ที่มา บางกอกทูเดย์ ม็อบพันธมิตรปวกเปียกผิดฟอร์ม ก็การชุมนุมคัดค้านกรณีปราสาทพระวิหารที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ของกลุ่มแกนนำพันธมิตรฯ ที่แตกหน่อออกมาเป็นกลุ่มเครือข่ายภาคีคนไทยหัวใจรักชาติ นั่นแหละ ที่ทำให้เกิดข้อกังขากันขึ้นทั่วบ้านทั่วเมือง เพราะผิดฟอร์มดุดันของม็อบพันธมิตรฯ ที่เคยยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินสุวรรณภูมิ จนเกิดข้อสงสัยว่า ... กำลังเล่นอะไรอยู่??? เพราะนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำสมัชชาแห่งประเทศไทย ระบุชัดว่า มารวมตัวกันชุมนุมในฐานะพี่น้องคนไทยที่ต้องการรักษาแผ่นดินไทย แต่รัฐบาลกลับทำเรื่องแผ่นดินเป็นเรื่องเล่นๆ จึงอยากให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงเรื่องเอ็มโอยูที่เกิดขึ้นจากรัฐบาลหลายยุคสมัยที่ได้ทำเอาไว้ว่าเราได้เปรียบ เสียเปรียบตรงไหน และจะจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร จะยกเลิกได้หรือไม่ ชุมนุมกดดันกันอยู่หน้าทำเนียบรัฐบาล จนกระทั่ง ศอฉ. ต้องมีการออกประกาศ 2 ฉบับ ให้ถนนรอบทำเนียบ และตัวอาคารในทำเนียบ เป็นเขตหวงห้าม ห้ามม็อบเฉียดใกล้ ซึ่งได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะม็อบย้ายไปชุมนุมหน้ากองทัพภาค 1 ใกล้ลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อออกจากพื้นที่ห้ามตามประกาศของ ศอฉ. แม้ว่าจะมีการขู่ให้รับประกันความปลอดภัยผู้ชุมนุม และให้เวลารัฐบาล 7 วัน ประกาศยกเลิกเอ็มโอยู 2543 ไม่เช่นนั้นจะบุกทำเนียบรัฐบาลอีกก็ตาม แต่เซียนมวยเซียนม็อบการเมือง บอกว่า ผิดรูปมวย มีกลิ่นทะแม่งๆ เหมือนมีการ “รับงาน” เพราะก่อนที่จะยอมย้ายพื้นที่ชุมนุม ได้เกิดกระแสตั้งข้อสังเกตว่า ปัจจุบันกรุงเทพฯและปริมณฑล ยังเป็นเขตควบคุมตามประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อยู่ ฉะนั้นการชุมนุมทางการเมืองใดๆ ที่เกินกว่า 5 คนขึ้นไป ควรถือเป็นการผิดกฎหมาย เหมือนๆ กับที่บรรดากลุ่มคนเสื้อแดงโดนดำเนินคดีอยู่ว่า มีการชุมนุมฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วทำไมกลุ่มม็อบพันธมิตรฯ กลุ่มม็อบเครือข่ายทั้งหลาย ถึงได้ชุมนุมเย้ย พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้ แถมพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ยังออกโรงเรียกร้องให้ผู้ชุมชุมที่ทำเนียบรัฐบาลเดินทางชุมนุมที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 แทน ใช้เหตุผลล่อใจคล้ายกับคำพูดของนายกษิต ภิรมย์ เมื่อครั้งยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ที่ว่า “สนุก อาหารดี ดนตรีเพราะ” โดยครั้งนี้ พล.ต.จำลอง บอกว่า เป็นการชุมนุมในห้องแอร์ไม่ร้อน แถมมีคอนเสิร์ตให้ได้ชมกัน รวมทั้งจะได้ดูการแข่งขันฟุตบอลอีกด้วย ถนอมน้ำใจกันสุดๆ ไปเลย... แถมเมื่อนายอภิสิทธิ์ ไปขึ้นเวทีที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี… ขนาดรีบวิ่งมาจากหัวหิน เพื่อมาที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 เมื่อมาถึงก็มีการเข้าไปพบกับแกนนำเป็นการเฉพาะกิจก่อน และแกนนำก็ถึงขนาดยอมให้มีการเคลียร์พื้นที่ ย้ายผู้ชุมนุมขึ้นไปอยู่บนอัฒจรรย์ แล้วจึงให้นายอภิสิทธิ์ ขึ้นเวทีเพื่อพบกับผู้ชุมนุม... หากไม่มีการประสานงานกันเอาไว้ล่วงหน้า คงไม่ง่ายที่นายอภิสิทธิ์ จะได้คิวขึ้นเวทีม็อบอย่างรวดเร็วเช่นนั้นแน่ อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้ดูว่าบรรยากาศระหว่างนายกรัฐมนตรีกับ เครือข่ายประชาชน เป็นไปด้วยดีจนเกินไป จึงมีการระบุว่า จริงๆ แล้วเครือข่ายมีความรู้สึกไม่พอใจ เพราะนายกรัฐมนตรี ยังตอบไม่ชัดเจน แต่สุดท้ายแม้ว่า นายอภิสิทธิ์จะตอบไม่ชัดเจน หรือแม้ว่านายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ จะย้ำชัดเจนว่า ทางกลุ่มฯ จะชุมนุมคัดค้านเอ็มโอยูปราสาทพระวิหาร