WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, August 11, 2010

ทิศทางเศรษฐกิจไทย

ที่มา ไทยรัฐ


นโยบายการเงินการคลังของประเทศที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม มีเสียงเตือนถึงเรื่องของ อัตราดอกเบี้ย ที่จะเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะที่ภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมจะมีภาระมากขึ้นตามมา ทิศทางเศรษฐกิจไทยในอนาคตจะเป็นอย่างไรไม่ใช่อยู่ที่ปัจจัยทางการเมืองอย่างเดียว แต่อยู่ที่การวางยุทธศาสตร์ของภาครัฐในการรับมือล่วงหน้าด้วย เช่น เรื่องของภาษี เป็นต้น

วันก่อน คุณประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง ไปพูดให้ สมาชิกหอการค้าร่วมต่างประเทศถึงความพร้อมของประเทศไทยเพื่อก้าวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนไว้น่าฟัง

การผลักดันเศรษฐกิจจะต้องให้ ภาคธุรกิจเป็นผู้นำเข้าไปสู่นโยบายของรัฐ โดยผ่านทางนักการเมือง ที่จะต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลความต้องการของภาคเอกชนและข้อมูลต่างๆที่มีอยู่ทั้งหมด เพื่อไปสู่การแข่งขันและความพร้อมที่จะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่มีส่วนแบ่งตลาดใหญ่กว่าในระบบการค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคนี้ซึ่งจะมีมูลค่าสูงถึง 1.7 ล้านล้านเหรียญ และงบลงทุนของต่างประเทศในอาเซียนมูลค่าสูงถึง 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ

ในด้านการส่งออกนั้นบ้านเรา มีการส่งออกเฉพาะในภูมิภาคนี้ ตัวเลขล่าสุดเมื่อเดือน มิ.ย. มียอดส่งออก 1.8 หมื่นล้านบาท หลังจากที่มีการยกเลิกภาษีระหว่างอาเซียนไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เฉพาะประเทศฟิลิปปินส์มีการส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 90 อินโดนีเซียเพิ่มขึ้นร้อยละ 89

เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าการร่วมมือด้านเศรษฐกิจในอาเซียนนั้นจะมีผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมในภูมิภาคนี้อย่างชัดเจน ดังนั้นประเทศไทยก็จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับการเคลื่อนย้ายอย่างอิสระของปัจจัยการผลิต การบริหารต่างๆ รวมถึงการลงทุน เงินทุน หรือแรงงานในระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียน

ประเทศไทยจะแข่งขันกับประเทศอื่นไม่ได้ ถ้านักการเมืองขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความต้องการของภาคธุรกิจ จึงอยากให้ ภาคธุรกิจทำงานร่วมกับภาครัฐอย่างใกล้ชิด เพื่ออนาคตของประเทศ

สิ่งสำคัญคือการอำนวยความสะดวกให้กับภาคธุรกิจ มีการเร่งปรับปรุงกฎหมายหลายฉบับ ที่จะช่วยให้การดำเนินการทางธุรกิจคล่องตัวมากขึ้นทันกับการแข่งขัน

อาทิ กฎหมายใหม่ของกรมศุลกากร มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดความโปร่งใส และมีความเที่ยงธรรมมากขึ้น แผนการปฏิรูปกรมศุลกากรเป็นการยกเครื่องการทำงานของกรมศุลกากรครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 135 ปี โดยรับฟังความเห็นจากฝ่ายต่างๆ สมาคมการค้า หอการค้า นำมาปรับปรุงแก้ไข

เราเสียโอกาสเพราะวิกฤติการเมืองที่ยาวนาน เมื่อสามารถที่จะปรับตัวรองรับกับความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้แล้วจึงต้องเร่งฟื้นฟูปรับปรุงเศรษฐกิจของประเทศให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงโดยทันที ไม่อยากจะใช้คำว่าสายเกินแก้ แต่มาถึงจุดนี้ เศรษฐกิจจะต้องนำการเมือง ในทิศทางที่จะต้องร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ไม่ใช่ยุคที่นักการเมืองมาชี้นิ้วบงการตามอำเภอใจ.


หมัดเหล็ก