ที่มา บางกอกทูเดย์ ศอฉ.บ้อท่า! เพราะสังคมวันนี้กลายเป็นสังคมหลากสีเสื้อไปแล้ว อันเป็นผลมาจากการสร้างความวิบัติให้เกิดกับประเทศนี้ของ คณะปฏิรูปการปกครองฯหรือ คปค. ซึ่งมีบรรดาผู้ทรงอิทธิพลและกลุ่มอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง ที่ทำรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 แบบไม่เบ็ดเสร็จ และเสพติดอำนาจจนมุ่งทำลายล้างขั้วการเมืองที่ได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชน จนเกิดกระบวนการต่อสู้ที่กลายเป็นการแบ่งสีแบ่งฝ่ายในที่สุด นี่คือมรดกบาป ซึ่ง คปค. ที่ภายหลังต้องเปลี่ยนชื่อเป็น คมช. ที่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้ากระบวนการรัฐประหาร ที่ควรจะต้องรับผิดชอบต่อบ้านเมือง กับความวุ่นวายในทุกวันนี้ โดยเฉพาะกับกรณี 2 มาตรฐานระหว่างม็อบพันธมิตร กับม็อบกลุ่มคนเสื้อแดง เพราะในวันที่ม็อบกลุ่มคนเสื้อแดง ถูกการใช้อำนาจ และการใช้กำลังทางทหารทำลายล้างอย่างอำมะหิต เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 80 คน และบาดเจ็บอีกกว่า 2,000 คน จนทำให้ต้องยุติการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยไปโดยปริยายนั้น แต่กลุ่มม็อบพันธมิตรยังคงความเข้มแข็งอยู่เหมือนเดิม เพราะนอกจากจะมีการแปลงร่างออกไปเป็นพรรคการเมืองใหม่แล้ว ยังมีตัวแทนของม็อบ คือนายกษิต ภิรมย์ เข้าไปเป็นรัฐมนตรีอยู่ในรัฐบาลชุดปัจจุบันด้วย ทำให้ได้รับความเกรงอกเกรงใจเป็นอย่างมาก จากทางรัฐบาล โดยเฉพาะจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ขณะที่คดีกลุ่มคนเสื้อแดงถูกเล่นงานอย่างรวดเร็ว แต่คดีของกลุ่มพันธมิตร แม้แต่เรือเกลือยังต้องเรียกพี่เรียกพ่อ ในขณะที่สังคมก็ยังต้องเรียกกลุ่มพันธมิตรว่า “ม็อบมีเส้น” วันนี้ม็อบมีเส้นซึ่งหนุนส่งให้นายอภิสิทธิ์ ได้มีโอกาสขึ้นไปเป็นนายกรัฐมนตรีได้จากอุบัติเหตุทางการเมือง โดยไม่ต้องรอความสง่างามทางการเมืองนั้น กำลังหันมาแว้งเล่นงานรัฐบาลเข้าให้เองแล้ว... จากอาการ “ไม่ได้ดั่งใจ”ในหลายๆเรื่อง เฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องของปราสาทพระวิหาร ซึ่งกลุ่มม็อบพันธมิตรเคยใช้เป็นประเด็นสำคัญในการโจมตีโค่นล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาแล้ว ขณะนี้ก็กำลังถูกนำมาใช้กดดันและโจมตีรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เข้าให้บ้างแล้วเช่นกัน เพราะประเด็นประสาทพระวิหาร เป็นความพ่ายแพ้ของประเทศไทยต่อประเทศกัมพูชาในศาลโลก ภายใต้การสู้คดีของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นั่นเอง ที่นำทีมไปสู้คดีแล้วพ่ายแพ้อย่างไม่ครจะพ่ายแพ้ ดังนั้นกรณีของปราสาทพระวิหารจึงเป็นกรณีที่ลึกๆแล้วคนไทยไม่เคยยอมรับหรือว่าเห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลโลกเลยสักนิด มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน... ใครหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาปุกกระตุ้นอารมณ์รักชาติเมื่อไหร่ เป็นต้องได้ผลเมื่อนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งโดนข้อกล่าวหาว่าไม่รักชาติจากการขายหุ้นให้กับเทมาเส็ก สิงคโปร์ เมื่อเห็นว่าเป็นประเด็นที่ยังอ่อนหรือสามารถมีข้อโต้แย้งชี้แจงได้ในโลกทุนนิยมของนานานอารยะประเทศในปัจจุบัน ก็เลยต้องถูกพ่วงถล่มในเรื่องปราสาทพระวิหารไปอีกเรื่อง... เพื่อหวังให้ข้อกล่าวหาเรื่องการขายชาติที่ใช้โจมตีจะได้มีน้ำหนักมากขึ้น ประเด็นปราสาทพระวิหาร จึงเป็นเรื่องที่กลุ่มม็อบพันธมิตร และพรรคการเมืองใหม่ ถือเป็นประเด็นเด็ดทางการเมือง ขณะเดียวกันก็เป็นอาวุธสำคัญในทางการเมืองมาโดยตลอด ซึ่งครั้งนี้อาวุธปราสาทพระวิหารกำลังหันเป้าเข้ามาถล่มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์เข้าให้เต็มๆบ้างแล้ว และบอกแล้วว่าเรื่องปราสาทพระวิหาร เป็นเรื่องที่ศาลโลกตัดสินให้ไทยเป็นฝ่ายแพ้ ในขณะที่คนไทยทุกคนไม่เห็นด้วยมาตลอด การปลุกเร้าอารมณ์ในเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องไม่ยาก กลุ่มเครือข่ายภาคีคนไทยหัวใจรักชาติ หรือกลุ่มพันธมิตรและกลุ่มพรรคการเมืองใหม่ จึงปลุกกระแสรักชาติ กระแสรักและหวงแหนผืนแผ่นดินไทย ให้เข้ากดดันรัฐบาลนายอภิสิทธิ์อย่างหนัก จนถึงขั้นเตรียมปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เคยสร้างประวัติศาสตร์โด่งดังไปทั่วโลก ด้วยการบุกยึดทำเนียบได้นานเป็นเดือนๆ โดยที่วันนี้คดีต่างๆยังไม่มีใครกล้าที่จะเดินหน้า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ จึงได้ผวาอย่างหนัก ว่าจะโดนยึดทำเนียบอีกครั้งก็เป็นไปได้ จึงต้องอาศัย ศอฉ. อาศัย พรก.สถานการณ์ฉุกเฉิน แล้วให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งมีฐานะเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ออกประกาศ ศอฉ. ให้ถนนรอบทำเนียบ และบรรดาอาคารทำเนียบรัฐบาล เป้นเขตหวงห้าม ห้ามไม่ให้ชุมนุม ห้ามไม่ให้เข้าไปยึดครอง โดยเด็ดขาด!!! แต่กลุ่มพันธมิตร ในนามของกลุ่มเครือข่ายภาคีคนไทยหัวใจรักชาติ ยังคงไม่ยอมถอยหลัง แค่ชะลอการไปปิดล้อมทำเนียบ แล้วเลี่ยงไปปักหลักชุมนุมอยู่บริเวณหน้ากองทัพภาคที่ 1 ถ.ราชดำเนินแทน เพื่อยืนยันคัดค้านเอ็มโอยูปราสาทพระวิหาร รวมทั้งเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ และคณะรัฐบาลเร่งดำเนินการทวงคืนอธิปไตยในดินแดน ปราสาทพระวิหารกลับคืนมา ระบุชัดเจนว่าเรื่องนี้หากได้คำตอบไม่ชัดเจน และที่สำคัญหากไม่เป็นที่พอใจ ก็จะปักหลักชุมนุมยืดเยื้อ แถมยังจะยกระดับการชุมนุมต่อต้านเอ็มโอยูปราสาทพระวิหาร เป็นการชุมนุมเพื่อขับไล่นายกรัฐมนตรีไปเลยก็ได้ ทั้งนี้นายวีระ สมความคิด และ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาชนคนไทยหัวใจรักชาติ กล่าวบนเวทีปราศรัย ภายหลังเข้าเจรจากับ พ.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ผบ.ร.11 รอ.) ว่าขอให้ผู้ชุมนุมย้ายสถานที่จากทำเนียบรัฐบาลไปยังบริเวณกองทัพภาคที่ 1 ติดกับกองบัญชาการตำรวจนครบาล เนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้รับปากว่าจะดูแลรักษาความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกให้ นายวีระ กล่าวอีกว่า กลุ่มประชาชนคนไทย หัวใจรักชาติ จะปักหลักชุมนุมในบริเวณดังกล่าวจนกว่ารัฐบาลจะผลักดันชาวกัมพูชา ออกจากพื้นที่และยกเลิกเอ็มโอยู 2543 โดยให้เวลาในการดำเนินการ 7 วัน หากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ระหว่างการชุมนุม ผู้ชุมนุมก็จะกลับไปชุมนุมทำเนียบรัฐบาลตามเดิม ทำให้นายอภิสิทธิ์ ต้องเดินทางไปหารือ กับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์กีฬาเยาวชนกรุงเทพมหานคร ไทย-ญี่ปุ่นดินแดง แล้ว โดยที่มีพันธมิตรกว่า 2,000 คนได้ปักหลักอยู่ในอาคารกีฬาเวสน์ 1 การวิ่งพล่านเจรจาของนายอภิสิทธิ์และรัฐบาล กับการแข็งกร้าวของ พล.