WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, August 13, 2010

บันทึกของ วิสา คัญทัพ (ฉบับที่ 4):"ว่าด้วยการนำ เหนือตู้คอนเทนเนอร์ หลังเวทีราชประสงค์"

ที่มา Thai E-News



หากข้อมูลผิด การตัดสินใจก็ย่อมพลาด นี้เป็นบทเรียนอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้แพ้ศึกครั้งนี้ เรายังมิได้แพ้สงคราม สงครามยังดำเนินต่อไป เพียงเราแพ้ศึกราชประสงค์ เสียหายไม่น้อย แต่ต้องสรุปและถอดถอนบทเรียน จะเดินหน้าไปเรื่อยโดยไม่สรุปข้ออ่อนของตัวเองมิได้เป็นอันขาด-วิสา คัญทัพ



โดย วิสา คัญทัพ
ที่มา เฟซบุ๊ควิสา

วันนั้น - เราปลูกต้นมะนาว
หวังได้ลูกมะนาวดั่งมั่นหมาย
ลงทุนลงแรงไปมากมาย
สุดท้ายได้ลูกมะนาวสมใจปอง

ได้ลูกมะนาวแล้วไม่เอา
หลงลืมไปหรือเปล่าหนอเจ้าของ
จะเอาส้มโอใหญ่ใจลำพอง
ย้อนไตร่ตรองหวนคิดอนิจจา


ก่อนเริ่มบันทึกฉบับที่ 4 ขอคุยให้เข้าใจ เรื่องตู้คอนเทนเนอร์หลังเวทีราชประสงค์ว่า มันคือตู้สำหรับให้แกนนำใช้เป็นที่ประชุม

จุคนแบบเบียดเสียดกันได้ราวยี่สิบกว่าคน เราประชุมกันที่นี่ ตกลงกันตรงนี้ ลงมติกันที่นี่ แล้วปฏิบัติการตามนี้หรือไม่ นั่นคือประเด็นที่จะได้พูดคุยกันต่อไป ในระยะแรกๆที่ย้ายมาเวทีราชประสงค์ใหม่ๆ ไม่มีการประชุมแกนนำใครคิดอะไรได้ก็ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไปอย่างค่อนข้างไม่เป็นระบบ

จนเมื่อเห็นควรร่วมกันว่าควรมีการประชุมแกนนำ เหมือนที่เราเคยประชุมกันต่อเนื่องมาตลอดแบบที่อิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว และหลังเวทีที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ หน้าที่หาตู้คอนเทนเนอร์จึงตกไปอยู่ที่ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ในฐานะที่เป็นเลขานุการ นปช. ในช่วงวิกฤติ

การประชุมในตู้คอนเทนเนอร์ นักข่าวให้ความสำคัญมาก เพราะประชุมเสร็จช่วงบ่าย จะต้องแถลงข่าวให้นักข่าวในช่วงราวสี่ห้าโมงเย็น จะมีประเด็นเคลื่อนไหวไปที่ไหน อย่างไร นักข่าวจะให้ความสนใจ

น่าแปลกที่ยิ่งวิกฤติมาก ประชุมเสร็จ ความลับก็ไม่เป็นความลับ นักข่าวรู้สาระสำคัญลึกซึ้งมากกว่าที่แกนนำแถลงเสียอีก ใครเป็นประชาสัมพันธ์นอกจัดตั้ง ในหมู่พวกเราย่อมรู้กันดี

การนำในทางยุทธวิธีเพื่อกดดันให้รัฐบาลรับฟังและยอมเจรจากับผู้ชุมนุมเป็นเรื่องที่คิดค้น ออกแบบกันโดยแกนนำและความเห็นบางส่วนจากผู้เข้าร่วมชุมนุมโดยปกติอยู่แล้ว

เป็นต้นว่า การสละเลือดเป็นบัดพลี นำไปราดที่ประตูทางเข้าทำเนียบรัฐบาล และพรรคประชาธิปัตย์ การนำโลหิตของนักสู้เพื่อประชาธิปไตยมาจารึกเป็นบทกวี การเคลื่อนไหวเดินขบวนไปที่ต่างๆ และอื่นๆ อีกมากมาย

แต่การชุมนุมยืดเยื้อเป็นแรมเดือนเป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะหามาตรการมากดดันรัฐบาลที่ดื้อด้านไม่ฟังเสียงประชาชนได้ทุกวัน ไม่มีเคลื่อนไหวสำคัญอะไรมวลชนบางส่วนก็ไม่อยากเข้าร่วม

