ที่มา ไทยรัฐ
ยังหล่อเข้มอยู่ได้
โดยสีหน้าแววตายังผุดผ่องของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่โผล่จอแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯประกาศลั่น
รัฐบาลจำเป็นต้องเดินหน้า รัฐบาลไม่อาจถอยได้
ท่ามกลางสถานการณ์ "กรุงเทพฯมิคสัญญี" ฉากปะทะรุนแรงระหว่างทหารกับกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม ต่อเนื่องไม่หยุด ตามยุทธการที่เปลี่ยนจาก "ขอคืนพื้นที่" ไปเป็น "กระชับพื้นที่" ไล่บี้ล้อมกรอบม็อบเสื้อแดง
โดยจำนวนผู้เสียชีวิตที่ใส่ตัวเลขเป๊ะๆไม่ได้ เพราะเพิ่มขึ้นชั่วโมงต่อชั่วโมง
ที่แน่ๆ คนตายเป็นประชาชนล้วนๆ
ผู้ชุมนุมขัดแย้งยิงกันเองตาย ตามข้อมูลอ้างอิงจากฝ่ายคุมอำนาจ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกฯ คุมสื่อรัฐ เปิดแถลงนำร่อง เจ้าหน้าที่พยายามกระชับวงล้อม สกัดการ
เติมกำลังสนับสนุนของกลุ่มผู้ชุมนุม
แต่กลับถูกผู้ชุมนุมโจมตีด้วยอาวุธหนักที่สุดหลังสงครามคอมมิวนิสต์
ตามด้วยคิวของขุนทหารในชุดเต็มยศนำทีมโดย พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง เสธ.ทบ.นำทีมหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการ ตั้งโต๊ะแถลงที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ชี้แจงสถานการณ์ ภายหลังพบว่ามีกองกำลังติดอาวุธแฝงอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม ทหารได้ปรับการใช้กำลังใหม่
โดยให้ใช้ปืนลูกซองและกระสุนจริงเพื่อมิให้ผู้ชุมนุมเข้าประชิดตัว
แต่เป็นการยิงต่ำในระดับพื้น ไม่มุ่งหมายเอาชีวิต ให้ละเว้นเด็กและผู้หญิง ให้เจ้าหน้าที่ใช้กระสุนจริงก็ต่อเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจน
ตามฉากสงครามรับมือพวกก่อการร้าย ฝ่ายถืออำนาจจำเป็นต้องลุยปราบรุนแรง
เปรียบเทียบกับข้อมูลที่ไม่ได้มีการแถลง
กับช็อตบังเอิญนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียสามารถบันทึกภาพหน่วยซุ่มยิง "สไนเปอร์" อยู่บนดาดฟ้าอาคารชาญอิสสระ ถนนพระราม 4 มาให้นักข่าวไทยดู รับกับภาพที่ปรากฏอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ที่ทหารในชุดพราง 2 คน ซุ่มอยู่บนอาคารสูง
คนหนึ่งชี้เป้า คนหนึ่งเล็งปืนผ่านกล้องตาเขม็งไปที่กลุ่มผู้ชุมนุม
และฟ้องด้วยภาพชัดๆกับแผ่นป้าย "พื้นที่การใช้กระสุนจริง" ที่ทหารนำมาติดกับรั้วลวดหนามในพื้นที่ปะทะบริเวณสะพานไทย-เบลเยียม มีภาษาอังกฤษกำกับไว้เสร็จสรรพ "Life Firing Zone"
ภาพปรากฏตามสื่อไปทั่วโลก โดยไม่ต้องแปล
ตามอารมณ์การรายงานข่าวของสำนักข่าวต่างประเทศทั้งอัลจาซีรา ซีเอ็นเอ็น เอพี ฯลฯ สรุปความว่า รัฐบาลที่เกิดจากการเล่นแร่แปรธาตุของกระบวนการยุติธรรมและกองทัพ ได้พยายามสลายการชุมนุมของฝ่ายต่อต้าน
โดยที่ทหารไทยใช้การยิงแบบไม่เลือกหน้า
เอาเป็นว่า นับรวมตัวเลขจากวันที่ 10 เมษายน ที่มีผู้เสียชีวิตจากเหตุสลายม็อบเสื้อแดงไปแล้วเกือบ 30 ราย เรื่อยมาจนถึงล่าสุดมีคนตายเพิ่มอีกกว่า 20 คน ตามข้อมูลที่รายงานกันอย่างเป็นทางการ รวมตัวเลขกันก็เกินหลักครึ่งร้อย
สังเวยการยื้ออำนาจบนเก้าอี้นายกฯของคนชื่อ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"
ผู้นำ "เด็กเส้นดี" ในเมืองไทย
แต่ไม่ชัวร์ในเวทีโลก หากมีการลากคดีขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ ในฐานะผู้นำพลเรือนที่มีอำนาจสั่งการทหารปราบปรามผู้ชุมนุมที่อ้างว่ามีผู้ก่อการร้ายแฝงอยู่ จนมีคนตายพุ่งเกินหลักครึ่งร้อยเข้าไปแล้ว
"อภิสิทธิ์" จะมั่นใจในภูมิคุ้มกันได้สักแค่ไหน
ที่แน่ๆเลย น่าจะเป็นอะไรที่ไม่มั่นใจในภูมิคุ้มกันของตัวเอง กับปรากฏการณ์รีเทิร์นของ "เดอะลิ้ม" นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำใหญ่ม็อบพันธมิตรฯ กลับมาโผล่จอโชว์หน้าโชว์ตากับบรรดาแฟนคลับ พร้อมประกาศไขก๊อกจากเก้าอี้หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่
ขอกลับมานั่งแป้นเป็นหัวหอกพันธมิตรฯอีกรอบ
ตามคิวเดิมพันชีวิตในสถานการณ์ "สงครามกลางเมือง" ที่บีบให้บรรดา "ตัวเอก" ตามท้องเรื่องของแต่ละขั้ว ต้องดิ้นหาเกราะกำบังกาย
ถึงจะหนังเหนียวรอดจากคมกระสุนมาได้รอบหนึ่งแล้ว
แต่มาถึงจุดมั่วๆไม่รู้ใครจ้องล่อ "เดอะลิ้ม" ต้องโชว์กำลัง ภายในขู่ไว้ก่อน.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน