WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, November 6, 2009

ถอดรหัส ‘นครปัตตานี’

ที่มา บางกอกทูเดย์

ติดเครื่องได้ทันที สำหรับไอเดีย “นครปัตตานี” เขตปกครองพิเศษ ที่จะมาดับไฟใต้ที่ “บีเจ” หรือ “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิตยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ขายไอเดียให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยและพรรครัฐบาลได้ซี๊ด! กันอีกครั้ง“พรรคเพื่อไทยเสนอแนวทางนครปัตตานี ที่มีลักษณะคล้ายกับนครเชียงใหม่ คือให้มีการออกพระราชบัญญัติให้ประชาชนสามารถดูแลตัวเอง โดยให้เกียรติกับประชาชนในพื้นที่ แต่ยังอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและกฎหมายไทยส่วนรายละเอียดขึ้นอยู่กับรัฐบาล”เป็นคำอธิบายจาก “บิ๊กจิ๋ว” เจ้าของฉายาในอดีต “ขงเบ้งแห่งกองทัพ”ก่อนจะอธิบายลงลึกอีกนิดว่า“นครปัตตานีเหมือนเชียงใหม่ และกทม. (กรุงเทพมหานคร) คือต้องออกพระราชบัญญัติให้มีขอบเขตดูแลตนเองโดยเฉพาะวิถีมุสลิมของประชาชนที่นั่นแต่การดำเนินการใดๆ ต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและกฎหมายไทย คือให้เกียรติให้ดูแลตนเองได้ในระดับหนึ่ง”พิจารณาจากคำแถลงก็ยังไม่มีรายละเอียดอะไรมากนัก และที่สำคัญ พล.อ.ชวลิตก็ยอมรับในอีกประโยคหนึ่งว่า “รายละเอียดต้องมีการพูดคุยกันไม่พูดก็คงไม่รู้ ”้ และคงต้อง “ขึ้นอยู่กับรัฐบาล” อีกด้วยฉะนั้นหากต้องการ “ถอดรหัส”แนวคิดของ พล.อ.ชวลิต ต้องย้อนไปพิจารณาบทสัมภาษณ์เก่าๆ ของเขาซึ่งเจ้าตัวเคยพูดเรื่องนี้เอาไว้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวมากที่สุด เมื่อเดือน ส.ค.2550 ในช่วงปลายของรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ในหนังสือที่ชื่อ“การต่อสู้ครั้งสุดท้าย” ที่ พล.อ.ชวลิตเคยเขียนเอาไว้เป็นประวัติศาสตร์กรอบความคิดที่เป็นดั่งคัมภีร์ของการจัดการ “ความขัดแย้ง” ในมุมมองของ“บิ๊กจิ๋ว” ก็คือ ในสงครามที่เป็นความขัดแย้งทางอุดมการณ์ที่เราเรียกว่าการก่อการร้ายนั้น ไม่มีทางที่จะได้ชัยชนะด้วยการ

ใช้ปฏิบัติการทางทหารแต่จะต้องใช้ปฏิบัติการทางการเมืองเพราะการเอาชนะทางการเมืองคือชัยชนะที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด“เมื่อไหร่ที่บอกว่าชนะแล้ว เพราะล้อมปราบได้ 150 คน อันนี้ถือว่าอันตรายอย่างที่สุด” พล.อ.ชวลิตกล่าวเอาไว้เมื่อกว่า 2 ปีที่แล้วในครั้งนั้น พล.อ.ชวลิต ยังเสนอแนวทางการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ซึ่งก็คือการเอาชนะทางความคิดว่า มีอยู่ 3 ทฤษฎีใหญ่ๆ โดยทั้งหมดปรากฏอยู่ในหนังสือที่ชื่อ “การต่อสู้ครั้งสุดท้าย” ด้วยกล่าวคือ
1. ทฤษฎีดอกไม้หลากสี หมายถึงการทำให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้แม้จะมีความแตกต่างด้านเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม เพราะสังคมของคนสามจังหวัดภาคใต้ในอดีต คือสังคมของความเป็นมิตร ความปรองดองไม่ว่าจะเป็นไทยพุทธหรือมุสลิม ซึ่งวันนี้ต้องเรียกกลับมาให้ได้
2. ทฤษฎีถอยคนละสามก้าว หมายถึงต้องมีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นผู้เสียสละ และตัดสินว่าจะไม่อยู่ร่วมในกระบวนการแห่งความขัดแย้ง ซึ่งความจริงไม่จำเป็นต้องถอยทั้งสองฝ่าย แค่ถอยเพียงฝ่ายเดียวก็ได้ผลแล้วเพราะจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งตีไม่ถึง และ
3. ทฤษฎีนครปัตตานี หมายถึงการให้อำนาจคนในพื้นที่ได้ปกครองและดูแลตัวเอง ในรูปแบบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น“นครรัฐปัตตานีก็คือการให้อำนาจการปกครองและดูแลตัวเอง เพราะไม่มีประเทศไหนหรอกที่มีชนกลุ่มน้อยอยู่กันเป็นกลุ่มก้อนแล้วจะไม่ให้อำนาจในการดูแลตัวเอง แม้กระทั่งประเทศที่มีการปกครองในระบอบเผด็จการ ยังให้มากกว่านี้เลย คือให้เป็นเขตปกครองพิเศษด้วยซํ้าไป”จากท่าทีในอดีต ถอดรหัสได้ว่า“นครปัตตานี” ซึ่งเป็นหนึ่งในสามทฤษฎีว่าด้วยการเอาชนะทางความคิดในสงครามที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของ พล.อ.ชวลิต หาใช่ข้อเสนอการตั้ง“เขตปกครองพิเศษ” ไม่?เป็นแต่เพียง

การจัดรูปแบบการปกครองท้องถิ่นแบบพิเศษขนาดใหญ่กว่าองค์การบริหารส่วนจังหวัดและเทศบาล เพื่อให้มีการเลือกตั้ง“ผู้นำระดับนคร” ของตัวเองรูปแบบการปกครองส่วนท้องถิ่นที่ให้ประชาชนในแต่ละพื้นที่มีสิทธิมีเสียงเลือกตั้งผู้ำนำของตนเองนั้นมีรูปแบบที่ใี่ช้เหมือนกันทั่วประเทศอยู่ 3 รูปแบบใหญ่ๆ คือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เทศบาลและองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)แต่ทั้ง 3 รูปแบบนี้เป็นการบริหารงานท้องถิ่นที่ซ้อนอยู่ภายใต้ “การบริหารราชการส่วนภูมิภาค” ซึ่งมี “ผู้ว่าราชการจังหวัด” ที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลในส่วนกลางปกครองอยู่อีกชั้นหนึ่งอย่างไรก็ดี ประเทศไทยยังมีการปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษอีก 2 แห่งคือ กรุงเทพมหานคร (กทม.) และเมืองพัทยาโดยเขตปกครองพิเศษทั้ง 2 แห่งมีลักษณะการปกครองที่คล้ายกัน คือ มีการเลือกตั้งผู้บริหารเอง และปกครองด้วยรูปแบบที่ไม่ขึ้นตรงกับผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ขึ้นตรงกับ กระทรวงมหาดไทยโดยตรงดังนั้น อำนาจเต็มจึงอยู่ที่ “ผู้บริหาร”ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์หวั่นใจว่า...ในอนาคตจะไม่สามารถบริหารจัดการอำนาจแบบพิเศษนี้ได้ จึงต้องติดตามกันอีกยกว่า ไอเดียนี้จะนำมาสู่การปฏิบัติได้หรือไม่ได้ 