แค่ฟังการปราศรัยไม่มีมาตรการกดดันทำให้เกิดความรู้สึกห่อเหี่ยวสิ้นหวัง ความแรงโดยสภาพการณ์ของการชุมนุมที่ยากลำบากกรำแดดตากฝน เคียดแค้นชิงชังดำรงอยู่ในตัวตนของมันอยู่แล้ว มวลชนในส่วนนี้เพิ่มอุณหภูมิความรุนแรงได้ทุกขณะจากทั้งการพูดปลุกเร้าและการต่อสู้ที่เป็นจริง

พูดถึง "การนำในทางยุทธศาสตร์" ต้องยอมรับความจริงว่า ก่อนการนัดชุมนุมใหญ่ครั้งนี้ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ร่วมประชุมกันอย่างเคร่งเครียดและจริงจัง ถกเถียงกันรอบด้าน หลายครั้งหลายหน หลายวัน เพื่อกำหนดทิศทางที่จะเดินต่อไปให้แจ่มชัด

โดยสรุปบทเรียนสำคัญจากการเคลื่อนไหวหน้าทำเนียบรัฐบาลคราวก่อน เมื่อเมษายนปี 52 ว่า เป้าหมายโค่นอำมาตย์คราวนั้นไกลไป เป็นไปได้ยาก เกิดผลได้แค่ "ให้การศึกษามวลชน" ไม่ก่อผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆทางการปฏิบัติ

สิ่งที่เรียกร้อง เรื่องโค่นอำมาตย์ ไม่สอดคล้องกับสภาพงานการต่อสู้ที่เป็นจริงตามวิถีแห่งระบอบประชาธิปไตยที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแนวร่วมดำเนินงานในระบบรัฐสภา เป้าหมายการต่อสู้ครั้งใหม่จะกำหนดเลื่อนลอยเหมือนเดิมไม่ได้ ต้องเรียกร้องให้เกิดผลที่สามารถปฏิบัติให้เป็นจริงได้

ทั้งสามารถสามัคคีและรวมความเห็นด้วยของมวลชนคนทั่วไปอย่างกว้างขวาง ไม่เฉพาะคนเสื้อแดง สร้าง "รายรับ"ทางการเมืองที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้

เพราะฉะนั้น เป้า "ยุบสภา" จึงถูกกำหนดขึ้นเพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์พ้นสภาพจากรัฐบาลไปโดยเร็วที่สุด เปิดโอกาสให้มีการเลือกตั้งใหม่ และพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ขณะเดียวกันก็สร้างความเข้มแข็งและการขยายตัวขององค์กรมวลชน นปช.แดงทั้งแผ่นดินเพื่อปกป้อง รักษา และพัฒนาประชาธิปไตยต่อไป

ในการดำเนินการด้านงานโรงเรียน นปช. ได้ให้การศึกษาแก่คนเสื้อแดงถึงความเป็นอิสระของ นปช.อย่างแจ้งชัด ว่า นปช.ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย การชี้นำบังคับบัญชาต้องแยกออกจากกัน ไม่มีใครควบคุมใคร หากเป็นแนวร่วมกันบนเส้นทางประชาธิปไตย เป็น "สองขาสองแขน" อาจมีคนของพรรคบางคนยืนควบอยู่ทั้งสองฟากฝั่งก็ไม่เป็นไร เพราะ นปช.ยึดถือการนำรวมหมู่

เราคิดล่วงหน้ากันไว้แล้วว่า ถ้าได้ชัยชนะ เมื่อรัฐบาลยอม "ยุบสภา" เราจะกลับไปรุกเร่งเรื่องโรงเรียน นปช.อย่างเอาการเอางานต่อไป ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทยก็เดินหน้าหาเสียงคู่ขนานกันไปกับขบวนพลเสื้อแดง ที่ชัดเจนก็คือ นปช.เรียกร้องประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นี่คือเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่ นปช.ประชุมสรุปผลว่าจะเดินไปตามนี้

สุดท้าย สิ่งสำคัญที่สุดที่ย้ำกันหนักแน่นตลอดมาก็คือ "สันติวิธี" สันติวิธีที่แท้จริงเท่านั้นที่จะทำให้เราได้ชัยชนะในการชุมนุมใหญ่ครั้งนี้

