ที่มา บางกอกทูเดย์
2 ตำแหน่งใหญ่-ดังไปทั้งโลกเพราะที่ผ่านมาคำพูดของนายอภิสิทธิ์ขาดความสุภาพอ่อนน้อมทางการทูต วันนี้สมเด็จฯ ฮุน เซน จึงสอนมวยให้เห็นว่า กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ รัฐบาลกัมพูชามีจุดยืนที่ชัดเจนอย่างไร ล่าสุดจึงเป็นข่าวกระหึ่มโลกอีกครั้ง เพราะรัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์แต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาส่วนตัวของสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาซึ่งอาจจะมองว่าเป็นเพราะมิตรภาพก็ได้ แต่ที่สำคัญคือให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจรัฐบาลกัมพูชาด้วยนี่สิ นี่คือการรับรองอย่างเป็นทางการของรัฐบาลกัมพูชาเลยทีเดียว
ค่าของคนอยู่ที่ผลของงานแม้ว่าจะเป็นคำพูดคำสอนที่มีมานานในสังคมไทยหลายสิบปีแล้วก็ตาม แต่ก็พบว่ามีคนไม่น้อยเหมือนกันที่ทำไม่ได้ ซ้ำร้ายบางคนยังเป็นประเภท เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ออกหูหมาทะลุหูควายไปโน่นเลยและคนประเภทเด็กแสบเหล่านี้แหละที่มักทำตัวเป็นสุนัขจิ้งจอกหางด้วน เมื่อไม่มีผลงานก็พยายามที่จะทำให้คนอื่นไม่มีผลงานไปด้วย ใครที่มีผลงานหรือพยายามสร้างผลงานก็จะถากถางสารพัด อ้างโน่นอ้างนี่ไปเรื่อยสุดท้ายที่รับกรรมจริงๆ ก็คือประเทศชาติ ที่ย่ำอยู่กับที่หรือไม่ก็ถอยหลังไปเลยในขณะที่ประเทศอื่นๆ ก้าวล้ำหน้าแซงประเทศไทยไปหน้าตาเฉยอย่างวันนี้ ต้องยอมรับความจริงว่าประเทศเวียดนามกำลังมาแรง และในการพัฒนาประเทศหลายๆ ด้านนั้น ได้แซงหน้าประเทศไทยไปแล้ว จนทำให้นักลงทุนต่างชาติหันไปลงทุนที่เวียดนามมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นจังหวะที่ประเทศไทยถูกแช่แข็งจากการกระทำรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 และเกิดปัญหาการเมืองต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงปัจจุบันทุกรัฐบาลที่เกิดขึ้นหลังรัฐประหาร 19 กันยายน ไม่สามารถที่จะอยู่ได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะวาระซ่อนเร้นของกลุ่มทหาร คมช. กลุ่มอำมาตยาธิปไตย และกลุ่มม็อบการเมือง ยังคงเล่นไม่เลิก ทำให้รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ
แม้แต่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่คมช. กลุ่มอำมาตยาธิปไตย และกลุ่มม็อบพันธมิตร อุ้มขึ้นมาให้เป็นรัฐบาล แต่ก็ขาดเสถียรภาพ เพราะประชาชนจำนวนมากไม่ยอมรับ เห็นว่าขึ้นมาเป็นรัฐบาลอย่างไม่สง่างามซ้ำร้ายเมื่อขึ้นมาเป็นรัฐบาลแล้ว กลับไม่ได้ทุ่มเทในการพัฒนาบริหารประเทศอย่างเต็มที่ กลับมุ่งแต่จะทำลายล้างคู่แข่งทางการเมืองเป็นหลัก ขณะเดียวกันก็เล่นเกมกับพรรคร่วมรัฐบาลต่างๆ ไม่หยุดหย่อนจนทำให้ลึกๆ แล้วในพรรคร่วมรัฐบาลขาดความสามัคคีที่แท้จริง การเกาะเกี่ยวที่ยังคงอยู่ได้เป็นเรื่องของการต่อรองกันและกันอยู่ตลอดเวลาสะท้อนชัดเจนถึงการไม่มีผลงาน และการไม่มีเสถียรภาพในขณะที่อดีตนายกรัฐมนตรี อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เสียอีก ที่แม้จะต้องระเห็จระเหเร่ร่อน เพราะพิษการเมืองในประเทศ กลับมีประเทศต่างๆ ให้การต้อนรับ และต้องการให้เข้าไปช่วยทำงานพัฒนาบ้านเมืองและเศรษฐกิจให้ประเทศเหล่านั้นกรณีของประเทศกัมพูชา เป็นประเทศหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจน ถึงการมองเห็นคุณค่าในฝีมือการทำงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้งการยืนยันในเรื่องมิตรภาพ ของ สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ว่าพ.