หน้ากองทัพภาคที่ 1 จนกว่าจะได้ความชัดเจนว่ารัฐบาลจะทำอย่างไรให้ได้ดินแดนคืนมา เพราะในการเจรจา นายอภิสิทธิ์ ก็ใช้แต่โวหาร ไม่ชัดเจนว่าจะทำอย่างไร สำหรับผู้ชุมนุมอีกกลุ่มคาดว่าไม่ได้เห็นต่างกับเรา คือ รัฐบาลต้องยกเลิก MOU ปี43 และต้องผลักดันชาวกัมพูชาออกทันที “สำหรับเรื่องเอ็มโอยู จะต้องคุยกันว่าทางไหนดีกว่ากัน ถ้ายกเลิกดีกว่าก็ยกเลิก ถกกันดูเหตผลที่ประโยชน์ของประเทศชาติ อย่ามาพูดว่าห้ามยกเลิก หรือต้องเลิก” แถมสุดท้ายกลุ่มม็อบก็ประกาศสลายการชุมนุมอย่างง่ายดาย ผิดฟอร์ม ด้วยข้ออ้างว่า กำลังคนไม่มากเพียงพอที่จะต่อสู้ทางการเมือง จึงต้องถอยกลับไปรอจังหวะอีกครั้งหนึ่งก่อน ทำไมม็อบครั้งนี้จึงพูดง่ายดีจัง??? ทำไมจึงยอมสลายทั้งๆ ที่ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนแบบนี้??? จึงไม่แปลกที่จะเกิดข้อสงสัยในสังคมว่า หรือนี่คือการจัดฉากให้เห็นว่า รัฐบาลและ ศอฉ. เอาจริงกับม็อบทุกสี จะได้ลบภาพ 2 มาตรฐานไปเสียที เพราะม็อบกลุ่มไหนมารัฐบาลก็ประกาศใช้อำนาจ ศอฉ. และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเหมือนกัน เพียงแต่กลุ่มคนเสื้อแดงไม่เชื่อฟังอำนาจ ศอฉ. ไม่สนใจ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จึงต้องถูกสลาย ถูกดำเนินคดี แต่เมื่อม็อบพันธมิตรฯไม่ดื้อดึง พูดง่าย ยอมสลายง่ายๆ ก็ถือว่าไม่ได้ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ได้ท้าทายอำนาจ ศอฉ. เพราะฉะนั้นจึงจบกันง่ายๆ แบบนี้แหละ ส่วนที่สงสัยกันว่า... แล้วทำไมแค่คนไปยืนตะโกน ที่บริเวณแยกราชประสงค์ จึงโดนจับ โดนเปรียบเทียบปรับ รวมทั้งแค่เด็กไม่กี่คนที่เชียงรายไปยืนถือกระดาษประท้วง แต่ยังถูกรัฐบาลจับกลาง 4 แยก แล้วส่งตัวไปสถานพินิจฯ ในขณะที่คนกว่า 2,000 คนไปชุมนุมกันที่หน้าทำเนียบรัฐบาล หน้ากองทัพภาคที่ 1 หรือแม้แต่เข้าไปยึดสถานที่ราชการคือ อาคารกีฬาเวสน์ 1 กลับไม่ถูกดำเนินคดีใดๆ ตรงนี้รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ พล.ต.จำลอง และนายวีระ อาจจะคิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นภาพที่กลับยิ่งตอกย้ำเรื่อง 2 มาตรฐานมากขึ้น นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ยังอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้ว่า เท่าที่ดูท่าทีของนายอภิสิทธิ์ พล.ต.จำลอง และนายวีระ คล้ายกับว่ามีการเตี๊ยมกันมาก่อน ความล้มเหลวกรณีเขาพระวิหารมันเกิดมาตั้งแต่อดีต รัฐบาลชุดนี้ก็มาทำให้เลวร้ายลงไป ล่าสุดทางเขมรออกมาเย้ยหยันว่า เรื่องมันจบไปตั้งนานแล้ว อยากถามว่าไม่อายกันบ้างหรือที่ออกมาเล่นละครตบตาประชาชน ไม่ใช่ตนไม่รักชาติ แต่รับไม่ได้กับการเอาพวกพ้องกันเองมาเล่นละครตบตา แถมยังสั่งให้ศอฉ. เล่นปาหี่ ประกาศโน่นประกาศนี่ ไม่ให้เคลื่อนไหว “ความจริงน่าจะประกาศปฏิวัติให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดีกว่า เพราะบริหารกันแบบล้มเหลวทุกด้าน วันหน้าเวลาไปประชุมเอเปค หรืออาเซียนซัมมิท หรือเวทีระดับประเทศต่างๆ รัฐบาลคงต้องเอาปี๊บคลุมหัว เพราะทำตัวน่าอายเหลือเกิน” นายสุรพงษ์กล่าว ข้อสงสัยเหล่านี้... จริงเท็จเพียงใด ทั้งรัฐบาล และกลุ่มแกนนำพันธมิตรฯ ทั้งหลายล้วนรู้อยู่แก่ใจ
บทจะมา ก็มาเหมือนบิน... บทจะไป ก็ไปไวกว่าการพลิกลิ้น
เมื่อม็อบยอมถอยออกจากหน้าทำเนียบ ซีกรัฐบาลก็ไม่ต้องลำบากใจที่จะตอบคำถามเรื่อง 2 มาตรฐาน
ซึ่งในการขึ้นเวทีของนายอภิสิทธิ์ ก็มีการยืนยันสอดคล้องกันว่า ไม่มีเหตุผลใดที่จะเอาแผ่นดินไทยไปแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์อื่น ถ้าทำเช่นนั้นไม่ใช่แค่ไม่สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้นไม่ควรอยู่ในแผ่นดินไทยด้วยซ้ำ
หรือไม่เช่นนั้น ก็อาจจะเป็นเรื่องที่มีใครบางคนอยู่เบื้องหลัง เพื่อจัดฉากครั้งนี้ขึ้นก็ได้
ดังนั้น “ปาหี่” หรือไม่... งานนี้ต้องดูกันให้ลึกๆ