แต่ทว่าเค้าลางของความรุนแรงก็ล่วงล้ำกล้ำกรายเข้ามาในขบวนการของ นปช.ตลอด ผ่านเงาทะมึนของบางคนและบางองค์กร มิใยว่าจะปัดป้องและเดินหลีกหนีไปอย่างไรก็มิสามารถหลุดพ้น การพัวพันดังกล่าวแอบแฝงหลบเร้น และเปิดเผยโจ่งแจ้ง มาตั้งแต่ต้น จนระยะท้ายๆของการชุมนุม ถึงขั้นจะปลด "สามเกลอ" ออกจากแกนนำ ตั้งฝ่ายฮาร์ดคอร์ขึ้นเป็นแทน ดังข่าวที่ปรากฎออกมา

ประเด็นความรุนแรงเป็นเรื่องที่น่าค้นคว้ากันต่อไปทั้งเบื้องตื้นเบื้องลึก รวมทั้ง เบื้องหลังการปลิดชีวิตสังหารแกนนำทุกสีเสื้อว่าแท้จริงมาจากบัญชาการของผู้ใด

ว่าด้วยปัญหาการนำการต่อสู้โดยภาพรวม

ขออนุญาตขึ้นหัวอย่างนี้ เพื่อสะดวกต่อการวิเคราะห์ เพราะเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวด สำหรับขบวนการประชาธิปไตยที่จะเคลื่อนรุดหน้าต่อไป อันที่จริง ประเด็นนี้เขียนยาก คนกลัวเปลืองตัวเขามักไม่เขียนไม่พูดกัน แต่ทว่าด้วยจิตใจแห่งรักและห่วงใยเยี่ยงมิตรสหายที่ดี เห็นทีต้องยอมเปลืองตัว

ผู้นำขบวนการประชาธิปไตยที่ทรงอิทธิพลอย่างแท้จริงวันนี้ต้องยอมรับว่าคือ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะพิจารณาจากด้านไหน ด้านเป็นฝ่ายกระทำ หรือฝ่ายถูกกระทำ

ด้านเป็นฝ่ายกระทำเช่น เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีที่มีประชาชนรักใคร่ชื่นชมนิยมยกย่องมากที่สุด เป็นผู้ทรงอิทธิพลและเจ้าของพรรคตัวจริงตั้งแต่ไทยรักไทยมาจนถึงเพื่อไทยในปัจจุบัน ใครที่ไม่ยอมรับ และไม่เอาด้วยก็ต้องออกไปอย่าง เนวิน ชิดชอบ เป็นต้น เป็นผู้ที่แกนนำ นปช.ต้องรับฟัง บางส่วนอาจอยู่ในฐานะต้องเชื่อและรับไปปฏิบัติ บางส่วนฟังแต่สามารถคิดและเห็นต่างได้

มองในฐานะที่เป็นฝ่ายถูกกระทำบ้าง ท่านทักษิณถูกกล่าวหาโดยตรงอยู่แล้ว ทั้งจากชนชั้นสูง เหล่าอำมาตย์ ตลอดรวมถึงรัฐบาลประชาธิปัตย์และพลพรรคว่าเขาคือ "ผู้นำคนเสื้อแดง" ทุกความผิดและข้อกล่าวหาสารพัดจึงลงตรงไปที่ทักษิณทั้งหมด สื่อมวลชนภายใต้การกำกับของรัฐโฆษณาป่าวร้อง ใส่ร้ายป้ายสี โจมตีทักษิณในทุกกรณี แม้กล่าวหาในทางลบ แต่เมื่อรัฐบาลสมุนอำมาตย์ก้าวมาโดยวิธียึดอำนาจรัฐประหาร ผลก็กลับเป็นตรงกันข้ามที่ผู้ก่อการร้ายในสายตาของพวกเขากลายเป็น "ผู้นำขบวนการประชาธิปไตยไทย" ในสายตาสากลและสายตาคนไทยผู้รักความเป็นธรรมบางส่วน

1. ปัญหาอยู่ที่ว่า ขอบเขตและรัศมีการนำของทักษิณตีวงพื้นที่ของเขาออกไปมากน้อยแค่ไหนในทางเป็นจริง

บทบาทการนำในพรรคเพื่อไทย ใน นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ในองค์กรแนวร่วมทั่วไปอื่นๆ รัศมีดังกล่าวมีฐานะกำหนดให้เขาสามารถทำได้ในขั้น "เสนอความคิดเห็น" หรือ "บังคับบัญชาสั่งการ" ให้ทำตามนี้

