากที่มีคนหากินกับเรื่องแบบนี้ รวมถึงจะเดินหน้าตรวจสอบให้ถึงที่สุดแม้กรรมการตรวจสอบของพรรคจะระบุว่ายังไม่มีหลักฐานก็ตาม!!!ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่ากรรมการตรวจสอบกันประสาอะไรเพราะแม้แต่นายอภิสิทธิ์ยังยอมรับว่ามีการทุจริต แถมยังบอกด้วยว่าได้ส่งข้อมูลไปให้เพิ่มแล้วเพราะมีคนร้องเรียนมางานนี้ นายเจริญ คันธวงศ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีโครงการชุมชนพอเพียง คงต้องทบทวนแล้วล่ะว่าผลการทำงานเป็นอย่างไร ขนาดนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคยังไม่เห็นด้วยเลยฉาวซะขนาดนี้เนี่ยนะ!!ล่าสุด เห็นว่าจะให้ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้ามาช่วยตรวจสอบการทุจริตโครงการเรื่องนี้ถือเป็นจริยธรรมของนักการเมือง ซึ่งจริงๆ แล้วต้องถือว่าฉาวโฉ่กว่ากรณี ส.ป.ก.4-01 เพราะเป็นการฉวยโอกาสหากินกับผลประโยชน์ที่ควรจะต้องถึงมือของประชาชน ในทุกหมู่บ้านแต่กลับมามีมารผจญฮุบเอาเม็ดเงินนี้ไป ดังนั้น หากเป็นนักการเมืองที่มีจริยธรรมเพียงพอ ต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบก็คงต้องกระตุ้นต่อมจิตสำนึกและทวงกันตรงๆ ว่าหมดเวลาที่จะอวดอ้างความดีงามซื่อสัตย์สุจริตอีกแล้วหากความเป็นจริงพบว่ามีการกอบโกย โกงกิน ทุจริตเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมืองเช่นในขณะนี้ ■