ที่มา ไทยรัฐ
ล่าสุด โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ เพื่อนบ้านอาเซียนของไทย ก็ออกมาแถลงเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายกลับเข้าสู่การเจรจาอีกครั้ง หลังจากที่ เลขาธิการสหประชาชาติ และ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกมาเรียกร้องให้สองฝ่ายหันหน้าเจรจากันก่อนหน้านี้
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ บอกว่า "เรารู้สึกตกใจและกังวลอย่างมากกับเหตุรุนแรงที่หนักขึ้นเรื่อยๆในกรุงเทพฯ หากทุกฝ่ายไม่อดทนอดกลั้น และกลับไปสู่การเจรจาโดยทันที เราเกรงว่าสถานการณ์อาจลื่นไหลไปไกลเกินกว่าที่ทุกฝ่ายจะควบคุมได้ หากสถานการณ์นี้เกิดขึ้น ผลพวงที่ตามมาสำหรับไทยและอาเซียนจะร้ายแรงมากเลยทีเดียว"
ผมเห็นด้วยกับโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ หากปล่อยให้สถานการณ์ปะทะกันในใจกลางกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีคนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากลื่นไหลไปเรื่อยๆ และทวีความรุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ สุดท้ายเหตุการณ์อาจบานปลาย จนสองฝ่ายไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ กรุงเทพฯก็มีหวังลุกเป็นไฟ
หนทางที่จะดับไฟกองนี้ก็มีอยู่ทางเดียวอย่างที่ทุกฝ่ายเรียกร้องก็คือ เปิดการเจรจารอบใหม่โดยเร็วที่สุด และ สร้างแนวทางการปรองดองรอบใหม่โดยเร็วที่สุด เพื่อหยุดยั้งการใช้ความรุนแรงให้เร็วที่สุด
การเจรจารอบใหม่ ควรจะเป็นการเจรจาแบบไม่เปิดเผยจะดีที่สุด ทำให้เจรจาง่ายขึ้น ไม่ถูกจ้องจับผิด หรือแสดงความเป็นฮีโร่ของทั้งสองฝ่าย
ผมเชื่อว่า คนไทยส่วนใหญ่ ก็เห็นด้วยกับ แนวทางการเจรจา ดังจะเห็นได้จาก สวนดุสิตโพล ที่ไปสำรวจความคิดของคนกรุงเทพฯในช่วงที่มีเหตุปะทะกันรุนแรงสองวันเมื่อวันที่ 14–15 พฤษภาคมที่ผ่านมา
เมื่อถามว่า ถ้าท่านเป็น "รัฐบาล" จะมีวิธีดำเนินการอย่างไร คำตอบที่ออกมา ร้อยละ 53.25 เห็นว่า ควรจะใช้วิธีเจรจาต่อรองกับแกนนำ
เมื่อถามว่า ถ้าท่านเป็น "กลุ่มเสื้อแดง" จะมีวิธีดำเนินการอย่างไร คำตอบที่ออกมา ร้อยละ 51.46 เห็นว่า ควรจะใช้วิธีเจรจาต่อรองกับรัฐบาล
เพราะฉะนั้น "แนวทางการเจรจา" จึงเป็น "ทางออกที่ดีที่สุด" ในการ "ยุติความรุนแรง" ซึ่งผมได้พยายามเขียนเรียกร้องมาตลอดเวลา
แนวทางการเจรจาที่ถูกต้องนั้น จะต้องเจรจากันด้วยความจริงใจ มุ่งคุยกันในประเด็นที่เป็นปัญหา แล้วหาทางแก้ไขร่วมกัน ไม่สร้างเงื่อนไขให้ทะเลาะกันต่อไป ใครจะได้ประโยชน์มากน้อยกว่ากันไม่ใช่สาระสำคัญ สาระสำคัญคือ ปัญหาต้องจบ เพื่อไม่ให้ประเทศชาติและประชาชนบอบช้ำไปมากกว่านี้ ไม่ควรใช้วิธีการเจรจาแบบใช้สำนวนโวหารเชือดเฉือนกัน อย่างการเจรจาในรอบก่อน ทำให้สองฝ่ายเกิดอารมณ์ และไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน การเจรจาก็ล้มเหลวอย่างที่เห็น
เขียนถึงเรื่องการไม่สร้างเงื่อนไขให้ทะเลาะกัน ผมต้องขอแสดงความชื่นชมต่อเว็บไซต์ "พันทิปดอทคอม" ที่ตัดสินใจ "ปิดเว็บบอร์ดราชดำเนิน" ซึ่งเป็นเว็บบอร์ดด้านการเมืองชั่วคราว เพื่อไม่ให้สังคมทะเลาะกันมากกว่านี้โดยให้เหตุผลว่า
"เนื่องจากขณะนี้มีความไม่สงบในบ้านเมือง ทางเว็บพันทิปเองก็มองดูด้วยความเป็นห่วงมาตลอด และ เรารู้สึกไม่สบายใจอย่างมากที่ต้องรับรู้อยู่ทุกวันว่า เราเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนไทยรู้สึกแตกแยก เท่าที่ผ่านมา เราเฝ้ามองและเฝ้าหวังว่า การที่มีเวทีสาธารณะน่าจะเป็นพื้นที่ซึ่งช่วยให้เกิดการแสวงหาหนทางในการสมานความแตกแยกได้ แต่จนถึงวันนี้กลับรู้สึกว่า สถานการณ์กลับย่ำแย่ลง
ดังนั้น จึงขออภัยต่อทุกท่านเป็นอย่างสูง ที่ต้องงดให้บริการเว็บบอร์ดราชดำเนินไปก่อน จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น"
ผมขอคารวะต่อ ความรับผิดชอบต่อสังคม ของ ผู้บริหารเว็บพันทิป ไว้ตรงนี้ ถ้ามีสื่อที่รับผิดชอบอย่างนี้มากๆ สังคมไทยคงหายแตกแยกและคืนสู่ความสงบสุขได้อย่างแน่นอน.
"ลม เปลี่ยนทิศ"
เพื่อไทย
Tuesday, May 18, 2010
ต้องรีบปรองดองรอบใหม่
การปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับทหารในหลายพื้นที่ของ กทม. ส่อแววจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สถานทูตสหรัฐฯ ซึ่งตั้งอยู่บนถนนวิทยุ เริ่มให้ญาติ เจ้าหน้าที่อพยพผู้คนออกจากประเทศไทยแล้ว โดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯจะให้เงินช่วยเหลือค่าเดินทาง พร้อมเตือนให้ชาวสหรัฐฯชะลอการเดินทางมาไทย