หากพิจารณาตามมิตินี้ คงมีคำตอบสำหรับพรรคเพื่อไทยไปแล้วว่าบังคับบัญชาสั่งการโดยใคร แต่ ในส่วนของแกนนำ นปช.ต้องพิจารณาบุคคลชนิดตรวจสอบตัวต่อตัว ซึ่งเห็นว่าผู้ที่ไม่ยืนกางขาอีกข้างไปไว้กับพรรคเพื่อไทยภายใต้เงื้อมเงาของทักษิณนั้น น่าจะเป็น "เสียงส่วนน้อย"

ขยายความว่า "เสียงส่วนน้อย" ดังกล่าวบางคนลงสถานีบางซื่อ บางคนเดินทางต่อไปแล้วแต่เหตุผลส่วนตนของแต่ละคน

เราปฏิเสธไม่ได้ว่าหลังรัฐประหารปี 2549 ขบวนการประชาธิปไตยเติบใหญ่ขึ้นด้านหลัก เพราะมี ทักษิณ ชินวัตร และพรรคการเมืองของเขาเข้าร่วมต่อสู้อย่างเอาจริงเอาจัง ดังนั้นปัญหาการนำจึงจำเป็นต้องช่วยกันสังเคราะห์ เพื่อการก้าวต่อไปให้ได้ประโยชน์

2. ปัญหาอยู่ที่ว่า ก่อนและหลังการถูกรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มีการทบทวนความผิดพลาดในการนำอันใดบ้างหรือไม่ มีการรับฟังคำเตือนอันปรารถนาดีของมิตรของสหาย ไม่ว่าจะในหรือนอกประเทศหรือไม่อย่างไรบ้าง

ทบทวนการไว้วางใจคนผิด ทบทวนการไม่ไว้วางใจคนที่ควรไว้วางใจ ทบทวนการจำแนกมิตรศัตรู ทบทวนการประเมินความสามารถของบุคคลรอบข้าง ใครควรทำงานใด ได้หรือไม่ได้อย่างไร ทบทวน และทบทวนอีกหลายหลากเรื่องราว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทบทวนประวัติศาสตร์การต่อสู้ของมิตรประเทศทั่วโลกที่อุดมสมบูรณ์บทเรียนในการต่อสู้กับอำมาตย์ฟัสซิสต์ทั้งปวง ถอดถอนบทเรียนจากเขา เพราะนี่คือการต่อสู้ในเรื่องเก่าๆ ที่หลายคนมีประสบการณ์มาก่อนแล้ว

เว้นไว้เสียแต่ว่าเรื่องงานบริหารจัดการสมัยใหม่อันเป็นความสามารถเฉพาะที่หาใครเทียบเทียมท่านทักษิณได้ยากเต็มที

3. ปัญหาอยู่ที่ว่า จะเดินต่อไปอย่างไร ขณะที่ฝ่าเท้าของประเทศไทยใหญ่ขนาดนี้ จำเป็นต้องตัดรองเท้าขนาดที่พอดีกับ "ตีนไทย" แม้หลงผิดไป "ตัดตีนให้เข้ากับเกือก" ดั่งโบราณว่า ความพลาดผิดก็จะปรากฎซ้ำแล้วซ้ำเล่ามิหยุดหย่อน เป็นเรื่องที่ต้องขบคิดอย่างจริงจัง

ผู้ใหญ่ผู้มีประสบการณ์การต่อสู้กอบกู้บ้านเมืองอย่างเข้มข้นท่านหนึ่ง กล่าวสรุปเหตุการณ์พฤษภาเลือด 2553 ที่ผ่านมา เป็นความอุปมาอุปมัยอย่างแหลมคมว่า

"เราปลูกต้นมะนาว ก็ต้องได้ลูกมะนาว ได้แล้ว กลับไม่เอา จะไปเอาผลส้มโอ"


คำถามก็คือว่า ปลูกต้นมะนาวจะได้ส้มโอหรือ คำถามก็คือว่า ต้องการ "ยุบสภา" จะได้ผลอันใดที่ไกลไปกว่านี้อีกเล่า เป็นเรื่องที่ต้องทบทวนอย่างยิ่ง ทบทวนอย่างจริงใจ ทบทวนอย่างมีสติ ทบทวนด้วยความเมตตา กรุณา และปราณี

