ที่มา ข่าวสด
เหล็กใน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กระทำผิดอย่างมหันต์อีกครั้ง
หลังตัดสินใจสั่งใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์
เริ่มต้นด้วยมาตรการกดดัน ปิดล้อม ห้ามคนเข้าออกสถานที่ชุมนุม
ตามด้วยการตัดข้าวตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดสัญญาณโทรศัพท์
อันเป็นจุดเริ่มต้นของความรุนแรงรอบนอก ที่บ่อนไก่ ราชปรารภ และดินแดง
มีการปะทะ มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต
ความรุนแรงเพิ่มดีกรีขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้แกนนำผู้ชุมนุมยินยอมพร้อมเจรจา โดยมีกลุ่มส.ว.ส่วนหนึ่ง เป็นผู้ดำเนินการประสานงาน
ข้อเสนอก็คือให้ทหารหยุดยิง ขณะเดียวกันก็ให้มวลชนที่กำลังโกรธแค้นอยู่รอบนอก หยุดการกระทำที่รุนแรงทุกอย่าง
แต่นายอภิสิทธิ์แข็งกร้าว เอาใจสังคมแวดล้อมของตัวเองเกินไป
พร้อมกับส่งสัญญาณว่าการเจรจาถูกปิดประตูไปแล้ว ถ้าจะเจรจาก็ต้องหยุดชุมนุมก่อน
ขณะเดียวกัน ก็มีการโหมกระพือวาทกรรมผู้ก่อการร้ายอย่างต่อเนื่อง
หลังจากใช้กำลังทหาร พร้อมอาวุธสงคราม รถสายพานหุ้มเกราะ บุกกระชับวงล้อมความสูญเสียและความรุนแรงแบบสงครามกลางเมืองก็เริ่มเกิดขึ้นทันที
มีการปะทะ มีผู้ได้รับบาดเจ็บ เสียเลือดเสียเนื้อกันทั้งสองฝ่าย
น่าเสียใจอย่างยิ่ง ที่ความย่อยยับในชีวิตของมนุษย์ครั้งนี้ ยังมีคนอีกกลุ่มมองอย่างสะใจ และบอกว่าสมควรแล้ว
โดยเฉพาะวอร์รูมของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งบอกว่าศพแล้วศพแล้วที่ตายไปนั้น ยังอยู่ในวิสัยที่พอรับได้ทั้งๆที่ความจริงน่าจะเป็น 200-300 ศพด้วยซ้ำไป
ปฏิบัติการทางทหารกับผู้ชุมนุมในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมีมนุษยธรรรมในหัวใจของนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และบุคคลในกองทัพได้อย่างดี
ความสูญเสียในวันที่ 19 พ.ค.ในเบื้องต้น ตายไปแล้ว 13 ศพ บาดเจ็บจากคมกระสุน และการปะทะอีกเกือบ 100 ราย
ตามมาด้วยการจลาจลเผาทำลายตอบโต้อย่างบ้าคลั่ง ซึ่งไม่อาจเหมารวมว่ามาจากผู้ชุมนุมฝ่ายเดียว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นายอภิสิทธิ์และคณะรัฐบาล อาจจะอยู่ในตำแหน่งต่อไปอีกได้
ตราบใดที่คนในสังคมยังเห็นว่าเป็นการลงมือเพื่อปราบการก่อการร้าย ตามที่รัฐบาลโหมประโคมขออนุญาตเอาไว้
แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าผู้ที่มาจากการเลือกตั้ง อ้างมาตามวิถีประชาธิปไตย จะใช้วิธีดังกล่าวเพื่อปฏิบัติกับประชาชนที่เห็นต่างได้ถึงเพียงนี้
ทั้งๆที่ระบอบประชาธิปไตย เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุด เพื่อไม่ให้คนลุกขึ้นจับปืนมาต่อสู้กัน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กระทำผิดอย่างมหันต์อีกครั้ง
หลังตัดสินใจสั่งใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์
เริ่มต้นด้วยมาตรการกดดัน ปิดล้อม ห้ามคนเข้าออกสถานที่ชุมนุม
ตามด้วยการตัดข้าวตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดสัญญาณโทรศัพท์
อันเป็นจุดเริ่มต้นของความรุนแรงรอบนอก ที่บ่อนไก่ ราชปรารภ และดินแดง
มีการปะทะ มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต
ความรุนแรงเพิ่มดีกรีขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้แกนนำผู้ชุมนุมยินยอมพร้อมเจรจา โดยมีกลุ่มส.ว.ส่วนหนึ่ง เป็นผู้ดำเนินการประสานงาน
ข้อเสนอก็คือให้ทหารหยุดยิง ขณะเดียวกันก็ให้มวลชนที่กำลังโกรธแค้นอยู่รอบนอก หยุดการกระทำที่รุนแรงทุกอย่าง
แต่นายอภิสิทธิ์แข็งกร้าว เอาใจสังคมแวดล้อมของตัวเองเกินไป
พร้อมกับส่งสัญญาณว่าการเจรจาถูกปิดประตูไปแล้ว ถ้าจะเจรจาก็ต้องหยุดชุมนุมก่อน
ขณะเดียวกัน ก็มีการโหมกระพือวาทกรรมผู้ก่อการร้ายอย่างต่อเนื่อง
หลังจากใช้กำลังทหาร พร้อมอาวุธสงคราม รถสายพานหุ้มเกราะ บุกกระชับวงล้อมความสูญเสียและความรุนแรงแบบสงครามกลางเมืองก็เริ่มเกิดขึ้นทันที
มีการปะทะ มีผู้ได้รับบาดเจ็บ เสียเลือดเสียเนื้อกันทั้งสองฝ่าย
น่าเสียใจอย่างยิ่ง ที่ความย่อยยับในชีวิตของมนุษย์ครั้งนี้ ยังมีคนอีกกลุ่มมองอย่างสะใจ และบอกว่าสมควรแล้ว
โดยเฉพาะวอร์รูมของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งบอกว่าศพแล้วศพแล้วที่ตายไปนั้น ยังอยู่ในวิสัยที่พอรับได้ทั้งๆที่ความจริงน่าจะเป็น 200-300 ศพด้วยซ้ำไป
ปฏิบัติการทางทหารกับผู้ชุมนุมในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมีมนุษยธรรรมในหัวใจของนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และบุคคลในกองทัพได้อย่างดี
ความสูญเสียในวันที่ 19 พ.ค.ในเบื้องต้น ตายไปแล้ว 13 ศพ บาดเจ็บจากคมกระสุน และการปะทะอีกเกือบ 100 ราย
ตามมาด้วยการจลาจลเผาทำลายตอบโต้อย่างบ้าคลั่ง ซึ่งไม่อาจเหมารวมว่ามาจากผู้ชุมนุมฝ่ายเดียว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นายอภิสิทธิ์และคณะรัฐบาล อาจจะอยู่ในตำแหน่งต่อไปอีกได้
ตราบใดที่คนในสังคมยังเห็นว่าเป็นการลงมือเพื่อปราบการก่อการร้าย ตามที่รัฐบาลโหมประโคมขออนุญาตเอาไว้
แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าผู้ที่มาจากการเลือกตั้ง อ้างมาตามวิถีประชาธิปไตย จะใช้วิธีดังกล่าวเพื่อปฏิบัติกับประชาชนที่เห็นต่างได้ถึงเพียงนี้
ทั้งๆที่ระบอบประชาธิปไตย เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุด เพื่อไม่ให้คนลุกขึ้นจับปืนมาต่อสู้กัน