ที่มา บางกอกทูเดย์
นายกอร์ปศักดิ์บอกว่ามีเอกสารคำพูดของนายราเกซ ที่นายราเกซลงนามรับรองเอาไว้ด้วย แต่ไม่ได้เปิดเผยออกมาซึ่งน่าประหลาดใจว่า เรื่องนี้เป็นคดีอาญา เป็นเรื่องใหญ่ของประเทศไทย เอกสารหลักฐานต่างๆ หรือแม้แต่เอกสารที่เกี่ยวข้องล้วนมีความสำคัญต่อรูปคดีทั้งสิ้น แต่ทำไมนายกอร์ปศักดิ์ซึ่งเป็นรัฐบาลอยแู่ท้ๆทำไมจึงไม่เปิดเผยเอกสารเหล่านั้นอย่างเป็นทางการแต่กลับมาปล่อยข่าว ราวกับจะต้องการแค่สื่อความถึงใครบางคนบางกลุ่มว่าอย่าได้ซ่าเป็นอันขาด อย่างนั้นใช่หรือไม่?
เต่าใหญ่ไข่กลบ ในทางชีววิทยา การที่เต่าพยายามที่จะกลบไข่ของตนเองนั้นมี 2 เหตุผลก็คือเพื่อให้อุณหภูมิของทรายที่กลบฝังไข่อยู่นั้น ช่วยในการฟักไข่ให้ลูกเต่าเป็นตัวกับประการที่ 2 เพื่อเป็นการป้องกันภัย ให้กับไข่เต่าเหล่านั้นไม่ถูกเอาไปกินเสียก่อนที่จะฟักเป็นตัวจึงได้มีการนำพฤติกรรมของเต่ามาเป็นสำนวนภาษิตสอนใจ ว่าคนที่พยายามกลบ พยายามปิดบังอย่างเต็มที่นั้น ย่อมจะต้องมีห่วงมีผูกพันอยู่กับสิ่งที่กลบซ่อนอย่างมิดชิดนั้นแน่นอน2 คดีดังทางเศรษฐกิจ ซึ่งล้วนแล้วเชื่อมโยงกับการเมืองในเวลานี้ กำลังถูกสังคมจับตามองว่า จะเป็นกรณี“เต่าใหญ่ไข่กลบ” หรือไม่นั่นก็คือ คดีนายราเกซ สักเสนาและคดีปล่อยข่าวลือทุบหุ้นซึ่งในบรรยากาศของการเมือง ที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังเสียท่ากับเรื่องภาพลักษณ์ทุจริตโกงกินโครงการไทยเข้มแข็ง เสียภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี ทั้งจากการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 15และในด้านสัมพันธไมตรีกับประเทศกัมพูชารวมทั้ง แรงกดดันว่ารัฐบาลไม่มีผลงาน และท้าให้ยุบสภามาเลือกตั้งใหม่พิสูจน์ศรัทธาประชาชนกันให้เห็นจะๆ
แจ้งๆ กันไปเลยท่ามกลางพายุการเมืองที่รุนแรงจู่ๆก็ได้คิดปล่อยข่าวลือทุบหุ้นมาเป็นตัวช่วยเบี่ยงเบนกระแสกดดันทางการเมืองยิ่งกรณีนายราเกซ ด้วยแล้วยิ่งกลายเป็นตัวช่วยชั้นดี กลบกระแสข่าวอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการเลือกตั้ง ไปได้สนิทจนแม้แต่คนระดับที่ปรึกษาที่ทำหน้าที่ให้กับผู้ใหญ่ใ่นพรรคประชาธิปัตย์บางคนยังถึงกับหลุดปากออกมาในวงสนทนามื้อเย็นว่า“เรื่องแบบนี้ประชาธิปัตย์เขาเก่งสร้างสตอรี่มากลบข่าวได้ทุกครั้งเวลาที่จวนตัว”ซึ่งความจริงที่ปรากฏในวันนี้ คงต้องยอมรับว่า เรื่องแบบนี้ประชาธิปัตย์ถนัดจริงๆแม้ว่ากรณีของนายราเกซ ที่ยักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การหรือ BBC ไปในช่วงปี 2538 – 2539จะมีข้อสงสัยและเชื่อกันมาโดยตลอดว่าทุจริตหรือโกงแบงก์ครั้งมโหฬารจะต้องมีนักการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอนจนทำให้กระแสข่าวช่วงนี้โฟกัสมาว่านายราเกซ ซึ่งถูกนำตัวกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนจะมีการเอ่ยชื่อนักการเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตเหล่านั้นหรือไม่เนื่องจากเชื่อว่านายราเกซได้มีการจ่ายเงินจำนวนมหาศาลไปให้กับนักการเมืองหลายคน ในช่วงที่มีอำนาจในการบริหารแบงก์บีบีซีจริงๆเพียงแต่การจ่ายเงินในลักษณะดังกล่าว เชื่อว่าส่วนใหญ่อาจจะไม่มีหลักฐานที่ชี้ชัดถึงการกระทำความผิดที่จะนำ เอาไปใช้ในการทำ คดีเพื่อสาวไปถึงนักการเมืองเหล่านั้นได้ทั้งหมด