ต.ท.ทักษิณคือมิตรแท้ จนทำให้นายอภิสิทธิ์ เกิดอาการขัดใจอย่างรุนแรงและใช้คำพูดที่ขาดประสบการณ์ทางการทูต ขาดวุฒิภาวะในการเป็นผู้นำ ในช่วงการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 15 กลายเป็นข่าวฉาวไปทั่วโลก และทำให้ประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียนอึ้งกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นไปตามๆ กันและวันนี้ สมเด็จฯ ฮุน เซน และประเทศกัมพูชา ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ในเมื่อนายอภิสิทธิ์ไม่มีการระมัดระวังคำพูดใดๆ กับผู้นำมิตรประเทศ กัมพูชาก็ไม่ต้องมีการเกรงใจใดๆ กับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ด้วยเช่นกันล่าสุดจึงเป็นข่าวกระหึ่มโลกอีกครั้ง เพราะรัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์แต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาส่วนตัวของสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาซึ่งอาจจะมองว่าเป็นเพราะมิตรภาพก็ได้ แต่ที่สำคัญคือให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจรัฐบาลกัมพูชาด้วยนี่สิ นี่คือการรับรองอย่างเป็นทางการของรัฐบาลกัมพูชาเลยทีเดียวและพระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี พระมหากษัตริย์พระองค์ปัจจุบันแห่งกัมพูชา ก็ได้ทรงลงพระนามรับรองพระราชกฤษฎีกาแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยในแถลงการณ์ที่ถูกเผยแพร่ผ่านทางสถานีโทรทัศน์แห่งชาติกัมพูชาเมื่อเวลา ประมาณ 21.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น เมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา ไม่เพียงแค่เป็นการแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณอย่างเป็นทางการให้รับรู้กันทั่วโลก
แต่ในเนื้อหาของแถลงการณ์ยังมีการระบุยืนยันไว้ด้วยว่า ข้อกล่าวหาที่รัฐบาลไทยมีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นประเด็นทางการเมือง ดังนั้นหากอดีตนายกรัฐมนตรีไทยตัดสินใจจะพำนักที่กัมพูชา ก็จะไม่มี การส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมายังไทยเป็นอันขาด และรัฐบาลกัมพูชาอนุญาตให้ พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถเดินทางเข้าหรือออกนอกประเทศได้ตามสะดวก เพื่อปฏิบัติหน้าที่ที่ปรึกษารัฐบาล ในหลักของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การแถลงการณ์ดังกล่าว เป็นการประกาศจุดยืนอย่างเปิดเผย ไม่ซ่อนเร้นอำพราง ซึ่งสากลประเทศยอมรับได้ เพราะถือว่าเป็นการกระทำโดยเปิดเผยซึ่งเหมาะสมกว่าการกระทำแบบปิดๆ บังๆ หรือไม่มีความชัดเจนในจุดยืนดังนั้นในเรื่องนี้แม้แต่สหประชาชาติก็ยังเห็นว่าเป็นเรื่องที่กัมพูชาสามารถทำได้อย่างถูกต้อง ที่เปิดเผยชัดเจนเช่นนี้แต่แน่นอนว่า สำหรับรัฐบาลไทยแล้ว เรื่องนี้ถือว่าเป็นการศอกกลับภาวะผู้นำของนายอภิสิทธิ์อย่างตรงๆบรรดาสื่อต่างประเทศทั่วโลก ต่างวิเคราะห์ในทิศทางที่สอดคล้องกันว่า แถลงการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลกระทบระลอกใหม่ต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาเพราะลักษณะนิสัยของนายอภิสิทธิ์ และบรรดาคนใกล้ชิดรอบข้างนั้น ขณะนี้อยู่ในภาวะอำนาจครอบงำจนขาดซึ่งความสุภาพอ่อนน้อมและสัมมาคารวะที่พึงมีไปแล้วจึงเชื่อว่าจะต้องมีการใช้คำพูดที่ไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองทางการทูตออกมาอย่างแน่นอนโดยเฉพาะกับบรรดาคนของนายอภิสิทธิ์ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีแต่ใช้คำพูดที่ไม่เคยสร้างความสมานฉันท์ใดๆ ให้กับประเทศชาติได้เลย จะยิ่งตอกย้ำให้ระดับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกัมพูชา ของสมเด็จฯ ฮุน เซน กับรัฐบาลไทยของนายอภิสิทธิ์ มองหน้ากันไม่สนิทมากขึ้นแต่ยังดีที่ในแง่ของการทหารที่หลายฝ่ายเป็นห่วงว่าอาจจะมีการปะทะกัน และกลายเป็นเรื่องระหว่างประเทศขึ้นได้นั้น ทาง พล.