WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, August 12, 2010

ด่วน!!! กัมพูชา ออกแถลงการณ์ถล่มอภิสิทธิ์ยับ (ฉบับใหม่)

ที่มา thaifreenews


โดย Palrak


ด่วน!!! กัมพูชา ออกแถลงการณ์โต้ อภิสิทธิ์

http://www.go6tv.com/2010/08/spokesperson-of-press-and-quick.html





บทแปลแถลงการณ์จาก โพสทูเดย์ 11 สิงหาคม 2553 เวลา 21:10 น.

สมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ได้ออกแถลงการณ์ลงวันที่ 11 ส.ค. 2553 กล่าวตำหนิท่าทีนายอภิสิทธิ์อีกครั้ง โดยในเนื้อหาระบุว่า

1. นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชาชีวะ ของไทย ได้เคลื่อนไหวด้วยการพูดจนมากเกินไปเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา และได้กล่าวคุกคามกัมพูชา จนทำให้สมเด็จอัครมหาบดี เดโช ฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชาต้องใช้มาตรการเด็ดขาดเพื่อปกป้องผลประโยชน์สูงสุดของกัมพูชาตามธรรมเนียม และการปฏิบัติเยี่ยงสากล

2. นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชาชีวะไม่มีลักษณะของความเป็นผู้นำรัฐบาล ซึ่งเป็นสมาชิกของประชาคมอาเซียน และสหประชาชาติดังนี้

- นาย อภิสิทธิ์ ได้ร่วมกับกลุ่มคนที่เชื่อว่าเป็นศัตรูต่อกัมพูชาชื่อว่า เครือข่ายคนไทยรักชาติ, พันธมิตร (หรือกลุ่มเสื้อเหลือง” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อล้มล้างบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาปี 2543 ซึ่งมีความถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นเอกสารระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันธ์ และ นายกฯ อภิสิทธิ์ ยังมีพฤติกรรมที่จะยึดดินแดนกัมพูชาด้วยการใช้กำลัง

- นายอภิสิทธิ์ ได้ก่อให้เกิดความตึงเครียดกับกัมพูชา ด้วยคำพูดตามรายงานของสำนักข่าวไทยที่ว่า “ผลการตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปีพ.ศ.2505 ได้ตัดสินให้เพียงแต่ตัวประสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาเท่านั้น แต่พื้นที่โดยรอบยังเป็นของไทย”

- ตลบแตลงในการที่จะสานต่อให้เอ็มโอยูนั้นบรรลุเป้าหมาย โดยเฉพาะเรื่องการปฏิบัติงานของ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมภาคีไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ซึ่งประเทศไทยได้เป็นฝ่ายยกเลิกการทำงานของเจบีซี

3. เพื่อการตอบโต้ต่อการคุกคามทางทหารจากประเทศไทย สมเด็จอัครมหาบดี เดโช ฮุนเซ็น ได้ส่งจดหมาย 2 ฉบับไปยัง พณฯ วิตาลี ชูร์เกีย ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และ พณฯ อาลี อับดุลซาลัม ประธานสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ เพื่อการชี้เจงเกี่ยวกับสถานการณ์วิกฤติที่ประเทศไทยเป็นฝ่ายสร้างขึ้นในพื้นที่ชายแดนระหว่างไทย และก้มพูชา ใกล้กับปราสาทพระวิหาร

4. เพื่อชี้แจงให้ทราบว่า นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ ได้กระทำให้เกิดความขุ่นเคืองในระดับนานาชาติ โดยนาย อภิสิทธิ์ ได้เปลี่ยนแปลงคำพูด และ โยนความผิดให้กับ สมเด็จอัครมหาบดี เดโช ฮุนเซ็น ด้วยการกล่าวว่า “เขา (สมเด็จฮุนเซ็น) ได้อ้างประโยคนั้นมาจากหนังสือพิมพ์ซึ่งไม่ใช่คำพูดของผม”

โฆษกของสำนักงานสื่อมวลชน และการตอบโต้อย่างทันทีทันใด (พีอาร์ยู) ของสำนักงานสภารัฐมนตรีของกัมพูชาต้องการจะสื่อสารไปยังสาธารณชนทั้งในประเทศและต่างประเทศว่า

1. นับจนถึงวันนี้ไม่มีคำพูดที่ชัดเจนของนายอภิสิทธิ์ เพราะเหตุใดนายอภิสิทธิ์จึงไม่เรียกร้องให้หนังสือพิมพ์แก้ไขความผิดพลาด และเปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา นั่นบ่งบอกถึงนัยยะเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

