ไม่เข้าใจจริงๆ ว่า บรรดาสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มี นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานอยู่นี้ คิดหรือรู้สึกอย่างไรกันบ้างต่อชะตากรรมในอนาคตของเพื่อนร่วมชาติ
หรือเพราะว่ารู้สึกตัวอยู่เสมอว่าพวกตนได้ดิบได้ดีมาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร ไม่ได้มาจากการเลือกของประชาชน เวลาจะหยิบจับทำอะไรจึงไม่ต้องใส่ใจคนส่วนใหญ่...แต่มุ่งเอาใจคนที่แต่งตั้งตัวเองมาจะดีกว่า
เพราะคิดเช่นนี้หรือเปล่า จึงยังทำเสมือนไร้เดียงสา ไม่รู้จริงๆ ว่าร่าง พ.ร.บ. หลายฉบับที่ตัวเองเตรียมจ่อประกาศใช้เป็นกฎหมายอยู่นั้น...มันมีความร้ายแรงกระทบชีวิตพลเมืองคนอื่นๆ มากขนาดไหน
และในบรรดาร่างกฎหมาย 66 ฉบับที่รอการพิจารณาในเวลานี้ เห็นจะไม่มีกฎหมายใดแผ่รังสีมฤตยูได้มากไปกว่าร่าง พ.ร.บ.ความมั่นคงในราชอาณาจักร อีกแล้ว
“ประชาทรรศน์” เองก็ได้เคยนำเสนอถึงเนื้อหาที่เลวร้ายของร่าง พ.ร.บ.มั่นคง ไปแล้วหลายครั้ง รวมทั้งนำเสนอความเคลื่อนไหวจากสื่อมวลชนหลายสังกัด หลายกลุ่ม ซึ่งนั่นหมายความว่า ร่าง พ.ร.บ.มั่นคงนี้ ไม่ใช่เรื่องความขัดแย้งทางการเมือง ไม่ใช่เรื่องของคนดีหรือไม่ดี (อย่างที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เคยพูดจาเลื่อนเปื้อนไว้ว่า “คนดีไม่ต้องกลัวกฎหมายฉบับนี้”) แต่เป็นเรื่องของประชาชนทุกคนในประเทศนี้ตั้งแต่ทารกถึงคนชรา ที่จะได้รับความเดือดร้อนอย่างถ้วนหน้ากัน กลายเป็นการส่งมอบประเทศให้ผู้มีอำนาจ หรืออย่างที่ นายจอน อึ๊งภากรณ์ ได้สรุปอย่างตรงที่สุดว่า เป็นการสถาปนาอำนาจทหารคู่รัฐบาลพลเรือนตลอดไป
หาก พ.ร.บ.ความมั่นคง ประกาศใช้ ทหารอาจไม่ต้องรัฐประหารอีกแล้ว เพราะกฎหมายฉบับนี้ให้อำนาจอย่างเหลือเฟือในการจะทำอะไรก็ได้อยู่แล้ว...
ซึ่งเนื้อหาร้ายแรงเช่นนี้ ที่แม้แต่ประชาชนนิสิตนักศึกษา ยายมาตามีที่ไหนก็ยังรู้ ถามว่า แล้วสมาชิกผู้ทรงเกียรติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติจะไม่สำเหนียกกับเขาบ้างเลยหรือ...
คำตอบคือ ก็น่าจะรู้...รู้ดีเสียด้วย เพราะอ่านทบไปทวนมากันหลายครั้ง ถกเถียงกันก็หลายหน...ย่อมต้องรู้และเข้าใจหลักการเหตุผล รวมทั้งผลที่จะเกิดขึ้นตามมาได้ทะลุปรุโปร่งยิ่งกว่าใคร
และผลการยกมือรับหลักการไปในวาระแรกที่ผ่านมา ก็สะท้อนความรับรู้นี้ได้อย่างน่าชื่นใจจริงๆ คือ รับหลักการ 101 คน และไม่รับหลักการเพียง 20 คน
แค่นี้ก็รู้แล้วว่า สนช. ชุดนี้เป็น “ของใคร” “โดยใคร” และ “เพื่อใคร”
และใครที่ว่านี้ ก็คงไม่น่าจะใช่ตาสีตาสายายมายายมี อย่างเราๆ ท่านๆ กันแน่นอน...
