ที่มา Thai E-News
โดย ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข
ที่มา เว็บไซต์ประชาไท
4 พฤศจิกายน 2552
คุณธีรนันต์ วิภูชนันธ์ กับคุณคธา ปาจาจิริยะพงษ์ เป็นเหยื่อไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย และนักสิทธิมนุษยชน และผู้รักความเป็นธรรมควรจะต้องรีบออกมาปกป้อง
ข่าวลือที่แรงในระดับทำให้ดัชนีหุ้นรวมตกกว่า 30 จุดในวันแรก ก่อนจะดีดกลับมาตกที่ 15 จุด และตกแรงประมาณ 60 จุดในวันต่อมา ก่อนจะกลับมายืนแค่ระดับการตกที่ประมาณ 30 จุด
วันแรก หรือ 14 ตุลาคม 2552 ที่ข่าวลืออันไม่เป็นมงคลสะพัดในตลาดหุ้น เมื่อไปดูข้อมูลก็จะพบว่า การตกของหุ้นนั้นมาจากการเทขายทำกำไรของนักลงทุนต่างประเทศ การตกในระดับที่ 15 จุดเมื่อปิดตลาด ว่าไปมันก็เป็นตัวเลขการตกธรรมดาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ ส่วนวันที่สองซึ่งน่าจะชัดแล้วว่า ‘ข่าวลือ’ ก็คือข่าวลือที่เชื่อถือไม่ได้ ก็เป็นการขายของกองทุนในประเทศ ซึ่งมีข้อมูลประกอบการลงทุนที่ดีกว่า
พูดง่ายๆ ก็คือ หากลองไปถามเซียนหุ้นดูก็จะรู้ว่า ไม่มีทางที่การปั่นหุ้นชนิดที่ทำให้ตัวเลขขึ้นลงทั้งกระดานจะเกิดขึ้นจากนักลงทุนรายย่อย และย่อมไม่ได้เกิดจากการโพสต์ข้อความของคนเพียง 2 หรือ 3 หรือแม้กระทั่งมากกว่านั้น
และแน่นอนคุณธีรนันต์ กับคุณคธา ย่อมไม่ใช่นักลงทุนรายใหญ่หรือมีตำแหน่งแห่งหนที่จะบงการการปั่นหุ้นได้ ยังไม่ต้องนับว่า ข้อความที่เขาโพสต์นั้น ไม่ใช่เรื่องข่าวลือ แต่เป็นการแปลรายงานข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศว่าเกิดข่าวลือขึ้นในตลาดหุ้นต่างหาก ซึ่งนั่นหมายความว่า เป็นการโพสต์ข่าวแปลที่เกิดหลังหุ้นตกไปแล้ว และเป็นการแปลตามประสาพลเมืองที่ดีที่นำข่าวมาบอกกัน และเป็นผู้เล่นเว็บบอร์ดที่มีเนื้อหาสาระเหมือนที่นักวิชาการทั้งหลายเรียกร้องอยากให้เว็บบอร์ดเป็นนั่นเอง
แต่แน่ละ ไม่มีใครปฏิเสธว่า ในสองวันนั้นมีข่าวลือที่ไม่เป็นมงคลแพร่สะพัดอยู่ด้วย แต่ข่าวลือนั้นเกิดขึ้นเพื่อหวังผลในการปั่นหุ้นจริงหรือ หรือหากหวังผลเช่นนั้น ข่าวลือเช่นนั้นจะได้ผลหรือไม่ก็ยิ่งน่าสงสัย
เช่นเดียวกับในทุกวี่วันที่มีสารพัดข่าวลือที่วนเวียนอยู่ในตลาดให้นักเก็งกำไรหรือนักลงทุนต้องวิเคราะห์อยู่สม่ำเสมอ ซึ่งไม่จำเป็นต้องได้ผลเสมอไป
แม้แต่เด็กๆ แถวบ้าน ยังสามารถท่องได้เลยว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนโปรดศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุน”
อย่าลืมทีเดียวเชียวว่า หลังเหตุการณ์หุ้นตกเพราะเชื่อว่ามาจากข่าวลือนั้น รัฐบาลเองก็ไม่ได้มองเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องออกมาจัดการแต่อย่างใด กระทั่งเกิดการปั่นข่าวเอาเรื่องนี้มาเป็นเรื่องการเมืองของ ‘นักการเมืองในสภาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง’ และ ‘นักการเมืองนอกสภาที่รอวันจะลงเลือกตั้งไปนั่งในสภาของผู้แทนราษฎร’ เท่านั้นแหละ รัฐบาลจึงออกมาเดินตามราวกับลูกที่ดี