2. ทุกๆ คำพูดของนายอภิสิทธิ์ที่พูดเกี่ยวกับเรื่องปราสาทพระวิหาร เส้นเขตแดนของทั้งสองประเทศบริเวณปราสาทพระวิหาร คำขู่ที่จะยกเลิก MOU ปีพ.ศ.2543 และคำขู่ว่าจะใช้กำลังทางทหาร ที่นำเสนอผ่านสื่อทุกๆ สื่อในประเทศไทย เช่น เอเอสทีวี เอทีเอ็นเอ็น ออนไลน์ และเดอะ เนชั่น ซึ่งนำเสนอเมื่อวันที่ 7 ส.ค. หนังสือพิมพ์มติชน และหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ซึ่งตีพิมพ์เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ได้ถูกบันทึกเอาไว้โดยสำนักงานสื่อมวลชน และการตอบโต้อย่างทันทีทันใด (พีอาร์ยู) ทั้งหมดแล้ว สื่อต่างๆ ที่เป็นที่รู้จักเหล่านี้เชื่อถือได้หรือไม่? นายอภิสิทธิ์ต้องการจะรับรู้หรืออ่านสื่อต่างๆ เหล่านั้นหรือไม่? สำนักงานจะจัดส่งไปให้ถึงที่

3. นายอภิสิทธิ์แสดงให้เห็นถึงการขาดความน่าเชื่อถือของสื่อไทย ในทางตรงกันข้าม หากการนำเสนอข่าวของสื่อไทยเป็นสิ่งที่ถูกต้อง นั่นก็พิสูจน์ให้เห็นว่านายอภิสิทธิ์เป็นคนที่ผู้โป้ปด

4. นายอภิสิทธิ์พยายามจะใช้ถ้อยคำซึ่งแฝงความตั้งใจว่าต้องการจะรุกล้ำอาณาเขตของประเทศกัมพูชา โดยเฉพาะดินแดนบริเวณใกล้กับปราสาทพระวิหาร นายอภิสิทธิ์พยายามจะเปลี่ยนการใช้ถ้อยคำ จากคำว่า “พื้นที่ทับซ้อน” หรือ “พื้นที่พิพาท” ให้กลายเป็น “อาณาเขตของไทย”

5. นายอภิสิทธิ์เป็นผู้กล่าวเองว่า ในช่วง พ.ศ.2518 – 2522 ประเทศไทยได้กำหนดเส้นเขตแดนใหม่ หรือบริเวณ “พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร” ล้ำเข้าไปในฝั่งกัมพูชา ลงบนแผนที่ที่มีเงื่อนงำ เป็นการกำหนดขึ้นเพียงฝ่ายเดียว และไม่ได้รับการยอมรับตามหลักสากล

พฤติกรรมดังกล่าวไม่ต่างกับการกระทำของพรรคนาซีภายใต้การนำของฮิตเลอร์ และพรรคฟาสซิสต์ภายใต้การนำของมุสโซลินี ที่ได้กระทำเมื่อต้องการจะรุกรานดินแดนของประเทศอื่น เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2

โดยสรุป โฆษกของสำนักงานสื่อและการตอบโต้ประจำสำนักงานคณะรัฐมนตรีกัมพูชาต้องการจะกล่าวเน้นย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้กระทำสิ่งที่เป็นการมอมเมา และพยายามจูงใจให้สาธารณชนทั้งในและต่างประเทศยอมรับการใช้กำลังของประเทศไทยต่อกัมพูชา

และเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการนองเลือดและการบาดเจ็บของประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้งฝั่งไทยและกัมพูชา สมเด็จอัครมหาเดโชฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา จึงได้ส่งจดหมายไปยังสหประชาชาติ และร้องขอให้มีการจัดประชุมระดับระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาข้อพิพาทเรื่องเส้นเขตแดนของทั้งสองประเทศแล้ว แต่นายกรัฐมนตรีฮุนเซ็นมีสติปัญญาเพียงพอที่จะรู้ได้ว่า ประเทศไทยคงไม่รับข้อเสนอดังกล่าว และยืนยันว่าจะใช้วิธีการในระดับทวิภาคีเพื่อแก้ไขปัญหา รวมทั้งยืนยันจะทำตามแผนใช้กัมพูชาเป็นตัวประกัน ในความขัดแย้งของการเมืองภายในประเทศไทยต่อไป