ต.จำลอง และกลุ่มพันธมิตร รวมทั้งการขีดเส้นตายของกลุ่มแนวร่วมประชาชนคนไทยหัวใจรักชาติ ซึ่งทำให้มีการชุมนุม มีการเคลื่อนไหวแสดงพลัง จนรัฐบาล และ ศอฉ. ต้องตัดสินใจใช้อำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯเข้ารับมือนั้น กำลังถูกจับตามองอย่างไม่กระพริบ ว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และอำนาจทหารในมือ ศอฉ. ซึ่งเคยเล่นงานจนกลุ่มคนเสื้อแดงสะบักสะบอมนั้น จะรับมือม็อบพันธมิตรในรอบนี้ได้หรือไม่ นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ยังยอมรับว่าในการชุมนุมของเครือข่ายกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารนั้น เนื่องจากขณะนี้อยู่ระหว่างการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ห้ามการชุมนุมเกิน 5 คน เมื่อมีการชุมนุม รัฐบาลจะเพิกเฉยไมได้ จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย หากไม่ดำเนินการ ก็จะถูกมองว่าปฏิบัติ 2 มาตรฐานหรือเลือกปฏิบัติ อย่างไรก็ตามเห็นว่าการชุมนุมของเครือข่ายพันธมิตรฯ เป็นเพราะความเป็นห่วงและกังวลกรณีไทยอาจเสียดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรเพราะที่ผ่านมารัฐบาลยังอธิบายหรือทำความเข้าใจกับประชาชนไม่ชัดเจน ซึ่งเครือข่ายพันธมิตรฯยังมีความเข้าใจในเรื่องเอ็มโอยูไม่ตรงกับรัฐบาล รัฐบาลจึงต้องรีบทำความเข้าใจกับประชาชนให้ชัดเจนมากกว่าที่ผ่านมา ไม่ควรล่าช้าหรือสร้างความสับสนให้ประชาชน เพื่อไม่ให้เหตุการณ์บานปลายไป ซึ่งส่วนตัวก็ยอมรับว่าก็ไม่รู้รายละเอียดในเอ็มโอยู แต่เข้าใจว่าการทำเอ็มโอยูเป็นเพียงการทำข้อตกลงเท่านั้นว่าจะต้องทำอะไรต่อไป ไม่ใช่การทำให้สูญเสียดินแดนดังนั้นไม่จำเป็นต้องยกเลิกเอ็มโอยู ส่วนรัฐบาลควรเปิดเอ็มโอยูให้ประชาชนรับทราบหรือไม่ นายประสพสุขกล่าวว่า ถ้าจะทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกับรัฐบาล ก็ไม่น่าจะเป็นความลับอะไร ควรเปิดออกมาประชาชนจะได้หายแคลงใจว่าไทยไม่เสียประโยชน์จากการลงนามในเอ็มโอยูฉบับนี้ พรรคประชาธิปัตย์ เคยร่วมเล่นเกมโดยใช้เรื่อง ปราสาทพระวิหาร และใช้เรื่องเอ็มโอยู สมัยที่นายนพดล ปัทมะ เป็รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จนรัฐบาลอยู่ไม่ได้มาแล้ว วันนี้กลายเป็นว่า เอ็มโอยูเขาพระวิหารที่ทำในปี 2543 ในยุคของรัฐบาลนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี กับประเด็นทวงคืนพื้นที่ปราสาทพระวิหาร กำลังย้อนกลับมาเล่นงานรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เข้าเต็มๆบ้างแล้ว ส่วนจะเป็นอย่างภาษิตไทย ที่ว่า “หมองู ตายเพราะงู”หรือไม่???...หรือ “หมองูจะตายเพราะใส้เดือน”?? ต้องจับตามองอย่ากระพริบ!!!
รับมือม็อบมีเส้นได้แค่ไหน?!
กำลังถูกจับตามองจากสังคมไทย ว่าจะเกิดรายการลูบหน้าปะจมูก ให้เห็นถึงคำว่า 2 มาตรฐานอีกหรือไม่???