ที่มา Thai E-News
ที่มา กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๓
การเมืองไทยภายใต้พรก.ฉุกเฉินฯมีปรากฏการณ์ประหลาดๆเกิดขึ้นมากมาย ผู้ที่ไม่ชอบก็บอกว่านี่เป็นการปกครองในระบอบเผด็จการชัดๆ ผู้ที่ชื่นชอบก็บอกว่าถูกต้องแล้วประเทศไทยต้องใช้มาตรการแบบนี้แหละถึงจะเหมาะสม ไม่ใช่เผด็จการสักหน่อย ก็เป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสื่ออินเตอร์เน็ต
การปกครองในระบอบเผด็จการ(dictatorship) นั้นเป็นระบอบการปกครองที่มีมาอย่างยาวนานแทบจะเรียกใด้ว่าเป็นรูป
แบบการปกครองแรกเริ่มของมนุษย์ ซึ่งผู้ปกครองมีอำนาจเด็ดขาดในการควบคุมทุกอย่างในสังคม แต่ในสมัยโรมันการปกครองแบบเผด็จการจะถูกนำมาใช้ชั่วครั้งชั่วคราว
ในช่วงวิกฤติการณ์สังคมโรมันจะเปิดโอกาสให้ผู้นำที่มีความเข้มแข็งเข้า มาทำงานรับใช้ชาวโรมันเป็นระยะเวลา ๖ เดือน เพื่อสร้างกฎระเบียบและรับประกันความมีเสถียรภาพของบ้านเมืองในช่วงคับขัน เช่นภาวะสงคราม โรคระบาด ฯลฯ เมื่อเหตุการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ผู้นำคนนั้นก็ต้องคืนอำนาจเบ็ดเสร็จนั้นให้แก่ประชาชน
เราสามารถแบ่งการปกครองแบบเผด็จการได้เป็นสองระดับ คือ แบบอำนาจนิยม(authoritarianism) กับ แบบเบ็ดเสร็จ(totalitarianism)
เผด็จการแบบอำนาจนิยม(authoritarianism) มาจากคำว่า อำนาจหน้าที่ หรือ authority ซึ่งเป็นการสร้างอำนาจอย่างเป็นทางการ(formal) โดยมีหลักการสำคัญ ดังนี้
๑)ปกครองโดยคนกลุ่มน้อย
การตัดสินใจทุกอย่างทางการเมืองมาจากผู้ปกครองกลุ่มเดียวที่จะทำเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือพรรคพวก ผู้ปกครองกลุ่มนี้ไม่ยอมให้ให้อำนาจของตนเองต้องถูกลดลง หรือไม่ยินยอมให้กลุ่มการเมืองอื่นเข้ามาท้าทายอำนาจของตนเอง จึงทำให้ฝ่ายค้านถูกจำกัดบทบาทหรือแทบจะไม่มีฝ่ายค้านในสภาเลย
๒)ไม่ต้องการผู้ที่ไม่เห็นด้วย
ฝ่ายค้านหรือผู้ที่ไม่เห็นด้วยหรือคนนอกกลุ่มจะถูกกีดกันออกจากการเมือง โดยอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งทำผิดกฎหมาย รวมทั้งการจับกุม ปิดสถานที่ทำการ ปิดสื่อสารมวลชน รายการวิทยุโทรทัศน์หรือนิตยสารใดๆที่ไม่เห็นด้วยกับตนเอง ทำลายการต่อต้านอย่างสันติและจับกุมผู้ที่ต่อต้าน
๓)ใช้กำลังเข้าข่มขู่
นักการเมืองที่เป็นเผด็จการจะแสดงสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงพลังอำนาจผ่านทาง”กองทัพ”หรือ”ตำรวจลับ”หรือหน่วยพิเศษต่างๆซึ่งถือได้ว่าเป็นมือขวามือซ้ายของตนเลยทีเดียว ทั้งนี้เพื่อเข้ากดดันโดยใช้มาตรการรุนแรงไม่ว่าจะเป็นการฆ่า การทรมาน การกดดันทางเศรษฐกิจ และการใช้มาตรการทางจิตวิทยา โดยมักจะอ้างกับประชาชนว่ากระทำไปเพื่อเสถียรภาพและความมั่นคง
