ที่มา บางกอกทูเดย์
รัฐธรรมนูญบัญญัติว่า...พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการประกาศสงคราม เมื่อได้รับความเห็นชอบของรัฐสภารัฐธรรมนูญกำชับไว้อีกว่า...ต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของสมาชิกที่มีอยู่ในสภาทั้ง 2อธิบายได้ว่า...การประกาศสงครามเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศ...แพ้ชนะในสงครามเป็นชะตากรรมร่วมกันของมวลชนแห่งชาติการล้มลงของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐสภา...นั้นแม้แต่เพียงครึ่งหนึ่งของคะแนนของสภาเดียว...นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลของเขาก็มีอันสิ้นสุดลงได้อธิบายได้ว่า...รัฐบาลภายใต้บังคับแห่งรัฐธรรมนูญนั้น...มีความสำคัญเพียงน้อยนิด...แต่เพียงคนๆ เดียว...อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...ได้กระทำการที่เป็นการตั้งต้นของสงคราม...และก้าวลํ้าเข้าไปในความขัดแย้งระหว่างชาติ...การเรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงกัมพูชากลับ เพราะไม่พอใจกับการแต่งตั้งอดีตนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยให้เป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาและประเทศกัมพูชานั้นน่าจะมีการปรึกษาหารือกัน...ในหลายๆ ระดับ...เริ่มต้นกันตั้งแต่ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี...สภากลาโหม...สภาความมั่นคงแห่งชาติ...หรือปรึกษาหารือกับองค์คณะแห่งองคมนตรี ฯลฯแต่...อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...ให้กระทรวงการต่างประเทศเรียกทูตกลับ และประกาศหยุดการช่วยเหลือในทุกระดับกับกัมพูชาอนิจจา...นายกรัฐมนตรีไีม่รู้หรือว่า...มีโีครงการมากมายในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ...เป็นที่จับจิตจับใจประชาชนคนกัมพูชา...ในพระมหากรุณาธิคุณ...อนิจจา...นายกรัฐมนตรีไม่รู้หรือว่า...ความช่วยเหลือราคาไม่กี่เหรียญ...ที่ไทยช่วยกัมพูชานั้น...ประชาชนกับประชาชนของไทยกัมพูชา...ค้าขายกันอยู่มากกว่า 7หมื่นล้านต่อปี...และประเทศไทยมีคนไทยไปลงทุนอยู่ในประเทศนั้น นับแสนล้านบาท...ไม่นับการท่องเที่ยวผ่านประเทศไทยไปชมนครวัดในกัมพูชา...อีกปีละหลายๆ หมื่นคนชวน หลีกภัย-บัญญัติ บรรทัดฐาน-สุเทพ เทือกสุบรรณ...พรรคประชาธิปัตย์ของท่าน รับไหวหรือ...กับความเสียหายที่ประชาชนคนไทยและประเทศไทยได้รับในครั้งนี้...ไม่รวมถึงสิ่งที่ดีที่ยังไม่เกิดขึ้น...เมื่ออดีตนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย... คือที่ปรึกษาใหญ่เศรษฐกิจของประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติมากมายมหึมายิ่งกว่าเด็ก คือทารก ไตรรงค์ สุวรรณคีรี...เคยพูดไว้