4. ปัญหาอยู่ที่ว่า ผู้นำขบวนการประชาธิปไตยอย่าง ดร.ทักษิณ ชินวัตร ในวันเวลาที่ยากลำบาก จะดำรงรักษา "บทบาทอันทรงอิทธิพลอย่างสูง" ให้เคลื่อนไหวเกิดประโยชน์อย่างงดงามต่อไปได้อย่างไร

เมื่อต้องเคลื่อนไหวอยู่ต่างประเทศ และถูกปฏิเสธจากอำนาจมืดดำอำมหิตสาหัสถึงเพียงนี้ แล้วในประเทศจะเคลื่อนไปให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไร ให้ใครเป็นคนนำทาง ใครที่มีภาพลักษณ์เป็น "ผู้นำขบวนการประชาธิปไตย" อันเป็นที่ยอมรับของผู้คนทั่วไปทั้งในประเทศและสากล สามัคคีคนได้กว้างขวาง มีเกียรติประวัติการต่อสู้ มีอุดมการประชาธิปไตย มีวัยวุฒิคุณวุฒิอันเหมาะควร

ไม่ใช่นักการเมืองที่คิดแต่ผลประโยชน์ทางการเมืองแบบรายวัน ต้องก้าวพ้นความเป็นส่วนตัว และก้าวข้ามการเมืองแบบผลประโยชน์ เพราะวันนี้การเมืองเป็นเรื่องของอุดมการประชาธิปไตย ชีวิตเลือดเนื้อของประชาชนที่เสียไป ต้องการคำตอบของผู้นำขบวนการในเรื่องเหล่านี้

นักการเมืองที่นับตัวเลขเงินในกระเป๋า ไม่ใช่ผู้นำขบวนการต่อสู้ที่จะสามารถนำท่านทักษิณกลับประเทศไทยได้ ผ่านการสู้รบยาวนานมากว่าสี่ปี ถึงวันนี้ท่านทักษิณควรต้องรับฟังความคิดเห็นจากมิตรร่วมรบคนอื่นๆ บ้าง นอกเหนือจากการฟังในแบบ "ลูกน้องกับหัวหน้า" (บันทึกฉบับที่ 3 ผู้เขียนเคยยกตัวอย่างชื่ออย่าง จาตุรนต์ ฉายแสง แต่ในความเป็นจริงอาจมีท่านอื่นๆอีกซึ่งเราต้องช่วยกันคิด) งานของท่านทักษิณในครั้งนี้จึงยุ่งยากสลับซับซ้อนไม่แพ้งานของเนลสัน แมนเดนลาแห่งอัฟริกาใต้

5. ปัญหาอยู่ที่ว่า การนำของ นปช.แดงทั้งแผ่นดินได้สิ้นสุดความเป็นเอกภาพแห่งการนำรวมหมู่อย่างแท้จริง ณ.วันที่ 10 พฤษภาคม 2553 สิ้นสุดลงพร้อมกับการขอลงสถานีบางซื่อของประธาน นปช.แดงทั้งแผ่นดิน วีระ มุสิกพงศ์

และตามมาในวันที่ 11 พฤษภาคม ด้วยการลงสถานีเดียวกันของประธานพีเพิลชาแนล อดิศร เพียงเกษจนณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ พูดทีเล่นทีจริงว่า ไปแล้วทั้งสองประธาน (รวมทั้งผู้เขียนและไพจิตร อักษรณรงค์) เหตุผลก็คือ เมื่อเห็นว่า เรามาปลูกต้นมะนาว และได้ลูกมะนาวแล้ว จะไปเอาส้มโอได้อย่างไรนั่นเอง ความรุนแรงไม่ว่าจะเกิดจากฝ่ายใดก็ตามกำลังย่างกรายเข้ามาอย่างควบคุมไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่แนวทางสันติวิธีของ นปช.ดังที่ได้กำชับกันหนักแน่นมาตั้งแต่แรก

อดิศร เพียงเกษ ปรารภว่าเขาขอถอนคันเร่ง ไปเหยียบเบรคเหยียบคลัชเพื่อจะถ่วงรั้งให้รถทั้งคันรู้สึกตัวบ้างว่าควรหยุด ความไม่เป็นเอกภาพของแกนนำแจ่มชัดตั้งแต่วันนั้น

6. ปัญหาอยู่ที่ว่า ข้อมูลที่ได้รับ มาจากไหน เหตุผลอะไรที่ทำให้เชื่อถือ ว่าถ้ายืดเยื้อต่อไปแล้วจะได้เกินกว่าลูกมะนาว