แต่สมมติว่า การตกของหุ้นนั้นมาจากข่าวลือที่มีใครก็ตามตั้งใจปล่อยล้วนๆ ข่าวลือที่แรงระดับนี้ก็น่าจะมาจากความตื่นตระหนกรวมหมู่ ซึ่งมีอยู่เป็นพื้นฐานในสังคมไทย อันสะท้อนว่า สังคมเศรษฐกิจไทยหวั่นไหวเพียงใดในสถานะทางการเมืองที่ไม่มั่นคงอยู่นี้ และโครงสร้างตลาดทุนไทยก็ช่างเปราะบางเกินกว่าจะรับกับข่าวลือสารพัดได้ ซึ่งหากรัฐบาลปรารถนาจะดึงนักลงทุนจากต่างประเทศและสร้างความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย รัฐบาลเองก็ต้องหาทางรับมือกับสารพัดข่าวลือแบบนี้ให้มันเกิดข้อเท็จจริงขึ้นอย่างทันท่วงที แทนที่จะจัดการไปในทางที่มีผลทำให้คนไม่กล้าพูด ซึ่งมีแต่จะดำรงไว้ซึ่ง ‘ข่าวลือ’ ให้ลืออยู่เช่นนั้น
คุณธีรนันต์ กับคุณคธา จึงเป็นเหยื่ออย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทำไมต้องเป็น 2 คนนี้ ทั้งๆ ที่มีคนโพสต์เรื่องนี้มากมาย ทั้งก่อนหน้าและหลัง หรือเขาเป็นสองคนแรกที่ปล่อยข่าวกระนั้นหรือ
หรือเพราะเขาเป็นคนโพสต์ข้อความในหลายที่ กระนั้นเอาอะไรไปตัดสินว่า การโพสต์ข้อความแม้จะในหลายๆ ที่จะเป็นความจงใจทำให้เกิดกระแส เพราะโดยปกติ การโพสต์ข้อความในเว็บบอร์ดหลายๆ แห่งนั้นเกิดขึ้นได้เป็นปกติสำหรับคนที่อยู่ในชุมชนคนเล่นบอร์ด ซึ่งไม่ได้เอาตัวเองไปสังกัดเว็บบอร์ดใดๆ เพียงแห่งเดียว ถ้าสมมติเขาโพสต์สัก 10 บอร์ด นั่นแสดงความว่า เขาจงใจปั่นหุ้นเช่นนั้นหรือ
แล้วเราจะเรียก นักการเมืองที่ให้ข่าวเล่นข่าวย้ำๆๆๆๆๆ ถึงข่าวลือๆๆๆๆ นี้ว่าอย่างไร
ยังไม่ต้องพูดว่า มันตลกเพียงใด หากเขาจงใจปั่นหุ้น โดยมาปล่อยข่าวในเว็บบอร์ดอย่าง ‘ประชาไท’ และ ‘ฟ้าเดียวกัน’ เพราะแม้แต่ห้องสินธร แห่งเว็บบอร์ดพันทิพ อันเป็นชุมชนคนเล่นหุ้น การปล่อยข่าวเพื่อหวังให้เกิดแรงกระเพื่อมของตัวเลขในกระดานขึ้นลงก็แทบจะไม่เคยได้ผล
ยังไม่ต้องนับว่า ข่าวลืออันไม่เป็นมงคลนี้เกิดขึ้นในเว็บบอร์ดอื่นๆ ที่ไม่ใช่ แค่ ‘ประชาไท’ หรือ ‘ฟ้าเดียวกัน’ มาก่อนหน้าแล้ว แต่กลับจงใจให้ข่าวราวกับว่า ต้นตอการปั่นหุ้นมาจาก ‘ประชาไท’ หรือ ‘ฟ้าเดียวกัน’
ยังไม่นับว่า นี่จะเป็นการจับตาม ‘พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์’ แบบไร้เหตุผลเพียงใด
แน่ละ คงต้องรอดูว่า จะมีข้อมูลเรื่องการปั่นหุ้น และความผิดตามข้อหากฎหมายหลักทรัพย์ตามมาหรือไม่ และอย่างไร
แต่กรณีนี้น่าจะชัดเจนแล้วว่า ‘พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์’ ให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่รัฐแบบกว้างขวางและเหวี่ยงแหชนิดไม่ละอายต่อบาปและการใช้เหตุผล กระทั่งอยู่ในสถานะ ‘พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำอันเป็นแม่มด’ ของหมอผีครองเมืองทั้งหลาย ที่พร้อมจะนำไปแปะป้ายใครก็ตามที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม หรือต้องการจะเล่นงานเพื่อหวังผลทางการเมือง
น่าสงสัยด้วยว่ามีการใช้อำนาจนอกเหนือกฎหมายด้วยการลอบขโมยข้อมูลส่วนบุคคลหรือไม่ อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์เอง ซึ่งน่าจะเป็นการบ้านให้กับเหยื่อได้ศึกษาเพื่อการฟ้องกลับเจ้าหน้าที่รัฐและรัฐบาลเป็นอย่างยิ่ง
ในท่ามกลางความไม่ชัดเจนว่ามีการปั่นหุ้นหรือไม่ แต่ชัดเจนยิ่งว่า มีการ ‘ปั่นข่าว’ โดยอาศัยหุ้นตกและอาศัยข่าวลือที่เกิดขึ้นแน่ๆ เพราะสมมติว่ามีการปั่นหุ้น อย่างมากคนปั่นก็ได้แค่เงิน แต่คนปั่นข่าว ได้ประจบสอพลอและอำนาจ และยังได้เล่นงานฝ่ายที่เห็นต่างอีกด้วย
ก็แล้วทำไมไม่บอกไปตรงๆ เลยล่ะว่า
“เล่นเน็ตมีความเสี่ยง ผู้เล่นควรควรเลือกข้าง ‘หมอผี’ ก่อนการเล่น”