เหตุการณ์ปีนรั้วสภาบุกเข้าไปถึงหน้าห้องประชุมเมื่อวันพุธนั้น แม้ว่า สนช. บางคนจะติติงทำนองว่ามันผิดกฎหมาย แต่ใครกันจะอยากทำผิดกฎหมาย ถ้าไม่เพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายและไม่อาจประนีประนอมใดๆ ได้อีกต่อไปแล้ว
เหมือนก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน การรวมกลุ่มของนิสิตนักศึกษาภายใต้ชื่อว่า “คนวันจันทร์รักเผด็จการ ไม่เอาประชาธิปไตย” ที่มายื่นดอกไม้และเรียนเชิญให้ พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน เป็นประธานกลุ่มนั้น ก็คือภาพสะท้อนที่สุดโต่งว่า “เมื่อทหารอยากให้ประเทศนี้ตกอยู่ในระบอบเผด็จการจนตัวซี้ตัวสั่น...ก็ยกให้มันไปเลย...”
ทั้งสองเหตุการณ์นี้ที่สุดโต่งกันไปคนละทาง แต่ล้วนมาจากทิศทางเดียวกัน คือ ทิศทางของการต่อต้านร่างพ.ร.บ.มั่นคง มาอย่างต่อเนื่อง ด้วยวิธีการที่ดีและสุภาพชนมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ทั้งการจัดวงเสวนาเผยแพร่ความเข้าใจในเนื้อหาอย่างที่ปัญญาชนพึงกระทำ การเข้าพบ ยื่นข้อเรียกร้อง และหารือกับ สนช. ในลักษณะที่ให้เกียรติว่ายังพูดจากันดีๆ ได้ หรือกระทั่งการชุมนุมกดดันอย่างสงบตามวิถีทางประชาธิปไตยเพื่อให้ สนช. ฉุกใจคิดว่า ร่าง พ.ร.บ. ตัวนี้มันเป็นยาพิษจริงๆ
แต่ทั้งหมดก็ยังไม่เข้าหู สนช. หรือไม่ก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ประชาชนจึงต้องทะลุจุดเดือดแหกรั้ววิ่งเข้าไปถึงหน้าห้องประชุม ไปตะโกนให้พวกนั้นฟังใกล้ๆ เผื่อจะได้ยินกันชัดๆ บ้าง หรือไม่ก็ประกาศตัวรักเผด็จการกันไปซะเลย...
แต่ทว่า...นอกจากไม่มีทีท่าจะหวนกลับมาคิดถึงผลประโยชน์และสวัสดิภาพของคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้แล้ว วันถัดมาที่ประชุม สนช. ยังดึงกำลังตำรวจมาตั้งกำลังอารักขา รวมทั้งเสริมแผงเหล็กที่ประตูแต่ละด้านอย่างหนาแน่น ทำราวกับว่ากลุ่มผู้ชุมนุมเป็นอภิมหาโจรที่จะบุกมาปล้นฆ่าเมื่อไรก็ได้...
ทั้งที่ประชาชนก็มีแค่มือเปล่า ไม่ได้มีอาวุธสงครามหรือกองกำลังรถถังอย่างที่พวกเผด็จการมี
สนช. เหล่านี้ ชื่อแซ่อะไรท่องจำกันเอาไว้ให้ดี...เผื่อว่าหลังจากนี้กฎหมายอัปยศผ่าน...แล้วเกิดอะไรเสียหายร้ายแรงขึ้นกับคนในชาติ...จะได้ตามหาต้นตอกันถูกตัว...
นอกจากคณะรัฐประหารที่ควรจะโดนฟ้าดินลงทัณฑ์แล้ว...พวกมือตีนเผด็จการเหล่านี้ ก็ยิ่งไม่ควรให้รอดไป