ที่มา ประชาไท วราภรณ์ แช่มสนิท เขียน รัฐบาลไทยกำลังทำลายหลักสิทธิมนุษยชนและสร้างบรรทัดฐานทางการเมืองที่เป็นภัยต่อประชาธิปไตย การตัดสินใจของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และศูนย์อำนวยการเพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ในการใช้ปฏิบัติการทางทหารเต็มรูปแบบ มีการลำเลียงกำลังทหารจำนวนมากพร้อมรถหุ้มเกราะ และการใช้อาวุธและกระสุนจริงที่มีอำนาจทำลายล้างชีวิต เพื่อเข้ายึดพื้นที่และสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) บริเวณแยกราชประสงค์ ตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่วันนี้ คือวันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2553 นั้น เป็นการกระทำที่เข้าข่ายการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนที่สำคัญที่สุด อันได้แก่สิทธิในชีวิตของผู้ชุมนุม รัฐบาลและสังคมไทยปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้ชุมนุมเหล่านี้เป็นมนุษย์และเป็นพลเมืองไทยที่ต้องได้รับการประกันสิทธิในการมีชิวิตอยู่จากรัฐบาลเช่นเดียวกับพลเมืองและผู้อยู่อาศัยในประเทศไทยกลุ่มอื่น ๆ จริงอยู่ที่ผู้ชุมนุมมีปฏิบัติการบางส่วนที่ละเมิดกฎหมายทั่วไปของรัฐไทย แต่รัฐบาลมีความชอบธรรมที่จะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ชุมนุมเฉพาะในขอบเขตของกฎหมายที่ผู้ชุมนุมละเมิดเท่านั้น สำหรับกลุ่มคนติดอาวุธที่รัฐบาลเรียกว่าเป็นผู้ก่อการร้ายนั้น จนถึงบัดนี้ยังไม่มีฝ่ายใดมีข้อพิสูจน์แน่ชัดว่ากลุ่มคนดังกล่าวคือใคร มีจำนวนเท่าใด มีใครเป็นผู้บงการ และมีเป้าหมายและขอบเขตการปฏิบัติการแค่ไหนเพียงไร แต่สิ่งที่คนในสังคมทราบแน่นอนก็คือ ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่จำนวนนับพันที่อยู่ในพื้นที่ชุมนุมหลักที่ราชประสงค์ และที่กระจายตัวชุมนุมอย่างเปิดเผยรอบที่ชุมนุมหลักนั้น ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย และผู้คนจำนวนมากที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บในช่วงที่มีปฏิบัติการเข้มข้นเพื่อสลายการชุมนุมตั้งแต่ปลายสับดาห์ที่ผ่านมานั้น ล้วนแล้วแต่เป็นประชาชนที่ไม่มีอาวุธ ทั้งที่เป็นผู้ร่วมและไม่ได้ร่วมการชุมนุม เป็นหน้าที่ของรัฐบาลซึ่งมีทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและกองกำลังตำรวจทหารในบังคับบัญชา ที่จะต้องเร่งสืบสวนหาข้อเท็จจริงและหาทางยุติการกระทำของกลุ่มคนติดอาวุธที่ไม่ใช่กองกำลังของรัฐ เพื่อประกันความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทุกกลุ่ม ซึ่งรวมถึงผู้ชุมนุมด้วย แต่รัฐบาลต้องไม่สร้างภาพและปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมทั้งหมดแบบเหมารวม เสมือนหนึ่งว่าผู้ชุมนุมเหล่านี้เป็นกลุ่มติดอาวุธหรือผู้ก่อการร้ายทั้งหมด เราต้องไม่ลืมว่าความขัดแย้งอันเป็นที่มาของการชุมนุมประท้วงครั้งนี้ เป็นความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างผู้ชุมนุมกับรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์เป็นหลัก รัฐบาลไม่บังควรที่จะใช้กำลังทหารเข้าแก้ไขข้อขัดแย้งทางการเมืองระหว่างรัฐบาลกับพลเมืองของตน เพราะปฏิบัติการเช่นนี้เป็นการใช้กองกำลังทหารของรัฐเพื่อกำจัดคู่ขัดแย้งทางการเมือง เป็นการปฏิบัติการทางทหารของรัฐต่อพลเมืองของตนเพื่อชัยชนะทางการเมือง พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ รัฐบาลกำลังหาทางออกจากความขัดแย้งทางการเมือง โดยยอมแลกกับการบาดเจ็บและล้มตายของพลเมืองของตน หากการใช้กองกำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมครั้งนี้ประสบความสำเร็จ หากรัฐบาลของนายกฯ อภิสิทธิ์ประสบชัยชนะเหนือคู่ขัดแย้งทางการเมืองของตนโดยการใช้กำลังทหาร ผลอย่างหนึ่งที่จะเกิดขึ้นกับสังคมไทยก็คือ การที่นักการเมืองและภาคส่วนต่าง ๆ ของสังคมได้ร่วมกันสร้างและยอมรับบรรทัดฐานทางการเมืองที่ยินยอมให้กองทัพเข้ามามีส่วนในการควบคุมและจัดการปัญหาทางการเมืองโดยตรง รวมทั้งการยอมรับให้มีผู้มีอำนาจใช้กองกำลังของรัฐเข้าประหัตประหารคนไทยด้วยกันที่มีความเห็นต่างทางการเมือง ท้ายที่สุด ระบอบการเมืองไทยจะถอยห่างจากความเป็นประชาธิปไตย และตกอยู่ใต้อิทธิพลของผู้กุมอำนาจทางการทหารไปอีกยาวนาน