๔)ใช้การโฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้ประชาชนสนันสนุน
มีการใช้การโฆษณาชวนเชื่อ(propaganda) อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตนเองมากกว่าที่จะดำเนินนโยบายที่เป็นรูปธรรมต่อประชาชน
๕)สิทธิเสรีภาพของประชาชนถูกลิดรอน
ผู้นำเผด็จการเชื่อว่าประชาชนไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมทางการเมืองเพราะจะทำให้ไม่มีความสามัคคี และยังทำให้กระทบต่อระเบียบและความสงบเรียบร้อยของรัฐประชาชนอาจจะมีเสรีภาพทางสังคมและเศรษฐกิจอยู่บ้างแต่อยู่ในขอบเขตจำกัด
ส่วนเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ(totalitarianism)นั้นเป็นเผด็จการที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะนำสังคม ไปสู่สังคมที่สมบูรณ์แบบ(perfect society)
โดยมีหลักการทั้งหมดของเผด็จการแบบอำนาจนิยมผนวกรวมเข้ากับหลักการดังต่อไปนี้
๑)ควบคุมอุดมการณ์ทางการเมืองและระบบความคิด
ผู้ปกครองจะจะควบคุมประชาชนทุกด้านของชีวิตผู้นำจะสร้างรูปแบบของอุดมการณ์แบบเบ็ดเสร็จและบังคับให้ประชาชน ต้องยึดมั่น เช่น อุดมการณ์คอมมิวนิสม์ อุดมการณ์ราชาชาตินิยม ฯลฯ
๒)มีพรรคการเมืองพรรคเดียว
พรรคอื่นนอกจากพรรคของผู้นำเองไม่สามารถก่อตั้งขึ้นอย่างถูกกฎหมายได้ เช่น ในสหภาพโซเวียตในอดีตหรือจีนและเกาหลีเหนือ เป็นต้น
๓)มีการใช้ความรุนแรงและการควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ
มีการใช้ตำรวจลับเพื่อควบคุมกิจกรรมทั้งปวงของฝ่ายตรงกันข้ามอย่างรุนแรงยิ่งกว่าเผด็จการแบบอำนาจนิยม
๔)มีการใช้เทคโนโลยีเพื่อการควบคุมรัฐ
ในรัฐเผด็จการยุคใหม่ต่างๆเหล่านี้จะใช้เทคโนโลยีต่างๆเพื่อการควบคุมโดยกำลังทหารและมีการรวมศูนย์ทางเศรษฐกิจและควบคุมสื่อสารมวลชนอย่างเด็ดขาด
จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ผู้อ่านคงพอที่จะเปรียบเทียบได้ว่าการปกครองของไทยเราในปัจจุบันอยู่ในรูปแบบใดระหว่างประชาธิปไตย เผด็จการแบบอำนาจนิยมหรือเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ หรือว่าคละเคล้าปะปนกันไป โดยที่ผมคงไม่จำเป็นต้องยกตัวอย่างให้เห็นในแต่ละกรณีๆไป
ไม่ได้กลัวว่าจะถูกจับกุมคุมขังอะไรหรอกครับเพราะผมเชื่อว่ายังมีสายตาจับจ้องจากหลายฝ่ายอยู่ทั้งในและนอกประเทศ แต่กลัวต้องถูกส่งเข้าบำบัดจิตน่ะครับ เพราะแม้แต่เด็กนักเรียนท่านยังไม่เว้นเลย
เพื่อไทย
Wednesday, August 11, 2010
ชำนาญ จันทร์เรือง: เผด็จการหรือไม่ ดูตรงไหน
โดย ชำนาญ จันทร์เรือง