เพราะนักการเมืองที่เกี่ยวข้องคงไม่ยอมทิ้งใบเสร็จเอาไว้มัดตัวเองแน่ที่พอจะเป็นไปได้ก็คือ นายราเกซน่าจะยังคงมีหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับเช็คที่สั่งจ่ายให้กับนักการเมือง หรือรายละเอียดสำคัญอื่นๆ ที่สามารถจะระบุถึงการให้เงินกับนักการเมืองบางคนได้ ว่ามีความสนิทชิดเชื้อถึงขั้นให้เงินรับเงินกันแต่รับเป็นค่าอะไร ให้เพราะเสน่หาหรือให้เพราะอะไรเชื่อว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์แน่ เพราะนักการเมืองจะต้องมีข้ออ้างแน่นอนว่า ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับทุจริตแบงก์บีบีซี แต่เป็นเรื่องอื่นเพราะแม้แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยังรีบออกมาบอกว่าการเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องทำได้ยาก เพราะเวลาผ่านมานานแล้วแต่เจ้าหน้าที่ก็ต้องทำไปตามกฎหมาย
ส่วนการที่เอาผิดได้ยาก เพราะมีฝ่ายการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ระบุว่า นี่คือเหตุผลที่ต้องดำเนินการตามกฎหมายซึ่งหากเจ้าหน้าที่จะขอความร่วมมือจากพรรคประชาธิปัตย์ เกี่ยวกับข้อมูลการทุจริตก็พร้อมที่จะไปบอก ส.ส.ที่มีข้อมูลให้มาช่วยสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ เพื่อให้การดำเนินคดีมีประสิทธิภาพแม้ว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อพรรคประชาธิปัตย์บ้างก็ตามในขณะที่ นายธาริต เพ็งดิษฐ์อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)ก็ให้ข้อมูลว่า ในทางกฎหมาย คำให้การซัดทอดของจำเลยในชั้นศาล ถือว่ามีนํ้าหนักน้อย เว้นแต่คำ ให้การซัดทอดนั้นจะมีพยานแวดล้อมอื่นมาสนับสนุนจนมีนํ้าหนักน่าเชื่อถืออย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่มีใครรู้ว่านายราเกซจะให้การอย่างไรจึงยังไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้แต่ที่น่าจับตาอย่ากะพริบ ทั้งในแง่มุมของการขบเหลี่ยมภายในพรรคประชาธิปัตย์และในการช่วงชิงการเป็นต่อจะได้ขี่คอพรรคการเมืองอื่นๆ ก็คือเรื่องที่ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ออกมาโพสต์ผ่านเว็บไซต์ส่วนตัว ว่า ข้อต่อสู้ของนายราเกซอาจทำให้ใครบางคนนั่งไม่ติดเพราะนายราเกซได้ฉายาว่าเป็นพ่อมด ต้องไม่ธรรมดา เชื่อได้ว่าสิ่งที่ได้ดำเนินการไป ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับใครแบบไหน อย่างไร ก็น่าจะมีหลักฐานเก็บไว้มากพอสมควรที่สำคัญนายกอร์ปศักดิ์ ผู้ถูกจับตามองว่าจะไปเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรีแทนนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ที่ลาออกไปซึ่งจะทำให้ความแน่นแฟ้นกับนายอภิสิทธิ์มีมากขึ้น ก็ยังได้มีการให้ข้อมูล เหมือนกับจะให้นักการเมืองที่เกี่ยวข้องอยู่กับนายราเกซ และกรณีแบงก์บีบีซีอดที่จะรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไม่ได้ก็คือนายกอร์ปศักดิ์บอกว่ามีเอกสารคำพูดของนายราเกซ ที่นายราเกซลงนามรับรองเอาไว้ด้วย แต่ไม่ได้เปิดเผยออกมาซึ่งน่าประหลาดใจว่า เรื่องนี้เป็นคดีอาญา เป็นเรื่องใหญ่ของประเทศไทยเอกสารหลักฐานต่างๆ หรือแม้แต่เอกสารที่เกี่ยวข้องล้วนมีความสำคัญต่อรูปคดีทั้งสิ้น แต่ทำไมนายกอร์ปศักดิ์ ซึ่งเป็นรัฐบาลอยู่แท้ๆทำไมจึงไม่เปิดเผยเอกสารเหล่านั้นอย่างเป็นทางการแต่กลับมาปล่อยข่าว ราวกับจะต้องการแค่สื่อความถึงใครบางคนบางกลุ่มว่าอย่าได้ซ่าเป็นอันขาดอย่างนั้นใช่หรือไม่?หรือนี่คือสัญญาณขู่กลุ่ม 16โดยเฉพาะหากเอกสารคำพูดของนายราเกซที่มีการลงนามกำกับยอมรับเอาไว้มีจริงนายอภิสิทธิ์ ควรที่จะสั่งการให้นายกอร์ปศักดิ์นำส่งเป็นเอกสารพยานในคดีนี้
หากพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้คิดเล่นเกมอะไรจากคดีนี้จริงๆเหมือนกับกรณีการปล่อยข่าวลือทุบหุ้น ที่ประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กระเหี้ยนกระหือเหลือเกิน จนทำให้มีการออกข่าวอักษรชื่อย่อกันออกมาและทำให้คนที่มีชื่อ ย.ยักษ์ มีชื่อ ว.แหวน กินไม่ได้นอนไม่หลับไปหลายคนทั้งๆ ที่สุดท้ายแล้ว ผู้ที่ออกหมายจับกุมคือ น.ส.ธีรนันต์ วิภูชนิน และ นายคชา ปาจริยะพงศ์ แม้จะมีตัว ย. ตัว ว. อยู่ใู่นชื่อแต่ก็ไม่ได้อยู่ใู่นตำแหน่งที่มนุษย์ทั่วไปใช้ใบ้ชื่อแต่ผลจากการไล่บี้ของนายกรณ์ ทำให้ทาง พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่นรองผู้บัญชาการตาํรวจสอบสวนกลาง ออกมาบอกว่า จะขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องในคดีปล่อยข่าวลือทุบหุ้นอีกไม่ตํ่ากว่า 2 - 3 คน ในเร็วๆ นี้ซึ่งกลุ่มผู้ต้องหาชุดใหม่นี้ ไม่มีส่วนเชื่อมโยงกับ 2 ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมตัวไปก่อนหน้า แต่อย่างใดซํ้าในการสอบปากคำ น.ส.ธีรนันต์และ นายคชา ก็ยังไม่พบว่าผู้ต้องหาทั้งสองคนมีความเชื่อมโยงกันแต่อย่างใดแสบที่สุดในสายตาของนักลงทุนที่หงุดหงิดอย่างมากที่นายกรณ์ ให้ข่าวในเรื่องนี้อย่างมากมาย ไล่บี้หน่วยงานทั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและสำ นักงานคณะ
กรรมการกำ กับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือก.ล.ต. อย่างหนักจนนักลงทุนตกอกตกใจกันยกใหญ่และพลอยชะลอการลงทุนไปไม่น้อยแต่เอาเข้าจริงๆ สุดท้าย ผู้ถูกจับกุมทั้ง 2 คน อาจจะเป็นเพียงความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา14 (2) ที่ต้องโทษจำคุก 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับเพราะเรื่องการแพร่ข่าวทางอินเตอร์เน็ต ไม่ใช่ความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และที่จะจับเพิ่มอีก 2 คนที่พัวพันคดีโดย 1 คน เป็นชาย ก็มาอีหรอบเดิมคือมีพฤติการณ์เข้าไปโพสต์ข้อความใน เว็บไซต์ ฟ้าเดียวกัน และ ประชาไทเล่นเอานักลงทุนเซ็งในอารมณ์ไปตามๆ กันเพราะลำพังช่วงวัน 2 วันที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ก็ตกอย่างหนักและพลอยลากให้ตลาดหุ้นของไทยตกตามลงมาด้วยอยู่แล้ว ยังมาเจอเรื่องการเมือง ที่พยายามจะลากเอาตลาดหุ้นเข้าไปเกี่ยวข้องให้ได้อีกนักลงทุนก็เลยกลายเป็นเหยื่อชะตากรรมไปตามๆ กันเพราะในขณะที่ให้ข่าวการจับกุมครึกโครม แต่สุดท้ายแม้แต่นายอภิสิทธิ์ เองก็ยังยอมรับว่า ข้อมูลขณะนี้เป็นเรื่องความผิดส่วนบุคคลแต่อยู่ระหว่างสืบสวนต่อไปว่าเกี่ยวข้องกับใคร หรือไม่อย่างไรการเมืองอาจจะสนุก การเมืองอาจจะได้ประโยชน์ในการเอาข่าวคดีนายราเกซและคดีปล่อยข่าวลือทุบหุ้นมาใช้อย่างได้ผลแต่นักลงทุนไม่สนุกด้วยแน่นอน...อภิสิทธิ์ - กรณ์ ทราบแล้วเปลี่ยน