อ.เตีย บันห์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณปราสาทเขาพระวิหาร ว่า ตอนนี้ทหารของทั้งสองฝ่ายก็ยังคงตรึงกำลังเพื่อดูแลความเรียบร้อย ซึ่งทหารของทั้งสองประเทศเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี และไม่มีปัญหาอะไรต่อกัน และกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็พูดจากันรู้เรื่องอยู่แล้ว
ส่วนที่ว่า สมเด็จฯ ฮุน เซน เป็นห่วงเรื่องการเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่าย จึงอยากจะให้มีการถอนกำลังทหารเพื่อลดความตรึงเครียด พล.อ.เตีย บันห์ กล่าวว่า ไม่มีอะไร สมเด็จฯ ฮุน เซน ไม่ได้มีการสั่งการอะไรมาเป็นพิเศษ ตอนนี้คิดมากกันไปเอง “ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ทางการทหารนั้น ไม่มีปัญหา ทั้งสองกองทัพไม่มีปัญหา เรายังแน่นปึ้กกันอยู่ และยังสามารถพูดคุยตกลงกันได้ ไม่มีปัญหาอะไร” พล.อ.เตีย บันห์กล่าวยืนยันนั่นถือเป็นเรื่องที่ดีระหว่าง 2 ประเทศ ที่ยังไม่มีเรื่องความตึงเครียดทางการทหารเข้ามาเกี่ยวข้องเท่ากับว่ายังคงเป็นการแยกแยะ ระหว่างเรื่องประเทศกับประเทศนั้น ไม่ได้มีอะไรต่อกันเป็นแต่เรื่องของรัฐบาลต่อรัฐบาลเท่านั้น ที่มีมุมมองแตกต่างกันดังนั้นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และตัวนายอภิสิทธิ์เอง จะต้องนิ่งกว่านี้ ควบคุมอารมณ์ให้ดีกว่าที่ผ่านมา เพราะแม้ว่าในประเทศไทย นายอภิสิทธิ์จะแสดงอารมณ์เด็กดื้อออกมาอย่างไรก็อาจจะไม่มีใครกล้าตำหนิแต่สำหรับกรณีระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาลแล้ว จะให้อารมณ์เด็กหรือการยังไม่มีวุฒิภาวะผู้นำไม่เพียงพอมาก่อให้เกิดการกระทบกระทั่งกับรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้าน หรือผู้นำมิตรประเทศนั้น เป็นเรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์อย่างยิ่งวันนี้นายอภิสิทธิ์จะต้องสุขุมและนิ่งให้มากที่สุดขณะเดียวกันก็ต้องกำชับห้ามปรามบรรดาสมุนที่นิยมการแกว่งปากหาเรื่องให้สงบเสงี่ยมลงมาบ้างเพราะโชคดีอย่างยิ่งแล้วที่เป็นแค่เรื่องระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล ผู้นำรัฐบาลกับผู้นำรัฐบาล ไม่ใช่เรื่องระหว่างประเทศกับประเทศซึ่งนั่นย่อมหมายความว่า หากมีการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งเกิดขึ้นในอนาคต รัฐบาลใหม่ ผู้นำรัฐบาลคนใหม่ ก็สามารถที่จะสานสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลให้กลับคืนมาดีดังเดิมได้เพียงแต่ว่าการเมืองของกัมพูชาเวลานี้นิ่งกว่าไทยมาก ฉะนั้นโอกาสที่รัฐบาลกัมพูชา ผู้นำรัฐบาลกัมพูชาจะเปลี่ยนแปลงนั้นคงยาก ผิดกับรัฐบาลไทยที่สถานการณ์ล่อแหลมมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่านายอภิสิทธิ์จะฝืนไม่ยุบสภาได้อีกนานแค่ไหนฉะนั้นถ้านายกรัฐมนตรีไม่ใช่นายอภิสิทธิ์ และรัฐมนตรีต่างประเทศไม่ใช่นายกษิต ภิรมย์ เชื่อว่าปัญหาระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา ก็น่าจะแก้ไขได้ง่ายขึ้นเพราะวันนี้ประเทศชาติสำคัญที่สุด