แน่นอนหากข้อมูลผิด การตัดสินใจก็ย่อมพลาด นี้เป็นบทเรียนอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้แพ้ศึกครั้งนี้ เรายังมิได้แพ้สงคราม สงครามยังดำเนินต่อไป เพียงเราแพ้ศึกราชประสงค์ เสียหายไม่น้อย แต่ต้องสรุปและถอดถอนบทเรียน จะเดินหน้าไปเรื่อยโดยไม่สรุปข้ออ่อนของตัวเองมิได้เป็นอันขาด

ที่แล้วมา ท่านทักษิณ ชินวัตร อาจคิดว่าไม่มีใครกล้าทำรัฐประหาร แต่แล้วก็โดนรัฐประหาร อาจคิดว่าคนใกล้ชิดที่ให้ยศให้ตำแหน่งเป็นมิตรที่ดี แท้แล้วกลายเป็นมิตรของเปรม ถึงเวลาก็ถอนยวง ถึงเวลาก็หันหัวไปทำตามคำสั่ง พล.อ.เปรม พวกเขาล้วนซ่อนอยู่ในเรามากมายเหลือเกิน และจนถึงวันนี้ก็มิรู้ว่า ยังมีพวกเขาในพวกเราอยู่อีกหรือไม่ น่าวิเคราะห์ว่า ทำไมคิดเห็นเหมือนเราอยู่ดีๆ สั่งคำเดียวก็เปลี่ยนใจ

ที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนมาจากความปราถนาดี รักและห่วงใยอย่างจริงใจ วันนี้องค์กรมวลชน "คนเสื้อแดง" เกิดขึ้นมากมายหลากหลาย คิดค้นรูปแบบและวิธีการต่อสู้ตามเงื่อนไขและสภาพการณ์ต่างๆ เฉพาะตนอย่างอิสระ แสดงให้รัฐบาลของอำมาตย์และชนชั้นสูงมองเห็นแล้วว่า

พวกเขามิอาจหยุดขบวนการต้านอธรรมของประชาชนลงได้ ตราบใดที่เขาไม่สร้างสังคมธรรมให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง... ไม่มี นปช.ไม่มีแกนนำ ประชาชนก็สามารถนำพาการต่อสู้ต่อไปได้ และมิใช่ขยายตัวจากเล็กไปสู่ใหญ่ หากแต่ขยายตัวจากใหญ่อยู่แล้ว ให้มหาศาลยิ่งๆขึ้นไปอีก... ไม่มี นปช. ก็สามารถมีองค์กรอื่นๆอีกหลากหลาย ทว่าองค์กรจะเติบโตหรือไม่ย่อมอยู่ที่แนวทาง ตลอดจนยุทธศาสตร์และยุทธวิธี จะถูกต้องสอดคล้องกับสภาพภววิสัยแห่งการต่อสู้หรือไม่...

ในทางกลับกัน แม้มีมวลชนตื่นตัวก้าวหน้ามากมาย แต่ไร้ผู้นำ ไร้การนำพาอันถูกต้อง ชัยชนะแห่งประชาชนก็ยากจะบังเกิด

จะเอาอย่างไรก็รีบดำเนินการกันเถิด ปล่อยไปอย่างที่เป็นอยู่น่าสงสารผู้ไร้อิสระภาพยิ่งนัก

สุดท้ายขอจบบันทึกฉบับที่ 4 ด้วยข้อสรุป "ว่าด้วยผู้นำ"ของนักสู้เพื่อสังคมธรรมนาม เนลสัน แมนเดลา

ดังนี้
"ผู้นำที่ดี ไม่จำเป็นต้องแสดงความคิดเห็น.... แล้วสั่งการให้คนอื่นทำตาม เขาจะฟัง สรุปประเด็น

หาวิธีรวบรวมแนวคิดเข้าด้วยกัน ผลักดันให้ทุกคนลงมือกระทำการ"



และสุดท้ายของ เจ.เอ็น.สิงห์ นักต่อสู้เพื่อเสรีภาพชาวอินเดีย

"สันติวิธีไม่ได้ทำให้เราล้มเหลว เป็นพวกเราต่างหากที่ทำให้สันติวิธีล้มเหลว"


บันทึกฉบับนี้เขียนปรับปรุงแก้ไขเสร็จ 10 สิงหาคม 2553

หมายเหตุ:อ่านบันทึกวิสา คัญทัพ ตอนที่ 3 และก่อนหน้านี้ คลิ้กที่นี่